ข าวธ.ก.ส.ธ.ก.ส.การประช มการปล อยก ช วยข าวโพด-ม นสำปะหล ง

46 1. ถวั่ ลสิ ง ในดนิ ทมี่ คี วามอุดมสมบรู ณปานกลาง ถว่ั ลิสงเจรญิ เตบิ โตใกลเ คียงกบั มนั สําปะหลัง ถว่ั ลสิ งเตบิ โตท่เี ม่ืออายปุ ระมาณ 2 เดือน ความสูงประมาณ 30-40 ซม. ตน มนั สําปะหลงั สูงกวาตน ถ่ัวเล็กนอ ย ถว่ั ลสิ งชว ยคลมุ วชั พืชในระยะทีต่ น มันสําปะหลังยังเล็กอยไู ด อยา งดี เม่อื เก็บเกี่ยวถว่ั ลสิ งอายุ 110 วนั ใบมันสาํ ปะหลังชนกนั จึงคลมุ เนอ้ื ทีท่ ง้ั หมดหลังจาก เกบ็ เกีย่ วฝก ถว่ั แลว ทิง้ ตน ถวั่ ลงในแปลงมนั สําปะหลัง เพ่อื คลุมวชั พชื และบํารงุ ดนิ ตอไป ผลผลติ ของถ่วั ลิสงมากนอยเพยี งไรขน้ึ อยกู ับสภาพดินฟา อากาศ 2. ถ่ัวเหลือง ถั่วเหลืองเปนพืชที่คอนขางจะเลือกดินฟาอากาศ ชอบดินอุดมสมบูรณ ไมแลงจึงใหผลดีในบางทองที่เทานั้น ในดินท่ีมีความอุดมสมบูรณปานกลาง ถ่ัวเหลืองจะเจริญ เติบโตใกลเคียงกับมันสําปะหลัง ถั่วเหลืองโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 2 เดือน ความสูงประมาณ 60 ซม. ใกลเคียงกับมันสําปะหลัง จึงชวยคลุมวัชพืชไดดีเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองเม่ืออายุประมาณ 120 วัน โดยการถอนทั้งตน เปนขณะเดียวกับใบมันสําปะหลังแผคลุมพื้นท่ีแลวหลังจากเก็บ ฝก ถว่ั เหลอื ง นาํ ตน ถ่วั เหลืองลงในแปลงมันสาํ ปะหลงั เพอ่ื คลมุ วัชพชื และบํารงุ ดนิ ตอไป 3. ถั่วเขียว เปนพืชตระกูลถ่ัวท่ีข้ึนไดดีในสภาพดินฟาอากาศทั่วๆ ไป เจริญเติบโตเร็ว กวาถ่วั เหลอื งและถ่วั ลิสง ในดินที่มีความอุดมสมบรู ณป านกลาง ถ่ัวเขยี วเจรญิ เตบิ โตรวดเรว็ กวา มันสําปะหลังเล็กนอย ถ่ัวเขียวโตเต็มท่ีเม่ืออายุประมาณ 1 เดือน ตนสูงประมาณ 60 ซ.ม. สูงกวาตนมันสําปะหลังเล็กนอย ถ่ัวเขียวจึงคลุมทั้งวัชพืชและมันสําปะหลัง แตเม่ือเก็บเกี่ยว ถ่ัวเขียวเม่ืออายุ 70 วันแลว ตนมันสําปะหลังสามารถเจริญเติบโตตอไปได ตามปกติเก็บเก่ียว ถ่วั เขยี วโดยการเก็บเฉพาะฝก ปลอยตน ทงิ้ ไวคลุมวชั พชื และบาํ รงุ ดินตอไป 4. ขาวโพดหวาน ขาวโพดหวานไมใ ชพชื บาํ รงุ ดิน เปนพชื ทใี่ หผ ลผลติ สูงอยางหนึ่ง จึง เปนพืชที่ดูดใชธาตุอาหารจากดินมากเหมือนกัน อาจจะไมเหมาะกับการใชปลูกเปนพืชแซมมัน สําปะหลังนัก แตในแงข องพชื ที่มรี ะบบรากตื้นตางกบั มนั สําปะหลงั ทรงตน ขาวโพดสูงไมเ ปน พมุ เติบโตเร็ว จึงชวยคลุมวัชพืชในระยะแรกไดดี และเม่ือโตข้ึนก็ไมบังรมเงาแกมันสําปะหลังนัก ขาวโพดรับประทานฝกสดตนเล็กสูงประมาณ 1.50 เมตร อายุส้ันประมาณ 65-70 วัน เมื่อ ขาวโพดเตบิ โตเต็มทเ่ี รม่ิ ตดิ ฝกความสงู 1.50-2.00 เมตร ตนมนั สําปะหลงั สูงประมาณ 1 เมตร มันสําปะหลังเปนพืชท่ีมีการลงทุนนอยพืชหนึ่ง มีการใชปุยนอยกวาที่ควรไมมีโรคหรือ แมลงท่ีรายแรงและปรับตัวเขากับดินท่ีมีความอุดมสมบูรณต่ํา ดินกรด และสภาพแลงเปน เวลานานได จากขอมูลเหลาน้ีทําใหเราไดทราบถึงวาการปลูกพืชแซมมันสําปะหลังนั้น เปนสิ่งท่ี สามารถกระทําได พืชที่สามารถใชเปนพืชแซมท่ีนับวาไดประโยชนไดแกพืชตระกูลถ่ัวเปนพืช แซม คือการเพ่ิมความอุดมสมบูรณในดินหรืออยางนอยก็ชลอการเสื่อมของดินใหชาลง สําหรับ ขาวโพดนั้น ถาพิจารณาในดานเพ่ิมรายได และปลูกในเน้ือท่ีนอยๆ ก็ปลูกได โดยใชขาวโพด หวานรับประทานฝกสด แตในแงบ ํารงุ ดินแลว ขา วโพดไมเหมาะสม ยิ่งเปนขาวโพดเล้ยี งสตั ว ระบบการปลูกพชื โดยใชม ันสาํ ปะหลังเปน พชื หลกั ภาพที่ 28 ขาวโพดหวานแซมมนั สาํ ปะหลงั

47 ดวยแลวยิ่งไมเหมาะสมท้ังดานรายไดและดานบํารุงดิน นอกจากนี้ยังมีผลทําใหผลผลิต มันสําปะหลังลดลงมาก ตอมาจึงไดศ กึ ษาหาวิธีการเพม่ิ ผลผลิตพชื แซมโดยเฉพาะพชื ตระกูลถว่ั ซึ่งเปนพืชบํารุงดิน คือ ถั่วเขียว ถ่ัวลิสง และถั่วเหลือง โดยการเลื่อนเวลาปลูกพืชแซมเหลาน้ี กอนมันสําปะหลังพบวา การปลูกพืชแซมกอนมันสําปะหลังตั้งแต 15-20 วันน้ันไมชวยให ผลผลิตของพืชแซมเพ่ิมขึ้นกวาการปลูกพรอมกัน นอกจากน้ียังมีผลทําใหผลผลิตของมัน สําปะหลังลดลงอีกดวย เม่ือเทียบกับการปลูกพรอมกัน และเมื่อพิจารณาในทางปฏิบัติแลวพบวา การปลูกพชื ภาพท่ี 29 ถว่ั เหลืองแซมมนั สาํ ปะหลงั ภาพที่ 30 ถ่ัวเขียวแซมมนั สําปะหลงั ภาพที่ 31 ถว่ั ลสิ งแซมมนั สาํ ปะหลงั 2 ชนดิ ในทีเ่ ดยี วกันแตไมพรอ มกนั ทาํ ใหเ กดิ ความยงุ ยากในการปฏบิ ตั มิ ากกวา การปลกู พรอ มกนั โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมดินปลูก ซึ่งเปนผลทําใหเสียคาใชจายสูงกวาการเล่ือนเวลาปลูกพืช

48 แซมเพอ่ื ลดการแขง ขันของพชื ท้งั 2 ชนดิ น้ี จึงไมเ ปน วิธีการท่ดี ี ในการปฏบิ ัติดงั นัน้ จึงแนะนําทํา การปลูกพืชแซมรวมกับมันสําปะหลังโดยปลูกพรอมกันจะเปนวิธีการที่ดีท่ีสุด และได ทําการศึกษาหาวิธีการที่เหมาะสมในการเพ่ิมผลผลิตของพืชแซม โดยการจัดจํานวนแถวปลูก พืชแซมรวมกับมันสําปะหลังตั้งแต 1, 2 และ 3 แถว พบวาการปลูกพืชแซมย่ิงมากแถวย่ิงทําให ผลผลิตพืชแซมสูงข้ึน แตในทางกลับกันทําใหผลผลิตของมันสําปะหลังลดลงซึ่งเปนสาเหตุ เนือ่ งมาจากการแขงขันระหวางพืชทั้งสองชนิด การปลูกพืชแซมเพียงหน่ึงแถวสามารถทําไดแต ใหผลผลิตพืชแซมตํ่ากวาที่ควร การปลูกพืชแซมโดยใชถั่วเขียว ถั่วเหลืองและถั่วลิสง ปลูก 3 แถว ทําใหผลผลติ พืชแซมทไี่ ดส ูงกวาการปลกู แบบ 2 แถว เพียงเลก็ นอย แตทําใหมันสําปะหลัง มีผลผลิตลดลงมาก ตั้งแต 12, 23 และ 24% ตามลําดับ ขอสรุปที่ไดคือ การปลูกพืชแซมแบบ 2 แถว ยงั เปนวิธีการทีส่ มควรพิจารณานํามาปรับปรุงตอไป ตอมาไดทําการศึกษาวิธีการปลูกพืชแซมตระกูลถั่วเหลานี้โดยยึดระบบการปลูกแบบ 2 แถว นํามาปรับปรุงเพื่อหาทางเพิ่มผลผลิตของพืชแซมโดยไมทําใหผลผลิตของมันสําปะหลัง ลดลงตอไป โดยการจัดระยะหางของแถวใหแคบลงเพื่อใหมีชองวางระหวางมันสําปะหลังกับพืช แซมใหกวางขึ้น เพ่ือลดการแขงขันลง ซึ่งขณะน้ีคาดวาการใชระยะปลูกพืชตระกูลถ่ัวท้ัง 3 ชนิด เปน พืชแซม 2 แถว ดวยระยะปลูก 20 x 10 ซม. หลุมละ 1 ตน จะเปนระยะท่ีเหมาะสมในระบบ ปลูกพชื แซมมันสาํ ปะหลังท่ีปลูกดวยระยะ 1 x 1 เมตร เพราะเปนการเพิ่มระยะหางระหวางแถว ถ่ัวและมันสําปะหลังใหกวา งข้ึน เปนการชว ยลดการบงั รม เงาและการแขงขันลงได นอกจากนี้ยังไดทําการศึกษาหาวิธีอื่นๆ ท่ีเหมาะสมในการปรับปรุงระบบการปลูกพืช แซมรวมกับมันสําปะหลังตอไปอีกคือ การเลือกหาพืชชนิดอ่ืนๆ แซม รวมทั้งการจัดระยะปลูก ทั้งพืชแซมและมันสําปะหลังใหเหมาะสมย่ิงข้ึน ตลอดจนการศึกษาถึงตนทุนในการปลูกปฏิบัติ ซ่ึงจะใหผลทําใหผลผลิตพืชแซมสูงขึ้น โดยผลผลิตของมันสําปะหลังไมลดลงและทําใหกสิกรมี รายไดส งู ขนึ้ อกี อนึ่งประโยชนที่ไดรับจากการปลูกพืชแซมท่ีเห็นไดชัด คือผูปลูกไดรับรายไดเร็วข้ึน แทนที่จะตองรอเก็บเกี่ยวมันสําปะหลังนานประมาณ 1 ป กสิกรมีรายไดจากการปลูกพืชแซม ถั่วเขียว เม่ืออายุประมาณ 70 วัน ถ่ัวลิสง 110 วัน และถ่ัวเหลือง 120 วันเทานั้น การท่ีจะเลือก พืชใดปลูกเปนพืชแซมน้ันตองพิจารณาเลือกพืชที่มีความเหมาะสมกับทองถิ่นดวย ผลผลิตของ พืชแซมจะสูงหรือตํ่าขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยางเชนเดียวกับการปลูกพืชเด่ียวท่ัวๆ ไปนั้นเอง เชน สภาพดิน น้ํา ฤดูกาล โดยเฉพาะการปฏิบัติดูแลรักษาท่ีเหมาะสมเหลาน้ี เปนตน รายไดที่ ไดรับจากการปลูกพืชแซมมันสําปะหลัง นอกจากจะข้ึนอยูกับผลผลิตของพืชแซมและผลผลิต ของมันสําปะหลังแลว ยังข้ึนอยูกับราคาของพืชแซมและราคาของมันสําปะหลังขณะน้ันเปน อยางมาก

49 . แมลงศัตรแู ละการปองกันกําจดั มันสําปะหลังเปนพืชเศรษฐกิจท่ีทํารายไดใหแกประเทศมากท่ีสุดพืชหน่ึง เกษตรกร นิยมปลูกเนื่องจากพืชชนิดน้ีสามารถปลูกไดในพ้ืนที่ๆ มีความอุดมสมบูรณนอย หรือคอนขาง แหงแลงได และเปนพืชท่ีตองการบํารุงรักษาไมมากนัก นอกจากน้ีปญหาเร่ืองแมลงศัตรูพืชมี คอนขางนอย สวนใหญแลวศัตรูพืชมันสําปะหลังอยูในระดับที่ยังไมทําใหเกิดความเสียหายทาง เศรษฐกิจ นอกจากเกิดสภาพภูมิอากาศ และส่ิงแวดลอมพอเหมาะในการที่ศํตรูพืชจะเพิ่ม

50 ปริมาณจนทําความเสียหายใหแกมันสําปะหลัง แมลงศัตรูมันสําปะหลังมีหลายชนิดที่ทําความ เสียหาย มีท้ังแมลงประเภทปากดูด และปากกัด โดยทําลายมันสําปะหลังทั้งบนตนและใตดิน ตงั้ แตระยะเปนทอนพนั ธุ จนถงึ เกบ็ เก่ยี วความเสียหายและความสําคัญของแมลงศัตรูแตละชนิด ข้ึนอยูกับสภาพของพื้นที่ ลักษณะดิน และภูมิอากาศในแตละทองท่ีๆ แมลงศัตรูเหลาน้ันที่ทํา ความเสียหายโดยท่ัวไปแลว แมลงศัตรูมันสําปะหลังจะมีการทําลายเปนหยอมๆ และเปนครั้ง คราว แลวแพรขยายปริมาณกวางออกไป บางทองที่เกษตรกรไมสามารถจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได เนื่องจากการเขาทําลายของแมลงศัตรู จึงไดทําการศึกษาวิธีการตางๆ เพื่อใหปริมาณของแมลง ศัตรูพืชเหลาน้ีอยูในระดับ ที่ไมทําความเสียหายทางเศรษฐกิจอันเปนอุปสรรคตอการเพ่ิม ผลผลติ แมลงศัตรูท่สี ําคญั คอื 1. ไรแดงมันสาํ ปะหลงั ชอื่ สามญั Red mite, Spider red mite ชอ่ื วิทยาศาสตร Tetranychus truncatus Ehara วงศ Tetranychidae อันดบั Acarina 1.1 ความสาํ คญั และลักษณะการทาํ ลาย ไรแดงมนั สาํ ปะหลังเปน ศตั รูสําคญั ชนิดหนึ่ง ทําความเสียหายโดยดดู กินนา้ํ เลี้ยงตาม ใต ใบ ทําใหใบเหลือง ซีด แหง และรวง มีผลกระทบกระเทือนตอการเจริญเติบโตของพืช หากวามี ปริมาณของไรแดงระบาดมากในระยะท่ีพืชยังเล็กอยูและประกอบกับสภาพสภาวะอากาศแหง แลงหรือฝนทิ้งชวงเปนเวลานาน อาจทําใหพืชตายไดหรือทําใหการสรางหัวของมันสําปะหลัง ลดลง แตถาทําความเสียหายในระยะพืชเจริญเติบโตดีแลวไมคอยมีผลเสียหายมากนัก เพราะ สวนใหญจะเร่ิมทําลายใบลางๆ และขยายปริมาณออกไปถึงสวนยอดถาหากสภาพแวดลอม เหมาะสม ไรแดงทง้ั ตวั ออนและตัวเตม็ วยั ดูดกนิ นา้ํ เล้ยี งตามสวนของใตใ บบางครง้ั พบอยูบนหลัง ใบ หากมีปรมิ าณของไรแดงมาก จะพบวาสวนยอดแสดงอาการใบงองุมไมเจริญเติบโต และมีใย ขาวบางๆ ปกคลุมอยูตามสว นยอดคลา ยใยแมงมุม ถาในสภาพเชนนพ้ี ืชยงั เลก็ อยูอาจตายได แมลงศัตรูพืชของมนั สําปะหลงั

51 ภาพท่ี 32 ลักษณะการทาํ ลายของไรแดง ภาพที่ 33 ตัวเต็มวัยของตัวหํา้ ไรแดง ( Stchourse pauper culus ) ภาพท่ี 34 ตัวเตม็ วยั ของตัวหํ้าไรแดง ( Oligotu pp. ) ภาพที่ 35 ตัวไรแดง

52 1.2 รูปรา งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ 1.2.1 ไข มีลักษณะกลม สวนที่ติดกับพืชแบนเล็กนอย ใสไมมีสี ไขเปนฟอง เด่ียวๆ แลวจะคอยเปลี่ยนเปนสีชมพูอมสม เม่ือถึงระยะใกลฟกจะเห็นเปนจุดสีแดง 2 จุด ขนาด ของไขกวา งประมาณ 0.19 มม. ยาวประมาณ 0.19 มม. ระยะไข 4-5 วนั 1.2.2 ตัวออน มี 3 ระยะ คอื - Larva เปนระยะออกจากไขใหมๆ ตัวกลมใสมี 6 ขา ขนาดกวาง 0.20 มม. ยาว 0.23 มม. จะมสี ชี มพขู ้นึ เรอ่ื ยๆ ลาํ ตัวยาวรี ดานขางของลําตนทงั้ สองขา ง จะเห็นเปนจุดสีนํ้าตาลแดงคลายแถบและจะมีขนาดของลําตัวกวางประมาณ 0.20 มม. ยาวประมาณ 0.28 มม. ระยะ larva 3 วนั - Protonymph เปนระยะที่ larva ลอกคราบแลวมี 8 ขา ลําตัวสีชมพูเขม เห็น แถบสนี ้าํ ตาลชัดเจน ขนาดกวาง 0.26 มม. ยาว 0.36 มม. ระยะ protonymph ประมาณ 1-3 วัน - Deutonymph มีลกั ษณะเหมือนกับ protonymph แตมีขนาดใหญกวาสีเขมขึ้น ขนาดกวางประมาณ 0.28 มม. ยาว 0.45 มม. ระยะ deutonymph ประมาณ 2-4 วนั เมือ่ ลอกคราบแลวจะเปนตวั เต็มวัย 1.2.3 ตัวเต็มวัย มีลักษณะเหมือนตัวออน แตมีสีเขมข้ึนและขนาดใหญกวา ลําตัวสีแดงเขมเห็นแถบสีนํ้าตาลแดงชัดเจน ขาใสไมมีสี ขนาดกวาง 0.35 มม. ยาว 0.54 มม. ระยะตวั เตม็ วยั 3-31 วนั ไรแดงจะอยูรวมเปนกลุมๆ ทั้งไข ตัวออน และตัวเต็มวัย ตามใบลางๆ ของลําตน โดยเฉพาะตามบริเวณโคนเสนใบ มีการขยายพันธุไดอยางรวดเร็ว ถาหากวาอากาศแหงแลง หรือฝนทง้ิ ชวงเปนเวลานาน ตัวเมียสามารถวางไขไดโดยไมตองผสมพันธุแตเปอรเซ็นตการฟก ของไขมีนอยมาก ประสิทธิภาพของการวางไขตัวเมียตัวหน่ึงวางได 4-134 ฟอง หรือเฉลี่ย ประมาณ 4.79 ฟองตอวัน โดยปกติแลวไรแดงท้ังตัวออนและตัวเต็มวัยจะไมคอยเคลื่อนไหว ไร แดงใชเสนใยขาวบางคลายใยแมงมุมชวยในการเคลื่อนยายไปในที่ไกลๆ และยังใชเสนใยน้ี สําหรับปองกันไขไรแดงจากศัตรูธรรมชาติคือ ตัวห้ํา (predator) ดวย การแพรกระจายของไร แดงเปนไปโดยการเคล่อื นยายและดวยกระแสลม 1.3 การแพรก ระจายและฤดกู ารระบาด พบทั่วไปตามแหลงปลูกมันสําปะหลังในประเทศไทย และท่ัวโลก เชน ประเทศแถบ อเมริกาใต อาฟริกา และเอเชีย มักพบเสมอตลอดระยะการเจริญเติบโต จะมีความสําคัญตอเม่ือ ไรแดงเพ่มิ ปริมาณอยา งรวดเร็วและสภาพแวดลอ มเหมาะสม 1.4 พชื อาหาร มนั สําปะหลงั

53 1.5 ศตั รธู รรมชาติ ดวงเตา Stethorus paperculus Weise อยูในวงศ Coccinellidae เปนดวงเตาปกแข็ง สีดําขนาดเล็กมากประมาณ 1 มม. พบท่ัวๆ ไปตามแหลงปลูกมันสําปะหลังท้ังตัวหนอนและตัว เตม็ วยั ของดวงเตาชนดิ นี้เปนหวั หา้ํ ของไข ตัวออ น และตัวเต็มวัยของไรแดง โดยตัวหํ้าจะดูดกิน ของเหลวภายในไข ตัวออ น และตัวเตม็ วัยของไรแดง การควบคมุ ปรมิ าณของไรแดงโดยดว งเตา ชนิดน้ีคอนขางจะมีประสิทธิภาพ กลาวคือสวนใหญจะพบดวงเตาชนิดน้ีปะปนอยูกับไรแดง เสมอๆ แตบางครั้งมีปญหาเกี่ยวกับการเพ่ิมปริมาณของตัวหํ้าจะมีภายหลังท่ีประชากรของไร แดงเพิ่มสูงขึ้นจนเปนเหตุใหพืชไดรับความเสียหายแลว ประสิทธิภาพของตัวหํ้าชนิดนี้สามารถ ดูดกินของเหลวภายในตัวไรแดงไดประมาณ 3.55 ตัวตอตน ขอดีของตัวห้ําชนิดนี้คือ อายุตัว เตม็ วัยยาวนานกวา ไรแดงมาก อายตุ วั เตม็ วัยประมาณ 30-56 วนั นอกจากนี้ยังพบวา มีดวงปกส้ัน Oligota sp. อยูในวงศ Staphylinidae ซ่ึงเปนตัวห้ําของ ไรแดงเชนเดียวกัน แตยงั ไมไดท ําการศกึ ษาเกีย่ วกับแมลงตัวห้าํ ชนิดน้ี 1.6 การปองกนั จํากดั เนื่องจากไรแดงพบอยูทั่วๆ ไปและไมกอใหเกิดความเสียหาย ถาหากวาพืชเจริญเติบโต ดีและสรางหัวแลว และไมมีสภาพแวดลอมพอเหมาะในการท่ีไรแดงจะขยายปริมาณแลว นอกจากนี้ยังมีแมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมปริมาณของไรแดงอยู ความเสียหายซ่ึงเกิดจากไร แดงก็ยังไมมีความจําเปนท่ีจะตองใชสารฆาไร แตถาหากวาตนมันสําปะหลังยังเล็กอยูหรือถูก ทําลายมากจนอาจจะเปนอันตรายตอพืชได ควรใชสารฆาไรฟอรเมททาเนท (formetanate หรือ rainate) 25% ชนิดผงละลายน้ํา (WP) อัตรา 8 กรัมตอนํ้า 20 ลิตร หรือไดโคฟอล (dicofol หรือ Kelthane) 18.5% ชนิดนํ้ามันละลายนํ้า (EC) อัตรา 32 ซีซี. ตอนํ้า 20 ลิตร พนใหท่ัวตน โดยเฉพาะตามบริเวณใตใบกอนการพนควรทําการสํารวจปริมาณของไรแดงเสียกอน ถาหาก พบวามีไรแดงเรมิ่ แพรกระจายถงึ ยอดแลว ควรทําการพนสารฆาไร 1-2 คร้งั แลว แตปริมาณของ ไรแดงมากนอ ยเพยี งใดหลงั จากการพนสารฆา ไรแลว 2. แมลงนูนหลวง ชื่อสามญั White grub, Curl grub ชื่อวิทยาศาสตร Lepidiota stigma Fabricius วงศ Sacarabaeidae อันดบั Coleoptera 2.1 ความสําคญั และลักษณะการทําลาย แมลงชนิดน้ีเปนศัตรูสําคัญชนิดหนึ่งของมันสําปะหลังโดยเฉพาะในแหลงปลูกที่มีสภาพ เปนดินทราย pH ประมาณ 6-6.5 เชน อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทําความเสียหายเปน หยอมๆ บริเวณท่ีลุมจะพบวา มีการระบาดของแมลงชนิดน้ีนอยกวาบริเวณท่ีเปนเนิน ซ่ึง

54 บางคร้ังไมสามารถเก็บเก่ียวผลผลิตไดเลย ตัวหนอนจะอาศัยอยูบริเวณใกลๆ กับรากมัน สาํ ปะหลงั ภาพที่ 36 ไข ตวั หนอน แมลงนูนหลวง ภาพที่ 37 ตัวเตม็ วยั แมลงนนู หลวง

55 ภายในดิน กัดกินรากและสวนท่ีอยูใตดิน ทําใหตนมันสําปะหลังเล็กและแหง ลักษณะคลายเกิด จากผลกระทบความแหงแลง แตถาถอนตน จะหลดุ ไดโ ดยงา ยถา หากมีการระบาดนอยจะมีผลตอ การสรางหัว ซึ่งทําใหผลผลิตมันสําปะหลังลดนอยลง ทําความเสียหายใหแกพืชในระยะที่พืชยัง เล็กอยู 2.2 รปู รางลกั ษณะและชวี ประวัติ 2.2.1 ไข มสี ขี าว คอนขา งกลม เปลอื กแข็ง ขนาดใหญ กวางประมาณ 4 มม. ยาว ประมาณ 5 มม. 2.2.2 หนอน ลาํ ตวั สขี าวนวลและเปน รปู โคง (C-shaped) หัวกระโหลกใหญปากมี เขยี้ วแข็งแรง สว นขาเจรญิ เติบโตดี ขนาดของตัวหนอนเม่อื โตเตม็ ท่ีกวาง 10 มม. ลําตวั ยาว ประมาณ 65-70 มม. กวาง 20-25 มม. 2.2.3 ดกั แด เปน แบบ exarate เมื่อเขา ดักแดใ หมๆ จะมีสีขาวครมี แลว เปลี่ยนเปน สีนํ้าตาลดํา เห็นหนวด ปก และขา ตดิ อยูขา งลําตัวอยา งชดั เจน ขนาดยาวประมาณ 45-50 มม. กวา ง 25-30 มม. 2.2.4 ตัวเต็มวัย เปนแมลงปกแข็งคอนขางใหญ มีขนาดยาว 32-40 มม. กวาง 15-20 มม. สวนทายของปกมีจุดสีขาวดานและจุด ตัวผูมีสีน้ําตาลดําตลอด สวนตัวเมียมีสีน้ํา ตาลปนเทา การศึกษาชีวประวัติของแมลงนูนหลวง พบวาตัวเต็มวัยจะออกจากดักแดภายในดิน เวลาพลบคํ่า ประมาณ 18.30 น. ราวๆ กลางเดือนกุมภาพันธ และบินมาเกาะตามบริเวณตนไม รมิ ไร เชน ตน มะมวง มะพราว มะขามเทศ และขอย แมลงนูนหลวงจะมาปริมาณมากข้ึนถาหาก มีฝนตกในชวงเดือนกุมภาพันธ ตัวเต็มวัยจะบินวนเวียนอยูประมาณ 15-20 นาทีจึงบินลงเกาะ กงิ่ ไมเพ่อื ทําการผสมพนั ธุ โดยตวั เมยี ใชข าคหู นาเกาะก่ิงไม สวนตัวผูหอยหัวลงมาไมเกาะกิ่งไม การผสมพันธุใชเวลาประมาณ 15-30 นาที และมักอยูตามก่ิงไมประมาณ 10-15 นาที ตัวเมียจะ บินลงสูพื้นดินในบริเวณท่ีปลูกพืชโดยใชขาคูหนาขุดลงไปในดินแลวแทรกตัวลงไปในพื้นดิน สว นตวั ผจู ะเกาะอยตู ามกิง่ ไมแลวจะบินลงสูพ น้ื ดินกอ นรงุ อรุณ หลงั จากผสมพนั ธุแลว 14-25 วัน ตวั เมยี จงึ เรม่ิ วางไข วางอยู 2-6 วัน ประสทิ ธิภาพในการวางไขตัวเมียตัวหนึ่งวางได 15-28 ฟอง หรอื เฉลี่ยประมาณ 19 ฟอง ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 30-40 วนั ระยะไข 15-28 วัน หนอนท่ีฟก ออกใหมๆ หัวกระโหลกกวาง 4 มม. ลําตัวยาวประมาณ 7-8 มม. ระยะนี้หนอนอาศัยอยูบริเวณ ตนมันสําปะหลังลึกลงไป 20-30 ซม. หนอนลอกคราบ 3 ครั้ง หนอนวันท่ีสองหัวกระโหลกกวาง 7 มม. ลดตัวยาวประมาณ 35-40 มม. หนอนวันที่สามเปนวัยท่ีเจริญเติบโตรวดเร็วและกินจุ มากกวาวัยอ่ืนๆ ดังนั้นจึงทําลายพืชไดมากกวาวัยอ่ืน พบอยูลึกในดินประมาณ 10-15 ซม. ตัวหนอนโตเต็มท่ีหัวกะโหลกกวาง 10 มม. ระยะหนอนมีอายุนานถึง 8-9 เดือน แลวจึงเขา

56 ดักแดประมาณเดือนธันวาคม กอนท่ีจะเขาดักแด หนอนจะมุดลงไปในดินลึกประมาณ 30-60 ซม. จากผิวดิน บางตัวพบลึกถึง 85 ซม. แลวเขาดักแดในโพรงดินนั้น โดยทําเปนโพรงดินขนาด กวาง 25 มม. ยาวประมาณ 55 มม. ระยะดักแดป ระมาณ 2 เดอื น จึงออกเปนตัวเต็มวัย แลว จะผสมพันธุทันที ตัวเต็มวัยกินอาหารนอยมาก และไมชอบบินมาเลนไฟ ชีพจักรของแมลงชนิด นีป้ ระมาณ 1 ป 2.3 การกระจายและฤดูการระบาด เปน แมลงทพ่ี บแพรห ลายแถบบริเวณเอเซียตะวนั ออกเฉียงใต หรือบรเิ วณแหลงปลกู มนั สาํ ปะหลงั ทีเ่ ปนดินทราย ในประเทศไทยพบที่จังหวดั ชลบรุ ี ระยอง และอดุ รธานี 2.4 พืชอาหาร มันสําปะหลังและออ ย 2.5 ศัตรูธรรมชาติ ขณะไถพรวนจะมีหนอนปรากฏขึ้นตามรอยไถ นก และสุนัขคอยกินหนอนเหลานี้ บางครั้งสุนัขขุดเปนโพรงใกลๆ กับตนมันสําปะหลัง เพ่ือหาหนอนกิน ตนหักลมเปนเหตุทําให หัวมันสําปะหลังแกไมเต็มท่ี เสียคุณภาพ นอกจากน้ียังพบเช้ือราคอยทําลายดักแดภายในดิน และเกษตรกรมคี วามนิยมเกบ็ ตวั เตม็ วยั ทอดเปน อาหาร 2.6 การปอ งกันกําจัด 1. รวบรวมตัวเต็มวัยตามบริเวณตนไมใหญริมไรในราวกลางเดือนกุมภาพันธนํามา ทําลายหรอื ทําเปนอาหาร เปนการชวยลดปรมิ าณไดมาก 2. ควรไถพรวนหลายๆ ครงั้ ตากแดดใหน านเพ่ือทําลายหนอนในดินซ่งึ ขนึ้ มาตามรอยไถ 3. การใชยาฆาแมลงควรใชในรูปแบบของวิธีการปองกันจะใหผลดีกวาการจํากัด ระยะเวลาท่ีเหมาะสมในการใชสารฆาแมลง คือระยะที่ตัวหนอนเร่ิมฟกออกจากไขประมาณ กลางเดือนมีนาคม โดยใชสารฆาแมลง บี เอช ซี (BHC) 6% ชนิดผง (dust) อัตรา 20 กก./ไร หรือ บี เอช ซี 6% ชนิดเม็ด (granult) อัตรา 6 กก./ไร หรือ คารโบฟูแรน (carbofuran) 3% ชนิดเม็ด อัตรา 12 กก./ไร โรยขางๆ ตนมันสําปะหลังทั้ง 2 ขาง หางกันประมาณ 20 ซม. แลว กลบดวยดิน 3. ดว งหนวดยาว Stem boring grub ช่อื สามัญ Dorysthenes ( Lophosternus) buqueti Guerin ชือ่ วทิ ยาศาสตร Cerambycidae วงศ Coleoptera อนั ดับ 3.1 ความสําคัญและลกั ษณะการทาํ ลาย

57 ดวงหนวดยาวเปน แมลงศตั รทู พี่ บเขา ทาํ ลายตนมนั สาํ ปะหลังในระยะทพ่ี ชื เจริญเตบิ โต แลว มักจะพบในแหลง ซึง่ เปน ดินรว นทราย pH 6.8 - 6.9 สวนใหญแ ลวพบวา เขา ทําลายกบั ตน ออยมากกวามนั สําปะหลัง ตัวหนอนจะเขาไปกัดกินอยภู ายในเหงา และหัวมนั สาํ ปะหลังทําให หัวมันสําปะหลังเสยี หายทง้ั คณุ ภาพและราคา หรอื ทําใหต น หกั ลมกอ นกาํ หนดเนอ่ื งจากถกู หนอนกดั กินเปนโพรงอยภู ายในลาํ ตนหรอื โคนตน 3.2 รูปรา งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ 3.2.1 ไข รปู ยาวรี สีนา้ํ ตาลออน ขนาดยาว 3.0-3.5 มม. กวา ง 0.8-1.0 มม. เปลือกไขค อนขางแขง็ 3.2.2 หนอน ลําตัวขาวนวล รูปทรงกระบอกแบนเล็กนอย สวนอกกวางกวา สวนทอง หัวกระโหลกมีสีนํ้าตาลขนาดเล็กกวาลําตัว ปากเล็ก แตมีเข้ียวแข็งแรง ขามีขนาดเล็ก มาก หนอนโตเตม็ ท่ีหัวกระโหลกกวา ง 12 มม. ลาํ ตัวยาว 70-100 มม. กวางประมาณ 20-30 มม. 3.2.3 ดกั แด เปน exarate เหน็ หนวด ปก และขาชดั เจน ขนาดของดกั แดก วาง 24-26 มม. ยาว 40-50 มม. 3.2.4 ตวั เตม็ วยั เปนดว งหนวดยาวสนี ํา้ ตาลแดง ขนาดยาวประมาณ 25-40 มม. กวา ง 10-15 มม. ตวั เมยี ปลายทองสุดทา ยของสวนทอ งมีลกั ษณะมน สวนตวั ผมู ลี กั ษณะตรง ปลายสว นทายเวา จากการศึกษาชีวประวัติ ไดทําการศึกษาชีวประวัติ พบวา ตัวเต็มวัยออกจาก ดักแดภายหลังฝนตกในเวลากลางคืน มีปริมาณมากประมาณเดือนเมษายน ตัวเต็มวัยมีนิสัย วองวัยในเวลากลางคืน กลางวันหลบซอนอยูบริเวณโคนตนพืช ไมคอยชอบบินกลับหลังจาก ผสมพันธุแลว ตัวเมียจะวางไขเปนฟองเดี่ยวๆ ในดินบริเวณใกลๆ ตนมันสําปะหลัง ตัวเมีย สามารถวางไขไดได 500-600 ฟองอายุตัวเต็มประมาณ 15-20 วัน ระยะไข 15-18 วันหนอนที่ ฟกออกจากไขใหมๆ หัวกระโหลกกวาง 0.7 มม. ลําตัวยาว 4 มม. หนอนมีการลอกคราบไม นอ ยกวา 5 คร้ัง ตัวหนอนมีนิสัยวองไว เคลื่อนยายไดรวดเร็ว หนอนจะเขาดักแดบริเวณโคนตน พืชอาศัย ลึกจากดินประมาณ 15-20 ซม. กอนหนอนจะเขาดักแดจะใชเศษพืชทําเปนรังหุมหอ สําหรับการเขาดักแดภายใน ขนาดของรังดักแดยาว 60-70 มม. กวาง 40-50 มม. ระยะดักแด 12-15 วนั หนอนชนิดนี้มหี ลายรนุ ตอ ป 3.3 การแพรก ระจายและฤดูการระบาด พบมากในดนิ รวนทรายท่จี งั หวัดชลบรุ ี และระยอง สว นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือพบเขา ทาํ ลายออยและมันสําปะหลงั ทจ่ี ังหวัดขอนแกน และอดุ รธานี 3.4 พชื อาศยั มนั สําปะหลังและออ ย 3.5 ศัตรธู รรมชาติ สนุ ัขและนกเปนศตั รธู รรมชาติคอยกนิ หนอนชนดิ น้ี และพบเชื้อรา Metarrhizium sp. ทําลายหนอนโดยหนอนจะมีราสีเขยี วขึ้นตลอดลาํ ตวั และจะแหงตาย นอกจากน้ยี งั พบไสเดือน

58 ฝอยซ่งึ ยังไมไ ดจาํ แนกชือ่ ทาํ ลายในระยะดกั แด ทําใหไมส ามารถจะเปน ตวั เต็มวยั ไดแ ละพบพวก ไรทาํ ลายในระยะดักแดเชน กนั 3.6 การปอ งกัน หนอนชนิดนเี้ ปน แมลงศัตรพู ืชทีส่ ําคญั ของออ ยมากกวามันสําปะหลัง ดังนั้นในแหลงที่มี การปลกู มันสาํ ปะหลงั จงึ ไมค อ ยพบปญหาเหลานี้มากนัก การปองกนั การทําลายของแมลงชนิดนี้ ทําไดยาก เนื่องจากหนอนมีหลายรุนตอป สารฆาแมลงท่ีควรใชสําหรับการปองกันกําจัดคือ บี เอช ซี (BHC) 6% ชนิดเม็ด (granule) อัตรา 15-20 กก./ไร โดยแบงใส 2 ระยะคือ โรยบนทอน พนั ธุข ณะปลูก และใสซํ้าอีกคร้ังหลงั จากปลูกแลว 60 วนั โดยโรยขางๆแถวของพืชแลวกลบดว ย ดนิ 4.ปลวก Termite ชอ่ื สามญั Coptotermes gestroi Wasmann ชือ่ วิทยาศาสตร Coptotermes spp. Coptotermidae วงศยอ ย Rhinotermitidae วงศ Isoptera อนั ดับ 4.1 ความสาํ คญั และลักษณะการทาํ ลาย ปลวกเปนแมลงศัตรูท่ีสําคัญชนิดหนึ่งของมันสําปะหลัง ทําความเสียหายตั้งแตระยะ ทอนพันธุ จนถึงระยะเก็บเกี่ยว ปลวกจะเขากัดกินอยูภายในทอนพันธุทําใหพืชไมงอกหรือกัด กินภายในลําตนและนําดินขึ้นบรรจุไวแทนลําตน ถามีการทําลายมากๆ จะทําใหเกิดการหักลม ซึ่งเปนปญหาตอปริมาณทอนพันธุลดลงในฤดูปลูกตอไป ถาหากลงทําลายสวนหัวจะทําใหหัว เนาเสียคุณภาพ ในพื้นที่ท่ีปลวกระบาดสภาพภูมิอากาศแหงแลงเปนเวลานาน ปลวกจะเพ่ิม ปริมาณทําความเสียหายใหแกพืชอยางมาก การเขาทําลายของปลวกข้ึนอยูกับสภาพของพื้นที่ และระยะเวลาในการเจริญเติบโต สวนใหญมักพบตามแหลงบริเวณพื้นท่ีเปดใหม หรือพ้ืนที่บน เนิน จอมปลวกเกา เชน จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา มีปลวกเขาทําลายในระยะทอนพันธุ และ จงั หวัดระยองพบปลวกเขา ทาํ ลายในระยะทีพ่ ืชสรา งหวั แลว 4.2 รปู รา งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ ลําตัวสีขาวขุน รูปรางยาวรี หัวกระโหลกใหญมีสีน้ําตาลออน มีเข้ียวสีนํ้าตาล เขม 2 อัน เห็นชัดเจน โดยทั่วไปการจําแนกชื่อปลวกมักถือหลักการปลวกทหาร (soldier) ดูลักษณะของหัวและเขี้ยว (mandible) สวนหัวและเขี้ยว ปลวกชนิดนี้คอนขางกลม สวนปลาย

59 เรียวกวาขนาดหัวกวางประมาณ 1 มม. ยาว 12 มม. เขี้ยวยาวเกือบเทาสวนยาวของหัว กะโหลกสว นอกเลก็ สวนทองขยายใหญ กวา ง 1 มม. ขนาดลําตวั ยาวประมาณ 4 มม. ภาพท่ี 48 ปลวกทาํ ลายทอนพนั ธุ ภาพท่ี 49 ปลวกทําลายตน ภาพที่ 50 ปลวกทําลายสวนหัว

60 จากการศกึ ษาชวี ประวัติโดยทั่วๆไปของปลวกพอจะกลา วโดยสังเขปดงั นี้ คอื ปลวกเปน แมลงท่ีจัดอยูในพวกท่ีอยูรวมกันเปนสังคม (social insect) ประชาคม (community) ของปลวก รังหน่ึงประกอบดวยปลวกแรงงาน (worker) มีหนาที่หาอาหารและทําลายพืชผล ปลวกทหาร (soldier) มีหนาท่ีตอสูศัตรู และปลวกที่มีหนาที่ขยายพันธุ คือปลวกพอพันธุและปลวกราชินี (king and queen) มีการแบงหนาที่ทํางานเปนพวกๆ การแพรพันธุของปลวก นอกจากวิธีที่ตัว เต็มวยั บนิ ออกจากรังเดิมเพื่อไปสรางรังใหมแลวยังมีอีกวิธีการหนึ่งคือ วิธีแยกตัวเองออกจากรัง เดิมและสรา งปลวกราชินีขึ้นใหมขยายพันธุตอไป ระยะฤดูฝนเปนระยะการขยายพันธุของปลวก ปลวกท่ีมีหนาท่ีแพรพันธุทั้งตัวผูและตัวเมียจะบินออกจากรังเดิมเพ่ือทําการผสมพันธุ และชอบ บินเลนแสงไฟ เม่ือพบแหลงท่ีเหมาะสําหรับท่ีจะวางไขก็บินลงแลวสลัดปกออก ปลวกตัวผู รูปรางไมเปล่ียนแปลง ตัวเมียสวนทองจะขยายใหญขึ้นเพื่อขยายความสามารถในการวางไข ชีพจักรของปลวกมี 3 ระยะคือ ไข ตัวออน และตัวเต็มวัย ไขมีรูปรางเปนทรงกระบอกโคงตรง สวนปลาย วางเปนฟองเด่ียวๆ ระยะสรางรังใหม ปลวกรุนแรกจะเปนปลวกแรงงานเพ่ือเพ่ิม ปริมาณใหพอกับความตองการในการหาอาหารเล้ียงตัวออนของปลวกรุนตอไป ตอจากนั้นจะ ผลิตปลวกทหาร ตัวออนของปลวกในระยะลอกคราบคร้ังท่ี 1 และ 2 ยังไมสามารถแยกไดออก วาเปนปลวกชนิดใด จะแยกชนิดไดเมื่อระยะลอกคราบครั้งที่ 3 และ 4 ในระยะน้ีปลวกมีหนาที่ ขยายพันธุสรางปุมปก (wing pad) ขึ้นมากอนแลวปกจะขยายใหญขึ้นจนถึงฤดูแพรพันธุ เมื่อโต เต็มท่ีจะบินออกจากรัง ปลวกราชินีของรังเกาเมื่อไมสามารถวางไขไดหรือตายแลวก็จะมีการ สรา งปลวกราชินีข้ึนมาแทนใหมได 4.3 การแพรก ระจายและฤดูการระบาด เปนแมลงพบเสมอในบรเิ วณทป่ี ลกู มันสําปะหลงั ตามแหลงเขตทล่ี มุ แถบรอน ของโลก เชน ประเทศไทย อนิ เดีย ไนจีเรีย และโคลอมเบยี 4.4 พชื อาหาร มนั สําปะหลงั และออ ย 4.5 ศัตรธู รรมชาติ จากการศกึ ษาสาํ รวจยงั ไมพ บศตั รูธรรมชาติของปลวก นอกจากนกและมดชวยกิน ปลวกในขณะไถพรวน 4.6 การปองกันกาํ จดั โดยท่ัวไปแลว การเขา ทําลายของปลวกขึ้นอยกู ับสภาพของพน้ื ทแ่ี ละระยะเวลา การเขาทําลาย ถาหากทําลายในระยะที่เปน ทอนพันธุ การใชส ารฆา แมลงควรใชเฉพาะชว งแรก คอื การชบุ ทอ นพนั ธุด วย dieldrin (Dieldrex) 50% ชนดิ ผงละลายนาํ้ (WP) อตั ราความเขมขน 0.5% แชนาน 10 นาที ผ่งึ ลมใหแ หง กอนปลูก

61 ถาการเขาทําลายของปลวกในระยะทม่ี นั สาํ ปะหลงั โตแลว คอื ทาํ ลายบรเิ วณโคนตน หรือภายในลําตน หรือสวนหวั ใหฉดี สารฆาแมลงบรเิ วณโคนรอบๆตน พืชเม่อื อายุ 4 เดือนและ 8 เดอื น ดวยสารฆาแมลง dieldrin อัตรา 0.5% ข้นึ อยูกบั ปรมิ าณของปลวกทเ่ี ขาทาํ ลายใน บริเวณนนั้ การปองกันกาํ จัดปลวกมันสาํ ปะหลงั จากการศกึ ษาพบวา ในแปลงท่มี ีการทําลายของ ปลวกนนั้ การใชสารฆา แมลงทาํ การปองกันกําจดั นั้นผลผลติ ของงหวั มนั สําปะหลังสดไมม ีความ แตกตา งกบั แปลงท่ีไมใชส ารฆา แมลง เนอื่ งจากการเขาทาํ ลายของปลวกมปี ริมาณนอยและมัน สําปะหลงั ตน ขางเคยี งสามารถใหผ ลผลติ เพ่มิ ทดแทนตนทถ่ี กู ทาํ ลายได นอกจากวาแหลง ปลกู ซงึ่ มีปรมิ าณปลวกเขา ทาํ ลายมาก จงึ ควรทีจ่ ะใชสารฆาแมลงเพ่ือทาํ การปอ งกันและกาํ จดั ปลวก ดงั กลา ว การตัดสนิ ใจในการใชส ารฆา แมลง โดยการสาํ รวจขณะไถพ้ืนที่กอนปลกู มนั สาํ ปะหลัง ดงั นค้ี ือ 1. ถา พบรงั ปลวกนอ ยและกระจายไมสมํา่ เสมอ ใชว ธิ ชี บุ ทอนพันธุด วย dieldrin อตั รา 0.5% (200 กรมั ตอน้าํ 20 ลติ ร) 2. ถา พบรงั ปลวกมากและกระจายอยทู ัว่ แปลง ควรพน ดว ย heptachlor (Alamon Termicide) 40% ชนิดผงละลายน้าํ (WP) อัตรา 2 กก.ตอ ไร หรอื dieldrin 50% หรือ aldrin (Aldrex) 40% ชนดิ ผงละลายนา้ํ (WP) อัตรา 1 กก./ไร ฉีดใหทัว่ แปลง แลว พรวนใหเ ขา กับดนิ 3. ถา เปนจอมปลวกทมี่ ีอยใู นแปลงท่มี ีอยูในบริเวณแปลงมนั สําปะหลงั ควรใช dieldrin หรือ aldrin ผสมนาํ้ 400-500 กรมั ตอนํา้ 20 ลิตร จํานวน 5-20 ลติ ร ฉดี เขา ไปตามรู ที่เจาะลึกลงไปสรู ังปลวก 5.เพล้ยี หอยขาว ชื่อสามญั White scale insect ชือ่ วทิ ยาศาสตร Aonidomytilus albus (Cockerell) วงศ Diaspidae อันดบั Homoptera 5.1 ความสําคญั และลกั ษณะการทาํ ลาย เพลย้ี หอยขาวเปน แมลงปากดดู ทเ่ี ริ่มมีบทบาทสําคัญชนิดหน่ึงของมันสําปะหลังโดยพบ เขาทําลายตามสวนลางคือโคนตนและแพรขยายปริมาณไปตามลําตนและสวนยอด การเขา ทําลายของเพล้ียหอยขาวมีความสําคัญมากนอยขึ้นอยูกับปริมาณและระยะเวลาการระบาด ถาหากเขาทําลายในสวนท่ีพืชยังเล็กอยู ใบจะขาดการสังเคราะหแสง ซ่ึงทําใหพืชชะงักการ

62 เจริญเติบโต แหงและอาจตายได ตนมันสําปะหลังซ่ึงสามารถมีชีวิตรอดจากการเขาทําลายของ เพล้ยี หอยขาวโดยทั่วไปแลวจะพบวา มีการเจริญเตบิ โตชาและคุณภาพของหัวมันสาํ ปะหลังดอ ยลง ลกั ษณะการทาํ ลายของเพล้ยี ภาพท่ี 38 เพล้ยี หอยขาว ภาพที่ 40 เพลี้ยแปง ภาพท่ี 39 เพลย้ี หอยดาํ

63 คือ ขาดรสชาติ จากการศึกษาพบวาคุณภาพของหัวมันสําปะหลังเม่ือตนถูกเพล้ียหอยเขา ทําลาย เน้ือหัวมันสําปะหลังจะแข็งกระดาง มีแตเสนใย เน่ืองจากนํ้าเล้ียงของลําตนและสวนหัว ถูกแมลงศัตรูชนิดนี้เขาทําลายดูดกินเสียหมด นอกจากน้ีตนมันสําปะหลังท่ีมีความสมบรูณมา กอนและถูกเพลี้ยหอยเขาทําลายอยางมาก ถึงแมวาจะแสดงอาการที่ถูกทําลายไมมากนัก แต ควรจะไดเก็บเกี่ยวผลผลิตภายใน 2-3 เดือนหลังจากถูกเพล้ียหอยเขาทําลายมิฉะน้ันจะไม สามารถนาํ มาบริโภคได เพล้ียหอยขาวทําความเเสียหายใหแกพืชในระยะท่ีเจริญเติบโตเต็มท่ีแลว ผลผลิตอาจ สูญเสียหรือยังไมไดมีการศึกษาหรือมีรายงานอยางแนนอน นอกจากคุณภาพของหัวมัน สําปะหลังเสียแลว ทอนพันธุท่ีนําปลูกในฤดูตอไปก็ลดนอยลง ทอนพันธุมันสําปะหลังซึ่งมีเพลี้ย หอยขาวเขาทําลาย 50% ตามขอและมีปกคลุมสวนของตาทั้งหมดแลวความงอกจะสูญเสียไป 77% และถามีเพล้ียหอยขาวเขาทําลาย 90% ของพ้ืนท่ีของทอนพันธุ ความงอกจะสูญเสียถึง 91% จะเห็นไดวา ถาไมมีการปองกันกําจัดเพล้ียหอยขาวในระยะซึ่งแมลงศัตรูชนิดนี้ยังไมมี ความสําคัญมากนัก เพราะโดยทั่วไปการเขาทําลายจะเปนหยอมๆปญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต คือปริมาณทอ นพนั ธจุ ะลดลง และมีการสะสมแมลงศัตรชู นดิ นซี้ ง่ึ ติดอยกู ับทอนพันธเุ สมอๆ 5.2รูปรางลกั ษณะและชวี ประวตั ิ จากการศกึ ษาชีวประวัติของเพลยี้ หอยขาวมดี ังนค้ี ือ ตวั เมียวางไขภายในเกล็ดใตเสนใย ท่ีผลิตออกมา ความสามารถของตัวเมียในการวางไขได 43-47 ฟองตอตัว ระยะไขประมาณ 4 วันตัวออนในวัยแรกเรียกวา crawler สามารถเคล่ือนไหวไดและเปนตัวแพรกระจาย crawler จะ หยุดอยูกับท่ีภายใน 1-4 วัน ปกคลุมตัวดวยเสนใยและลอกคราบภายใน 11 วันและจะไม สามารถเคลื่อนยายได หลังจากนั้น 4 วันจะเปนตัวเต็มวัยเริ่มวางไขหลังจากนั้น 1-2 วันชีพจักร ของตัวเมียประมาณ 22-25 วัน เพลี้ยหอยขาวตัวผูนั้นมีปก 1 คูและขา มี 2 วัย คือวัยที่ 1 ประมาณ 10 วัน และวัยที่ 2 ประมาณ 6.5 วัน ระยะกอนเขาดักแดและระยะดักแด 4.5 วันระยะ ตัวเต็มวัย 1-3 วันชีพจักรของตัวผูประมาณ 23 วัน ตัวออนวัยท่ี 2 จึงสามารถแยกเพศไววาปน ตวั ผหู รอื ตวั เมีย 5.3 การแพรก ระจายและฤดกู ารระบาด มีตามแหลงที่ปลกู มนั สําปะหลังในแถบประเทศอเมริกาใต อาฟริกา เอเชีย และประเทศไทย ทําความเสียหายมากเมอ่ื มีฝนแลงหรอื ฝนท้ิงชวงเปนเวลานาน 5.4 พืชอาศัย มันสาํ ปะหลัง 5.5 ศตั รูธรรมชาติ พบดวงเตาแดง Micrapis discolor (Fabricius) (Coccinellidae) เปน ตัวหํา้ ของแมลง ชนิดน้ี โดยอยูปะปนกบั เพล้ียหอยขาวตามลาํ ตน

64 5.6 การปองกนั กําจดั การใชทอนพันธุที่ปราศจากเพลี้ยหอยขาวเปนวิธีที่ดีท่ีสุด ตนมันสําปะหลังตนใดท่ีถูก แมลงชนิดน้ีเขาทําลายควรจะไดทําการตัดท้ิงและทําลายเสีย หากพบวาทอนพันธุมีเพล้ียหอย ขาวปะปนอยู ควรทําการชุบทอนพันธุดวย malathion (Malathion 1000 E) อัตรา 0.1% หรือ dimethoate (Dime) 30% EC อตั รา 0.1% ชุบทอ นพนั ธุนาน 10 นาที ผง่ึ ใหแ หง กอ นปลูก 6. เพลย้ี หอยดาํ Black scale insect ช่อื สามัญ Parasaissetia nigra (Niether) ชื่อวทิ ยาศาสตร Coccidae วงศ Homoptera อันดับ 6.1 ความสําคญั และลกั ษณะการเขา ทาํ ลาย เพลยี้ หอยดําเปนแมลงศตั รพู ชื ชนิดหนึ่งของมันสําปะหลังประเภทแมลงปากดูดทําความ เสยี หายโดยดูดกนิ น้าํ เลี้ยงจากสวนของลําตน กิ่ง และสวนยอดของตนมันสําปะหลังสวนของพืช ที่ถูกแมลงชนิดนี้ทําลายจะแหงซีดและตายไป เพลี้ยหอยดํามักจะเพิ่มความเสียหายใหแกพืช มากขึ้นถาหากมีการปลูกพืชซ้ําและไมมีการปองกันและกําจัด อันเปนสาเหตุใหเพล้ียหอยดํา สะสมและแพรก ระจายไปยังตน หรอื ทอ นพันธุ ซึ่งปราศจากการเขาทําลายของเพลี้ยหอยดํา การ ทําลายของเพล้ียหอยดําสวนใหญสวนใหญแลวมักพบตามสวนบนของลําตน ซ่ึงผิดกับเพล้ีย หอยขาวทําความเสียหายจากสวนลางข้ึนมา สวนใหญแลวจะไมคอยพบเพล้ียหอยดํากับเพล้ีย หอยขาวเขาทําลายตนมันสําปะหลังตนเดียวกัน ในปจจุบันปญหาเพล้ียหอยดํายังไมมี ความสําคัญมากนักเน่ืองจากมีการเขาทําลายเปนตนๆ และขยายปริมาณออกไปตามตน ขางเคียง ซ่ึงถามีการปองกันกําจัดและทําลายในระยะแรก โอกาสท่ีเพล้ียหอยดําจะทําความ เสียหายใหแกพืชยอมมีนอยลงแตถาหากละเลยแลวเพล้ียหอยดําจะกลายเปนศัตรูท่ีสําคัญชนิด หน่ึงของมนั สําปะหลังในอนาคตก็ได สาํ หรบั รายละเอยี ดเกี่ยวกบั ชีวประวตั ิ ความสูญเสยี ทีเ่ กิดจากแมลงชนดิ นี้ แมลงศัตรธู รรมชาติ และการปอ งกันกําจัดอยใู นระหวางการศกึ ษา 7. เพลี้ยแปง Mealybugs ชื่อสามญั Ferrisia virgata (Cockerell) ช่อื วทิ ยาศาสตร Pseudococcidae วงศ Homoptera อนั ดบั

65 7.1 ความสําคัญและลักษณะการเขาทาํ ลาย เพล้ียแปงเปนแมลงปากดูดซึ่งทําความเสียหายใหแกตนมันสําปะหลัง โดยเขาทําลาย เกาะดดู กนิ น้ําเล้ยี งจาก ลําตน สว นยอด และใบพืช ทําใหพ ืชชะงักการเจริญเตบิ โต ปลอ งถ่ี การ สังเคราะหแสงไมเต็มที่ หากมีปริมาณเพล้ียแปงเขาทําลายมากๆ จะทําใหใบแหง ซีด เหลือง รว ง บางครั้งบริเวณสวนยอดของพืชอาจตายได โดยท่ัวไปแลวมักจะพบแมลงศัตรูพืชชนิดนี้เขา ทําลายพืชในระยะที่พืชใกลเก็บเกี่ยว และเปนปริมาณมากถาสภาพภูมิอากาศแหงแลงเปน เวลานาน การเขาทําลายของเพล้ียแปงในระยะน้ีอาจไมมีผลกระทบกระทบกระเทือนตอผลผลิต ของมันสําปะหลัง แตจะเกิดปญหาเก่ียวกับเรื่องปริมาณของทอนพันธุ ซ่ึงจะเปนปญหาตอไปใน อนาคตถาหากมีการสะสมแมลงศัตรูพืชชนิดนี้ซึ่งติดอยูกับทอนพันธุเสมอๆ เพราะเพล้ียแปงจะ ทําความเสียหายใหแกตนมันสําปะหลังต้ังแตยังเล็กอยูแทนที่จะทําความเสียหายเมื่อตนมัน สาํ ปะหลงั อยใู นระยะเก็บเก่ียว รายละเอียดเก่ยี วกับชีวประวตั ิ ความสญู เสียของมนั สาํ ปะหลังซึ่งเกิดจากแมลงชนดิ นี้ แมลงศตั รธู รรมชาติ และวธิ กี ารปองกันกําจดั อยูใ นระหวา งการศกึ ษา โรคมนั สาํ ปะหลังและการปอ งกนั กาํ จัด มันสําปะหลังเปนพืชเศรษฐกิจท่ีเกษตรกรนิยมปลูกกันมาก เพราะเปนพืชทนแลง ปลูกงาย ใชปจจัยในการผลิตนอย สามารถผลิตไดแมในที่มีความอุดมสมบูรณต่ํา และเน่ืองจาก เกษตรเห็นวา เปน พชื ท่มี ีปญ หาดา นศัตรพู ชื นอยไมต องใชสารเคมีในการปองกันกําจัด และยังไม มีรายงานความเสียหายผลผลิตท่ีชัดเจนเชนพืชไรอื่นๆ แมความสําคัญของโรคมันสําปะหลัง ประเทศไทย ยังเห็นไมชัดเจนเทากับบางประเทศในแถบลาตินอเมริกาและอัฟริกา แตการปลูก มันสาํ ปะหลังติดตอกันเปนเวลานาน การมีพันธุใหมๆเพิ่มขึ้นทั้งจากพันธุที่ผสมเองและมีการนํา สายพันธุเขาจากตางประเทศเพ่ือการปรับปรุงพันธุตลอดจนสภาพแวดลอมท่ีแปรปรวนมากขึ้น ในปจจุบัน ทําใหพบโรคและสิ่งผิดปกติที่เกิดข้ึนกับมันสําปะหลังในประเทศของเรามากขึ้น สําหรับบางโรคแมวาจะยังไมเคยพบในประเทศไทย เชน โรคท่ีเกิดจากเชื้อวิสาและมายโค พลาสมา ก็ควรจะไดรับการเอาใจใสอยางระมัดระวัง ไมใหมีการติดเขามาเพ่ือเปนการปองกัน ลว งหนา โรคของมันสําปะหลังท้ังโรคที่เกิดจาก เช้ือรา แบคทีเรีย เชื้อวิสา และเช้ือมายโค พลาสมา เทาท่ีรายงานมีประมาณ 30 โรค ท่ีสําคัญไดแก โรคใบไหมทั้งท่ีเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชือ้ รา โรคใบจดุ สีนา้ํ ตาล โรคลําตน เนา และโรครากเนา นอกจากน้ียังมีโรคอ่ืนๆ อีกมากพอ รวบรวมไดดังนี้ โรคใบไหม (cassava bacterial blight) เกิดจากเช้ือ Xanthomonas campestris pv. manihotis

66 โรคใบจุดเหลี่ยม (cassava bacterial angular leaf spot) เกิดจากเช้ือ Xanthomonas campestris cassavae cassivae โรคลําตนเนา (cassava bacterial stem rot) เกิดจากเชื้อ Erwinia carotovora ca. carotovora โรคใบจดุ สนี ้ําตาล (Brown leaf spot) เกดิ จากเช้ือ Cercosporidium henningsii โรคใบจดุ ไหมจ ากเชอ้ื รา (Blight leaf spot) เกดิ จากเชอื้ Cercospora vicosae โรคใบจุดขาว (White leaf spot) เกิดจากเชื้อ Phaeoramularia manihotis (Cercospora caribaea) โรคใบจดุ วงแหวน (Concentric-ring leaf spot) เกิดจากเชื้อ Phoma (Phyllosticta) sp. โรคลาํ ตนยาวเรียว (Super elongation) เกิดจากเชอื้ Sphaceloma manihoticola โรคขเ้ี ถาหรอื ราแปง (Cassava ash) เกิดจากเชอ้ื Oidium manihotis โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) เกดิ จากเช้ือ Colletotrichum spp. or Glomerella sp. โรคราสนมิ (Rust) เกิดจากเชือ้ Uromyces spp. โรคลําตน หรอื ทอ นพันธุเนา (Stem rot) - Glomerella stem rot เกิดจากเช้อื Glomerella cingulata - Botryodiplodia stem rot เกิดจากเชือ้ Botryodiplodia theobromae - Diplodia stem rot เกิดจากเชอ้ื Diplodia manihotis โรครากหรือหวั เนา (Root rot diseases) - โรคหัวเนา เละ (Soft root rot) เกดิ จากเชอ้ื Phytophtora drechsleri และ Phytium sp. - โรคหวั เนา แหง (Dry root rot) เกิดจากเช้อื Rigidoporus (Fomes) lignosus - โรคหัวเนา ดํา เกิดจากเชื้อ Rosellinia necatrix - โรคเนาคอดิน (Damping off or Corticium root rot) เกิดจากเช้ือ Corticium (Sclerotium) rolfsii โรคใบดา งทีเ่ กิดจากเชอ้ื วิสา ไดแก African mosaic Common mosaic Leaf vien mosaic Latent virus Caribbean mosaic โรคหนังกบ (Frog skin disease) เกิดจากเชื้อวิสา แพรระบาด โดยติดไปกับทอนพันธุ และโดยแมลงหวข่ี าว (Bemisia spp.) โรคไมก วาด (Witches’ broom) เกดิ จากเช้อื มายโคพลาสมา

67 สําหรบั โรคทสี่ ําคญั ในประเทศไทยเทา ทีส่ าํ รวจพบต้ังแตป  2518 มีรายละเอียดดงั น้ี 1. โรคใบไหม (Cassava Bacterial Blight : CBB) เกิดจากเชื้อ Xanthomonas campestris pv. Manihotis มีรายงานการพบคร้ังแรกในประเทศบราซิล ในป 1912 หลังจากน้ัน ก็มีรายงานการแพรระบาดเกือบทุกประเทศท่ีมีการปลูกมันสําปะหลังทั้งในทวีปเอเซีย และ ลาตินอเมริกา ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่จังหวัดระยองเม่ือป พ.ศ. 2518 และตอมาพบทั่ว ทุกภาค ระดับความเสียหายเนื่องจากโรคนี้มีต้ังแต 30 เปอรเซ็นต เม่ือใชทอนพันธุจากตนที่ เปนโรค ถาสภาพแวดลอมเหมาะสมตอการเกิดโรคและใชตนพันธุที่เปนโรค ติดตอกัน 3 ถึง 4 ป โดยไมมีการปองกันกําจัด ความเสียหายอาจมีถึง 80 เปอรเซ็นต ระดับความเสียหายจะ ขึ้นอยูกับเปอรเซ็นตการใชทอนพันธุท่ีมีเชื้อปะปนมา (contaminated cutting) ปลูกในแปลง และความเสียหายจะรุนแรงข้ึนอาจถึง 90 เปอรเซ็นต เมื่อมีเชื้อโรคพวก weakpathogen เชน เชื้อ Colletrotrichum spp. และ Choanephora cucurbitarum รวมเขาทําลาย นอกจากจะทํา ความเสียหายกับผลผลิตโดยตรงแลวยังทําใหประชากรในบางประเทศอดอาหาร เน่ืองจากคน เหลานั้นรับประทานใบมันสําปะหลังแทนผัก และเปนแหลงโปรตีนและไวตามินที่สําคัญ ฉะนั้น โรคใบไหม CBB จึงมีความสําคัญเปนอันดับ 1 ในแถบอัฟริกา และลาตินอเมริกา สําหรับ ประเทศทางแถบเอเซีย เชน ประเทศจีน และประเทศไทย ความเสียหายจัดอยูในระดับ ปาน กลาง ลักษณะอาการ อาการเร่ิมแรกเปนอาการเพียงใบจุดเหล่ียม ฉํ่านํ้า (Angular and water soak leaf spot) ใบไหม (leaf blight) ใบเหี่ยว (wilting) ใบรวง (defoliation) ยางไหล (gum exudation) จนถึงอาการยอดเหี่ยวและแหงตายลงมา (dieback) นอกจากนี้ยังทําใหระบบ ทอน้ํา ทออาหารของลําตน และรากเนา (stem and root vascular necrosis) ซ่ึงเปนอาการ ทั่วไปของโรคที่เกดิ จากเชือ้ บกั เตรี ลักษณะอาการในระยะแรกท่ีแสดงจากทอนพันธุท่ีเปนโรค (Primary infection) คือ ยอด ที่แตกออกมาใหม (sprouts) เหี่ยว มียางไหล และมีอาการแหงตาย (dieback) ในเวลา อันรวดเร็ว สวนน้ีจะเปนศูนยกลางของการแพรระบาด (foci of infection) ที่จะทําใหเกิดโรคกับ ตนขางเคียง (Secondary indection) ซ่ึงมักจะเร่ิมตนจากเกิดจุดชํ้าเล็กๆ แลวขยายใหญ เปลี่ยนเปนสีนํ้าตาลเขมลุกลามเปนแผลใหญ บางคร้ังจะพบวงสีเหลือง (yellow halo) จุดจะลาม เปนใบไหม และใบรวง ลําตนแหงตาย เมื่อผาดูระบบทอน้ําและอาหารท้ังของลําตน และราก จะ มีสีคล้ําเน่ืองจากเน้ือเยื่อของสวนนี้ถูกทําลายในบางครั้งจะพบอาการยางไหลบนสวนลําตนที่ยัง ออ น หรอื กานใบและแผลจดุ บนใบ โรคนส้ี ามารถพบมากไดใ นชว งฤดฝู น การแพรระบาดของโรคที่สําคัญ คือ ติดไปกับทอนพันธุท่ีเปนโรค แพรกระจายไปโดย ฝนหรือกับดิน หรือกับเครื่องมือท่ีใชในการเกษตร เชน มีดที่ใชในการตัดทอนพันธุ ในบาง

68 ประเทศมีรายงานวา แมลงเปนตัวการในการแพรระบาด เช้ือสาเหตุของโรคสามารถอยูรอดใน ดินบนเศษซากพืชไดน านกวา 2 ป โรคของมันสาํ ปะหลงั ภาพท่ี 41 โรคราแปง ภาพท่ี 42 โรคใบจดุ สีนํา้ ตาล ( Oidium manihotis ) ( Cercosporidium henningsii ) ภาพท่ี 43 ลําตนหรือทอ นพนั ธุเนา ภาพที่ 44 โรคลําตน เนา ( Glomerella cingulata ) ( Botryodiplodia theobromae )

69 การปองกนั กําจดั 1. ใชพ นั ธตุ า นทาน พันธุที่แนะนาํ ในปจ จุบัน มีความตานทานตอโรคปานกลาง 2. ทอ นพนั ธุท่ีปราศจากเชอ้ื 3. ปลูกพืชหมุนเวียน โดยปลูกพืชอายุส้ัน หรือหลีกเลี่ยงการปลูกมันสําปะหลังใน แปลงทร่ี ะบาดรนุ แรงนาน 6 เดือน 4. ดวยวิธีทางชีว (biological control) พบวาการฉีดพนเช้ือบักเตรีเรืองแสง เชน Pseudomonas fluorescens บนใบมันสาํ ปะหลังพันธุ Mcol 22 ซึ่งออนแอตอโรคใบ ไหม ทําใหจํานวน จุดบนใบ และจํานวนใบไหมตอตนลดลง และทําใหผลผลิต เพ่มิ ข้ึน 2.7 เทา 2. โรคใบจุดสีน้ําตาล (Brown Leaf Spot) เกิดจากเชื้อรา Cercosporidium henningsii เปนโรคท่ีเกิดบนใบท่ีสําคัญท่ีสุดของมันสําปะหลัง พบครั้งแรกในประเทศ แทนซาเนียในป 1895 หลังจากน้ันในป 1925 จึงมีรายงานความเสียหายในแหลงปลูกมัน สําปะหลงั ท่ัวโลก สาํ หรบั ในประเทศไทยพบวา มันสาํ ปะหลังเกอื บทกุ พนั ธเุ ปน โรคใบจดุ สนี า้ํ ตาล ความรุนแรงของโรคข้ึนกับพันธุ, อายุพืช และสภาพแวดลอม มันสําปะหลังท่ีมีอายุ 3-5 เดือน จะมีความตานทานตอโรคน้ีมากกวา มันสําปะหลังที่มีอายุ 14-16 เดือน และสามารถพบโรคใน แหลงที่มีความชื้นตํ่าและแหงแลงได โรคใบจุดสีน้ําตาลน้ีจะไมทําใหผลผลิตของมันสําปะหลัง ลดลงมากนัก ผลผลติ จะแตกตางเฉพาะในพนั ธุท อ่ี อนแอตอ โรค สําหรับในพันธุร ะยอง 1 ซึง่ เปน พันธุท่ีเปนโรคในระดับปานกลาง พบวาทําใหผลผลิตลดลงต้ังแต 14-20 เปอรเซ็นต เน่ืองจาก ทําใหใบรวงเร็วกวาปกติ สวนผลตอผลผลิตของมันสําปะหลังท่ีมีผลกระทบเน่ืองจากโรคใบจุดสี นํ้าตาล ทําใหใบรวงพุมใบ (canopy) เปด เปนโอกาสใหวัชพืชเจริญไดดีอันเปนผลทางออมทํา ใหผ ลผลิตของมันสาํ ปะหลงั ลดลง ลักษณะอาการ โดยท่ัวไปตนที่เปนโรคจะมีการเจริญเติบโตเปนปกติ จะพบอาการของ โรคบนใบเทาน้ัน พบอาการของโรคบนใบลางๆ มากกวาใบบน ซึ่งมีอายุนอยกวา มีรายงานวา ใบมันสําปะหลังอายุ 5-15 วัน จะทนทานตอการเกิดโรค และจะออนแอเปนโรคไดเมื่ออายุ 25 วันข้ึนไป โดยเกิดอาการใบจุดคอนขางเหลี่ยมตามเสนใบมีความสม่ําเสมอสีน้ําตาล ขนาด 3-15 มม. มีขอบชัดเจน จุดแผลดานหลังใบมีสีเทาเนื่องจากมีเสนใยและ fruiting bodies ของ เช้ือสาเหตุขึ้นอยูในพันธุที่ออนแอ จะเห็นขอบแผลสีเหลืองรอบๆ จุด (yellow halo) ตรงกลาง แผลอาจจะแหงและหลดุ เปน รู (shot-hole)

70 การแพรระบาด เชื้อราสาเหตุของโรคสามารถอาศัยอยูไดบนใบมันสําปะหลังท่ีรวงอยู ในไร และจะขยายโดยการสรางสปอร (sporulation) เม่ือมีสภาพแวดลอมที่เหมาะสม สปอร เหลานี้จะแพรก ระจายไปโดยลมหรือเม็ดฝนพาไปตกบนใบปกติ ทําใหเกิดโรคไดตอไป สภาพแวดลอมซึ่งไดแก ความชื้น อุณหภูมิ อายุของพืช และความอุดมสมบูรณของดิน มีความสําคัญตอการแพรระบาดของเช้ือมากกลาวคือ การสรางสปอร หรือ คอนิเดีย (spores of connidia) จะเกิดทคี่ วามชื้นสมั พัทธระหวาง 50-90 เปอรเซ็นต อุณหภูมิที่ทําใหสปอรงอกดีที่สุด อยูระหวาง 39-43 องศาเซลเซียส ดังน้ันเราจึงสามารถพบโรคใบจุดสีนํ้าตาลในแหลงที่มี ความชืน้ ตํา่ และแหงแลงได การปองกนั และกําจัด 1. ใชพนั ธแุ นะนาํ ซึ่งมคี วามตานทานโรคปานกลาง 2. เมอื่ พบโรคระบาดมากอาจใชส ารเคมพี วก copper, benomyl 3. โรคใบจุดไหม (Blight Leaf Spot) เกิดจากเชื้อรา Cercospora viscosae มักจะ พบควบคูไปกับโรคใบจุดสีนํ้าตาล โรคนี้สามารถทําใหผลผลิตลดลงได 12-30 เปอรเซ็นต เน่ืองจากการสูญเสียพื้นที่ใบ ใบเหลืองและรวงเร็วกวาปกติ และอาจเปนผลกระทบเนื่องมาจาก การเปด โอกาสใหว ัชพืชเจรญิ ไดดเี มอื่ ใบรว งและพุมใบเปด ลักษณะอาการ เกิดเปนจุดกวางไมมีขอบเขตท่ีแนนอน เหมือนกับโรคใบจุดสีน้ําตาล จุดแผลจะกวางมาก แตละจุดอาจกวางถึง 1 ใน 5 ของแฉกใบมัน หรือมากกวา ดานบนใบมัก เห็นจุดแผลสีน้ําตาลคอนขางสม่ําเสมอ ขอบแผลมีสีเหลืองออน ดานใตใบมักจะเห็นเปนวงสีเทา เน่ืองจาก fruiting bodies ของเชื้อราสาเหตุโรคเชนเดียวกับโรคใบจุดสีนํ้าตาล ลักษณะแผลใน บางครั้งจะคลายกับโรคใบจุดวงแหวน ซ่ึงเกิดจากเช้ือ phoma sp. (Phyllosticta sp.) แตโรคใบจุ ดวงแหวนจะเห็นวงแหวนดานบนของใบ เม่ือแผลลามติดตอกันจะทําใหใบเหลืองทั้งใบ และรวง ไปในที่สุด ในพันธุท่ีออนแอจะเกิดใบรวงอยางรุนแรง ในมันสําปะหลังท่ีมีอายุมากกวา 6 เดือน อาการของโรคจะรุนแรงมากกวามนั สําปะหลงั ท่มี อี ายนุ อย การแพรร ะบาดและการปองกนั กําจัด เชนเดยี วกบั โรคใบจุดสนี ํา้ ตาล 4. โรคใบจุดขาว (White Leaf Spot) เกิดจากเชื้อรา Phaeoramularia manihotis (Cercospora caribaea) มีรายงานการพบทั้งในทวีปเอเซีย อเมริกาเหนือ อัฟริกา และลาติน อเมริกา มักพบท่ัวไปในเขตปลูกมันสําปะหลังท่ีชื้นและเย็น เชื้อ P. manihotis ตองการความชื้น และเย็นมากกวาเช้ือ C. henningsii สาเหตุของโรคใบจุดสีนํ้าตาลคือ การงอกของสปอร (conidial germination) มักจะเกิดท่ีอุณภูมิ 33 องศาเซลเซียส และตองการความช้ืนถึง 90 เปอรเซ็นต ในขณะที่ C. henningsil ตองการอุณหภูมิ 39 องศาเซลเซียส และชื้นเพียง 50 เปอรเซ็นต ในพนั ธทุ อี่ อ นแอ โรคนีจ้ ะทําใหใ บรวงได

71 ลักษณะอาการ เปนจุดคอนขางเหล่ียม ถึง กลมขนาด 1-7 มิลลิเมตร แผลมักจะมีสี ขาว มขี อบแผลมีสีนํ้าตาลอมมวง ลอมรอบดวยวงสีเหลือง (yellow halo) แผลมักจะจมเขาไปใน แผนใบท้ังสองดานของแผนใบ (leaf blade) ทําใหเห็นบริเวณแผลบางกวาใบปกติประมาณครึ่ง เทา เมื่อมองดานหลังจะเห็นขอบแผลจะไมเปนขอบชัดเทาดานบนใบ (diffuse coloured) และ บางคร้ังจะเห็นสีเทาของ fruiting bodies ของเชื้อสาเหตุ ลักษณะอาการของโรคนี้มักจะพบ ควบคูก ับอาการขาดธาตุสังกะสี (Zince deficiency) การแพรร ะบาด เช้อื P.manihotis สาเหตมุ พี ืชอาศัยนอยชนิดมาก พบวาทําใหเกิดโรค กับมนั สาํ ปะหลงั (Manihot esculenta) เพยี งอยางเดียว การปอ งกันกาํ จดั ใชพ ันธุตานทาน 5. โรคลําตนเนาท่ีเกิดจากเชื้อรา (Stem Rot) เนื่องจากเกษตรกรนิยม เก็บเกี่ยว ผลผลิตหัวมันสําปะหลังในชวงฤดูแลง ทําใหตองเก็บตนพันธุไวรอเวลาปลูกท่ีเหมาะสมเปน เวลานาน ในชวงน้ีทําใหเกิดตนเนาไดหรือในบางกรณีสภาพอากาศแหงแลงมาก มันสําปะหลัง ท้ิงใบเปน เวลานานทําใหพ บอาการตน แหง จากปลายลงมามอี าการยืนตาย (dieback) 5.1 โรคที่เกิดจากเชื้อรา Glomerella cingulata พบท่ัวไปในทอนพันธุท่ีกองไวหรือ ตัดทิ้งไวในไรนา บางครั้งจะพบในแปลง เนื่องจากสภาพอากาศแหงแลงติดตอกันเปนเวลานาน มันสําปะหลังท้งิ ใบหมดทง้ั ตน ตน จะแหง ลงมา ลักษณะอาการ ระยะแรกทอนพันธุจะเนาตรงสวนปลาย และจะลุกลามเขาไปทําให เปลือกบวมเนาตอไปจะเหี่ยวแหง ใตเปลือกเปนสีดํา บนผิวเปลือกจะเปนเม็ดนูนๆ แลวจะแตก เปน ผง เรยี ก perithecia 5.2 โรคที่เกิดจากเชื้อรา Botryodiplodia theobromae เปนโรคท่ีเกิดกับทอนพันธุ หรือลําตนท่ีแกแลวและตกคางในไร มีความสําคัญและพบนอยกวาโรคท่ีเกิดจากเช้ือราโกล เมเรลลา ลกั ษณะอาการ ระบบทอน้ําทออาหารจะเนาแลวกลายเปนสีดํา โดยจะลุกลามจากแผล รอยตัดของทอนพันธุ หรือลําตนท่ีเปนแผล ทําใหเปลือกบวมเนาเปนสีนํ้าตาลดํา มีกลุมเม็ด pycnidia ของเชอื้ ราข้ึนบนเปลอื กแลวจะแหงตาย การแพรระบาด เช้ือจะแพรไปกับทอนพันธุและเขาทําลายเม่ือมีสภาพแวดลอมท่ี เหมาะสม เช้ือราจะเขาทางแผล และลุกลามมากข้ึนเมือ่ มีความชนื้ สงู การปอ งกันกาํ จดั 1. ชบุ ทอ นพนั ธุด ว ยสารสารเคมี เชน mancozeb, copper oxycholoride (400 ppm.) : captan + carvendazim (2,000 ppm.) 2. เตรยี มทอ นพันธุดว ยความระมดั ระวงั อยาใหบอมชา้ํ

72 6. โรคขี้เถาหรือราแปง (Cassava Ash Disease) เกิดจากเชื้อรา Oidium manihotis โรคนใี้ นตา งประเทศพบทวั่ ไป แตส าํ หรับประเทศไทยพบนอยมาก ลักษณะอาการ ระยะแรกจะมีลักษณะเปนเสนใยขาวปกคลุมใบเปนจุด ตอไปสวนนั้น จะกลายเปนสีเหลืองดานบนของใบ เน่ืองจากการเขาทําลายของเช้ือรา และจะเกิดจุดเหลี่ยมใน บริเวณน้ีลักษณะขนาดไมแนนอนคลายกับการทําลายของแมงมุมแดง (red spider mites) เกิด บนใบลางๆ ของตนมากกวา ใบออน การแพรร ะบาด โดยท่ัวไปจะเกดิ ไดดีในฤดแู ลง มคี วามชื้นในอากาศสูง ในกลางคนื การปอ งกันกําจัด ใชพ ันธุตา นทาน 7. โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) เกิดจากเชื้อรา Colletorichum (Cloeosporium) spp. โรคนี้จะพบหลงั จากมฝี นตกติดตอ กันเปนเวลานาน ในประเทศไทยพบใน บางพน้ื ท่ีทาํ ใหล ําตน แคระแกรน สําหรบั มันสาํ ปะหลงั ที่มีอายุประมาณ 1 เดือน จะทําใหตนตายได ความเสยี หายเนอ่ื งจากโรคนท้ี ่ีสาํ คัญคอื ทําใหข าดแคลนทอ นพนั ธุ ลักษณะอาการ ใบซีดเหลืองในบริเวณรอยตอของใบและกานในจะพบรอยแผลสี นํา้ ตาล บางครง้ั แผลจะลามถึงกานใบ เปนสาเหตุของใบรวง เชื้อสามารถเขาทําลายลําตนสวนท่ี ยังเขียวได ทาํ ใหเ กิดอาการ canker ลาํ ตน แคระแกรน และบางคร้ังพบอาการแหง ตาย การปองกันกําจัด ใชทอนพันธุจากตนที่ไมเปนโรค และควรหลีกเล่ียงการปลูก มันสําปะหลงั ในเวลาที่มคี วามช้นื สูง 8. โรครากหรือหัวเนา (Root rot diseases) โรครากและหัวเนาเปนโรคท่ีมี ความสําคัญมาก เน่ืองจากทําใหผลผลิตสูญเสียโดยตรง โดยเฉพาะในแหลงท่ีดินระบายน้ําได ยาก ฝนตกชุกเกินไปหรือในที่เคยปลูกกาแฟ ยางหรือเปนปาไมมาแลว ในบางคร้ังสามารถพบ ไดในแหลงที่มีการชะลางสูง โรคน้ีสามารถเกิดไดทั้งระยะตนกลาและระยะที่ลงหัวแลว โรคราก และหัวเนาเกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด สาเหตุของโรครากเนามีเช้ือรา 36 ชนิด บักเตรี 4 ชนิด และ Phytomonas 1 ชนิดทําใหยากแกการวินิจฉัย สําหรับเชื้อราสาเหตุท่ีที่สําคัญของโรคราก เนา คือ เชื้อราในสกุล Fusarium spp. Diplodia spp. Phytophthora spp. โดยเฉพาะอยางยิ่ง P. drechcleri และ Pythium spp. ในประเทศไทยเทา ท่ีสาํ รวจพบมีอยู 3 ชนดิ คือ 8.1 โรคหัวเนา เละ (Phytophthora root rot or wet tot) เชื้อสาเหตุ Phytophtora drechsleri เช้ือโรคน้ีจะเกิดกับมันสําปะหลังท้ังในระยะ กลาและลงหัวแลว มักจะพบในบริเวณที่ดินมีการระบายนํ้ายากและอยูใกลกับทางนํ้าหรือคลอง โรคนอี้ าจทําความเสียหายถึง 80 เปอรเซน็ ต ลักษณะอาการ ถาเกิดกับตนยังเล็กอยูจะทําใหรากเปนรอยช้ําสีน้ําตาลและเนา ตนจะ เหี่ยวเฉา ถาเกิดกับหัวจะทําใหหัวเนาอยางรวดเร็วและมีกล่ินเหม็น ใบเหี่ยวแลวรวง ถาเกิด รุนแรงตนจะตาย มีรายงานในอฟั ริกาและอเมรกิ าใตวา โรคน้ีเกิดจากเชื้อรา Phytophthora ชนิด อ่ืนๆ อีกคอื P. erythroseptica และ P. cryptogea

73 8.2 โรคหวั เนาแหง (Dry root rot or White thread) เชื้อสาเหตุ Rigidoporus (Fomes) lignosus เปนโรคท่ีพบมากในตางประเทศ โดยเฉพาะในอัฟริกา ลาตินอเมริกา และเอเซียบางประเทศ ในประเทศไทยเคยพบที่จังหวัด จันทบุรี เขาใจวาเปนโรคชนิดเดียวกัน มักจะพบโรคนี้ในแหลงท่ีเปดปาใหม หรือเคยปลูกกาแฟ และยางพารามาแลว ลักษณะอาการ สังเกตไดโดยมีเสนใยสีขาวของเช้ือรารวมกันคลายเสนดายปกคลุม บนหัว และบริเวณโคนตนใตดิน ทําใหเนื้อภายในหัวเนาแหง มีกลิ่นเหม็นคลายไมเนา ใบเหี่ยว อาจถงึ ตายได แตส วนใหญจะยงั ไมต ายและจะสรางรากใหมทโ่ี คนตน ในดินเหนือบรเิ วณหวั ทีเ่ นา ภาพท่ี 45 โรคหวั เนา เละ ( Phytophthora root rot or wet rot ) ( Phytophthora drechsleri ) ( J. C. Lozano ) ภาพที่ 46 โรคหวั เนาแหง ( Dry rot or white thread )-Rigidoporus ( Fomers ) Lignosus ภาพท่ี 47 โรคเนา คอดนิ ( Damping-off or c root rot )-Corticium ( sclerotium ) rolfsii

74 ในดินที่แหงหัวที่เนาจะเปนสีดํา (mummified) บางครั้งมีเห็ด (Armillariwlla mellea Vahl.) ข้ึนอยทู ่ีโคนตน และอาจจะเปน สาเหตุทาํ ใหห ัวเนาไดดว ย 8.3 โรคเนาคอดิน (Damping off or Corticium root rot) เช้ือสาเหตุ Corticium (Sclerotium rolfsii) โรคน้ีสามารถเกิดไดทุกระยะการ เจริญเตบิ โตของมนั สําปะหลงั มักจะพบในระยะทอ นพนั ธเุ ริ่มงอกอายุประมาณ 3-4 สปั ดาห ลักษณะอาการ จะเกิดเสน ใยสขี าวในดนิ รอบโคนทอ นพันธุ และราก บางครัง้ อาจจะพบ เม็ดกลมเล็กๆ ขนาดเทาเมล็ดผักกาดเรียกวา Sclerotia ท่ีสรางโดยเชื้อรานี้อยูดวยเม็ดกลมๆ เล็กๆ นี้สามารถจะขยายพันธุเจริญเตบิ โตเปนเสนใยเขา ทําลายตนอื่นๆ ตอไป เสนใยของเชื้อจะ ผานเขาทางแผลของทอ นพนั ธหุ รอื รากทําใหเนา ใบเหยี่ วและจะตายไปในทส่ี ุด การปองกันกําจัด เนื่องจากเชื้อสาเหตุของโรคมีหลายชนิดท้ังเช้ือราและบักเตรีและ เช้ือเหลาน้ีมีความสามารถในการอยูรอดไดดีในดิน นอกจากน้ียังเปนเชื้อท่ีมีพืชอาศัยมากชนิด ทาํ ใหการปองกนั กําจัดมขี อ จํากัด อยา งไรก็ตามอาจปองกนั โรครากและหัวเนาไดดงั นี้ 1. การเตรียมแปลงปลูก ควรจะเปนดินรวน มีการระบายนํ้าดี ไมควรเปนท่ีเคยมีน้ํา ทว มขังหรือใกลท างระบายน้ํา หากดินระบายน้าํ ยาก ควรปลกู โดยวิธยี กรอง 2. ทําความสะอาดแปลงกอ นปลูกโดยการทําลายเศษพืชทเี่ ปน แหลงเพาะเชอื้ โรค 3. คัดเลอื กทอนพนั ธุท่ีสมบูรณ ปราศจากโรค 4. หากพบโรคนี้ระบาดมากอน หรือที่ดินเปนท่ีเปดปาใหมควรปลูกพืชหมุนเวียนพวก ธญั พชื กอ นปลูกมันสําปะหลงั เพอื่ ลดปริมาณเชือ้ โรคนี้ 4. ถาพบอาการรากเนาเกินกวา 3 เปอรเซน็ ต ควรงดปลูกพืชนานอยา งนอ ย 6 เดอื น สรุปการปองกนั กําจัดโรคของมันสาํ ปะหลัง ทีส่ ําคัญมีดังน้ี 1. วธิ ี Quarantine เปนวิธีท่ีสําคัญและไดผลที่สุด เนอ่ื งจากในประเทศไทยยังไมพบโรค ระบาดที่ทําความเสียหายใหกับมันสําปะหลังมาก อยางในทวีปอัฟริกาและลาตินอเมริกา โดยเฉพาะโรคท่ีเกิดจากเชื้อวิสา และมายโคพลาสมา ฉะนั้นการระมัดระวังการนําเขาสวนของ พชื มคี วามสําคัญ 2. วิธีเขตกรรม ไดแก - การปลูกพืชหมุนเวียน การปลอยดินใหวางเปนระยะเวลา 6 เดือน จะชวย ลดสาเหตุของโรครากเนาและลดปรมิ าณการเขาทาํ ลายของแมลงในดิน - การทาํ ลายสวนของพืชทีเ่ ปน โรค

75 - การใชทอนพนั ธทุ ีป่ ราศจากโรคและแมลง - การลดความช้นื ภายในพุม ใบของมนั สาํ ปะหลงั ชว ยลดการระบาดของโรค ใบจดุ 3. การใชส ารเคมี เพอื่ กําจดั เชือ้ ทต่ี ิดมากบั ทอนพันธุ 4. การใชพ ันธตุ า นทานเปนวธิ ีการทีด่ ที ส่ี ดุ เพราะสะดวกและราคาถูก ภาพท่ี 51 โรคใบไหม ภาพที่ 52 ลักษณะอาการตายจากยอดลงมา ลกั ษณะเปนจดุ เหลี่ยมบนใบ ( dieback ) ของโรคใบไหม ภาพที่ 53 ระยะตอ มาใบจะเหยี่ วและรว งหลน ภาพที่ 54 แสดงอาการยอดแหงตาย

76 . การเก็บเกยี่ วและการเก็บรกั ษา มันสําปะหลังเปนพืชไรที่แตกตางจากพืชไรอ่ืนๆ ที่วาพืชไรอื่นๆ โดยทั่วไปแลวเม่ือถึง อายุเก็บเก่ียว ก็ตองทําการเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะถาหากปลอยทิ้งไว จะทําใหเกิดความ เสียหายขึ้นกับผลผลิตได สวนมันสําปะหลังนั้นอายุการเก็บเก่ียวสามารถยืดหยุนได ตามสภาพ ดินฟาอากาศและความตองการของผูปลูก โดยที่อายุการเก็บเกี่ยวจะไมทําใหเกิดผลเสียหายตอ ผลผลิตมากเหมือนกับพืชไรอื่นๆ ปรกติแลวมันสําปะหลังจะเริ่มใหผลผลิตตั้งแตอายุ 3 เดือนขึ้น ไป กสิกรผูปลูกมันสําปะหลังสวนใหญนิยมเก็บเก่ียวมันสําปะหลังเมื่ออายุประมาณ 1 ป ในการ ปลูกเพราะจะไดทันชวงฤดูปลูกในปตอไป ถาหากปลอยใหมันสําปะหลังอายุมากกวา 1 ป ใน การปลกู ในปต อ ไป กจ็ ะทําใหพ นชวงฝนทําใหการปลูกมันสําปะหลังฤดูใหม ไดผลไมดีเทาท่ีควร แตจากการทดลองที่สถานีทดลองพืชไรหวยโปงพบวา การท่ีมันสําปะหลังมีอายุมากข้ึนจะทําให มนี าํ้ หนักหวั สดมากขึ้น แตคุณภาพของหัวมันสําปะหลังนั้นจะขึ้นอยูกับอายุและฤดูกาลท่ีทําการ เก็บเกี่ยวกลาวคือ หัวมันสําปะหลังอายุมากๆ ต้ังแต 14 เดือนข้ึนไปจะมีเสนใย (fiber) สูงมีนํ้า เปนองคประกอบภายในหัวมาก ซ่ึงลักษณะเหลานี้ไมเปนท่ีตองการของตลาด ฤดูกาลท่ีทําการ เก็บเก่ียวก็มีผลตอคุณภาพของหัวมันสําปะหลังกลาวคือการเก็บเกี่ยวในชวงฤดูแลงหรือชวงท่ี อากาศแหงติดตอกันโดยไมมีฝนตกหรือดินไมมีความชื้นมาก จะทําใหหัวมันสําปะหลังมีนํ้านอย เปนผลใหม ีเปอรเซ็นตแปงสูงกวา การเก็บเกี่ยวในชว งที่มีฝนตกชกุ กสิกรผูปลูกมันสําปะหลัง จะทําการเก็บเก่ียวมันสําปะหลังโดยอาศัยหลักการพิจารณา ดงั นี้ 1. ราคาของหัวมนั สาํ ปะหลงั ราคามักจะไมคงทีม่ กี ารขน้ึ ลงตามสภาพความตองการของ ตลาดและผูที่กําหนดราคาก็เปนผูรับซ้ือ ดังน้ันเม่ือมีราคาของหัวมันสําปะหลังสูงผูปลูกก็มักทํา การขุดหัวมันออกจําหนายมาก ถาหากราคาของหัวมันตํ่าผูปลูกก็มักจะรอราคาใหสูงขึ้นกอนจึง จะทําการขุดหัวมนั

77 2. แรงงาน การเกบ็ เก่ยี วมนั สําปะหลังสวนใหญจ ะใชแ รงงานคนทําการขดุ ดังน้นั ถา หาก มีภาวะขาดแคลนแรงงาน กสิกรผูปลูกมันสําปะหลังก็ยังไมทําการเก็บเกี่ยว จะรอจนกวาจะมี แรงงานมากพอที่จะทาํ การเกบ็ เกี่ยวได 3. ความจําเปนทางเศรษฐกิจ กสิกรจํานวนมากโดยเฉพาะผูที่มีท่ีดินนอยๆ มักจะกูยืม เงินจากบคุ คลอื่นมาลงทนุ ทาํ การปลูก โดยมากมักจะกูยืมจากผูประกอบกิจการแปรสภาพดังน้ัน เมื่อเจาหน้ีตองการเงินคืน กสิกรผูปลูกก็ตองทําการเก็บเก่ียวมันสําปะหลังเพ่ือนําเงินมาใชหนี้ โดยเฉพาะกรณีที่กูเงินจากพอคาคนกลาง หรือผูประกอบกิจการแปรสภาพ เม่ือไมมีหัวมันปอน โรงงานกจ็ ะเรงใหบรรดาลกู ไรทาํ การเก็บเก่ยี วมนั สาํ ปะหลังทีป่ ลูกอยู 4. ฤดูกาล ฤดูกาลมีสวนสําคัญในการพิจารณาท่ีจะเก็บเก่ียวมันสําปะหลังผูปลูกมักจะ ทําการเก็บเก่ยี วในชวงที่ดนิ มคี วามช้นื เพราะทําการเก็บเก่ยี วงาย นอกจากนี้ผูปลูกยังจะตองทํา การเก็บเก่ียวมันสําปะหลังเพ่ือใหทันชวงฤดูปลูกปตอไป เพราะหากท้ิงชวงนานเกินไปจะทําให การปลกู ฤดใู หมไมทนั กับชวงฝน ทําใหก ารปลูกใหมไ ดผลไมดี 5. ปญหาดา นอ่นื ๆ - น้ําทวมหรือดินแฉะ เน่ืองจากฝนตกหนักติดตอกันเปนเวลานานมีผลทําให หัวมันสําปะหลังเนาเสียหายได กสิกรที่ประสบปญหาน้ีจะทําการเก็บเกี่ยวมันสําปะหลังทันที ถงึ แมวา อายุของหัวมนั สาํ ปะหลังจะไมถ ึงปก ็ตาม - ไฟไหม ปญหาน้ีมักเกิดขึ้นในฤดูแลง วัชพืชที่ข้ึนอยูตามธรรมชาติแหงจะเกิด มีปญหาเนื่องจากไฟไหม ซ่ึงอาจเกิดจากไฟฟาหรือการเผาวัชพืชในแปลงอ่ืนๆ แลวไฟลาม มายังแปลงที่ปลูกมันสําปะหลัง ตนมันจะถูกไฟลวกตายได กสิกรที่ประสบปญหานี้จะทําการขุด หัวมันจาํ หนา ย อายเุ กบ็ เกย่ี ว อายุของหัวมันสําปะหลังเปนปจจัยสําคัญในการตัดสินใจเก็บเกี่ยวมันสําปะหลังของกสิกร ผูปลูก โดยมันสําปะหลังจะมีหัวต้ังแตอายุ 3 เดือนข้ึนไป หัวจะเจริญเติบโตขึ้นเร่ือยๆโดยมีการ สะสมแปงมากข้ึน พบวาหลังจากอายุ 6 เดือนแลวเปอรเซ็นตแปงในหัวมันสําปะหลังไมคอย เปล่ยี นแปลงมากนกั แตปริมาณแปง ในหวั จะเพม่ิ ขนึ้ ซง่ึ เปนผลจากการที่น้ําหนกั หัวสดเพ่มิ ข้นึ การเก็บเก่ียวมันสําปะหลังเมื่ออายุมากกวา 12 เดือน จะมีผลทําใหน้ําหนักหัวมันสด มากกวา การเก็บเกีย่ วเมื่ออายุ 12 เดอื น แตการเก็บเกี่ยวเม่ืออายุมากกวา 12 เดือน มีผลใหการ ปลกู รนุ ตอ ไปไมต รงกับฤดูกาลทเี่ หมาะสม จงึ แนะนําใหเก็บเกี่ยวมันสําปะหลังเม่ืออายุ 12 เดือน จะไดผลดกี วา การเก็บเก่ียวทเี่ รว็ หรือชากวา นี้ วธิ กี ารเก็บเกยี่ ว กสิกรสวนใหญใชแรงงานคนทําการขุด นิยมการขุดโดยวิธีเหมาขุดและมีคนรับจางขุด มันเปนกลุมๆ สวนราคาของการขุดนั้นข้ึนอยูกับสภาพของดินแหงหรือไม การขุดยากหรืองาย และมันสําปะหลังน้ันมีหัวดีหรือไมดี หัวเล็กหรือใหญ มีวัชพืชมากหรือนอย ถาหากไมเหมาขุดก็ จะใชวิธีจางขุดเปนรายวัน ซ่ึงคาจางแรงงานในการขุดจะแพงกวา แรงงานในการปลูกหรือกําจัด

78 วชั พชื วธิ กี ารขุดน้ันจะทําการตัดตน มนั ออกกอนโดยเหลอื เหงา สว นลางของลําตนท้ิงไวประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากนั้นก็ทําการขุดดวยจอบ ถาหากดินมีความช้ืนก็จะใชวิธีถอนข้ึน และขุด ตามหัวที่หักหลงเหลืออยูในดินอีกทีหนึ่ง ตนมันที่ตัดแลวก็จะตัดยอดออกและเก็บไวปลูกหรือ ขายตอไป เม่ือขุดหัวมันเสร็จแลว ก็จะนํากองไวเปนกองๆ จากนั้นจะทําการสับหัวมันออกจาก เหงา แลวขนสงสูโรงงานแปรสภาพตอไป โดยจะไมท้ิงไวในไร เพราะจะทําใหเนาเสียได การทิ้ง ไวนานเกิน 4 วัน จะเนาเสยี มาก ในกรณีที่ขาดแรงงาน กสิกรสามารถแบงแยกทยอยทํางานได โดยตัดตนใหหมดเสียกอน ปลอยหัวมันไวในดินไดนาน 75 วัน โดยหัวมันสําปะหลังไมเสียและผลผลิตไมลดลงเมื่อพรอมท่ี จะขุดจึงทําการขุดได ดังนัน้ กอนท่ีกสิกรจะเก็บเก่ียวมันสําปะหลังก็มักจะตองตกลงกับผูซ้ือกอนแลว จึงจะเร่ิมทํา การเก็บเกี่ยว นอกจากการขุดดวยแรงคนแลว การขุดหัวมันสําปะหลังอาจทําไดโดยใชเครื่องขุดติด ทา ยรถแทรกเตอรหรือใชไ ถผานเด่ียวกไ็ ด แตอยา งไรกต็ ามก็ยงั ตองใชแรงงานคนในการตดั ตน สบั การเกบ็ เกยี่ ว ภาพท่ี 55 ตดั ตนกอ นขุดหวั มนั สําปะหลงั ภาพท่ี 56 สว นรากขุดดวยจอบ ภาพท่ี 57 ตดั ตน และเหงา จากหัว ภาพท่ี 58 เคร่อื งขดุ มนั สําปะหลัง ฉากดว ยแทรกเตอร ภาพท่ี 59 เกบ็ รักษาทอ นพันธมุ ันสาํ ปะหลงั ภาพที่ 60 เกบ็ รักษาทอ นพนั ธุม ันสาํ ปะหลัง โดยวางนอนในรม โดยวางตง้ั กลางแจง คลุมดว ยใบไม

79 หวั และขนสง สโู รงงาน การขดุ หวั มนั โดยใชเ คร่ืองจกั รชว ยนจี้ ะมีปญ หาในเรื่องหวั มนั หลงเหลอื อยูใน ดนิ มากกวา การขดุ โดยใชแ รงงานคน การเกบ็ รกั ษาตน มนั สาํ ปะหลงั หลงั จากขดุ หวั มนั สําปะหลังแลว กสิกรก็จะการเก็บรักษาตนมันสําปะหลังไวเพ่ือใชทําพันธุ ตอไป โดยทั่วไปแลวหลังจากการเก็บเกี่ยวเสร็จ กสิกรจะเตรียมดินและทําการปลูกในฤดูตอไปเลย แตถาตองการเก็บตนพันธุมันสําปะหลังไว กสิกรจะวางตนมันสําปะหลังไวในไรโดยวิธีกอง 2 แบบ คือ วางต้ัง และวางนอน เน่ืองจากมีความคิดเห็นแตกตางกันออกไปโดยถือวาถาหากเก็บตนมันไว ไมนานก็จะวางกองไวนอนๆ แตถาตองการเก็บไวนานๆ จะวางเปนแนวต้ัง ในการกองตนมันไวน้ี กสิกรจะใชใบไมคลุมกองไว อาจใชยอดตนมันที่ขุดแลวนั้นคลุมก็ได แตก็ยังมีกสิกรบางคนเชื่อวา การวางกองตนมันแบบตั้งแลวท้ิงไวไมตองคลุมดวยใบไมก็จะทําใหเก็บตนมันไวไดนานๆ สวนการ วางตน มันแบบนอน น้ันหากเปนเวลานานจะทําใหตนมันแตกตาขางทั่วทั้งตน ทําใหใชปลูกทําพันธุ ไมได จากการทดลองที่สถานีทดลองพืชไรหวยโปง ปรากฏวาสามารถเก็บตนพันธุมันสําปะหลังไว โดยวิธีวางต้ังไวในรมหรือกลางแจงและมีใบไมคลุม ใหผลใกลเคียงกันคือ เม่ือเก็บรักษาไวนาน 30 วนั มีเปอรเ ซน็ ตส วนสด 96.84-95.91% มีเปอรเ ซ็นตอยูรอดของสวนสด 83.52% และถาเก็บไวนาน ถึง 45 วัน จะมีเปอรเซ็นตอยูรอดจากสวนสดเพียง 64.79% เทาน้ัน จึงไดแนะนําวาถาหาก จาํ เปน ตองเก็บตนมันสําปะหลังไวไมควรเก็บไวนานเกิน 30 วัน เพราะหลังจากนี้แลวเปอรเซ็นตอยู รอดจะลดลงอยางมาก จะทําใหก ารปลกู ไมไ ดผ ลดี ตารางที่ 14 การเกบ็ รักษาตนพันธุม นั สาํ ปะหลังตอ เปอรเซ็นตการอยูรอดของตน มนั สาํ ปะหลัง การเกบ็ รักษา อายุการเกบ็ รกั ษา (วัน) เฉลี่ย 0 15 30 45 60 75 90 105 ในทีร่ ม 95.6 93.5 83.3 80.0 57.5 49.7 44.9 43.2 68.4 กลางแจง 95.3 93.4 84.2 55.9 48.8 31.9 28.9 21.2 57.5 มใี บไมคลุม กลางแจง 96.4 91.6 82.8 58.3 50.0 43.1 35.7 22.0 60.0 เฉลยี่ 95.7 92.8 83.5 64.7 52.1 41.6 36.5 28.8 (ชาญ และ กาํ พล, 2526)

80 ตารางที่ 15 แสดงอายกุ ารเกบ็ รกั ษาท่มี ผี ลตอเปอรเซ็นตก ารอยรู อดของตน มนั สําปะหลัง อายกุ ารเก็บรักษา (วนั ) % สว นลด % อยูรอด 0 วัน 100 95.79 15 วัน 98.39 92.86 30 วัน 97.28 83.52 45 วัน 97.28 64.79 60 วัน 97.75 52.13 75 วนั 93.86 41.61 90 วัน 94.19 36.54 105 วนั 85.86 28.86 (ชาญ และ กาํ พล, 2526) การปฏิบตั ิตอ ทอ นพนั ธุ ในการเก็บรักษาพันธุมันสําปะหลัง ถาหากจําเปนท่ีจะตองเก็บไวนานๆ มีวิธีการคือ เก็บตนพันธุไวเปนตนยาวๆ ตัดสวนที่ยังออนท้ิงระวังอยาใหตนพันธุชํ้าหรือเปนแผลมากนัก และนําไปชุบสารปองกันกําจัดโรคและแมลงบางชนิด สารที่ควรใชปองกันกําจัดโรคราไดแก Manzate-D หรือ Dithon M-45 + Manzate-D อยางละ 2,000 ppm และใชสารกําจัดแมลงพวก Malathion 100-300 ppm โดยผสมกันแลวชุบตนพันธุมันสําปะหลังเพ่ือปองกันโรคและแมลง โดยชุบไวประมาณ 5 นาที แตในการปฏิบัติของกสิกรจริงๆ แลว การชุบตนพันธุดวยสาร ดังกลาวกสิกรตองลงทุนเพ่ิมขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณในการชุบและเสียแรงงานเพิ่มข้ึน เมื่อนําไป ปลกู กสกิ รผูปลูกจะตองระวังเพราะตน พนั ธทุ ่ปี ลกู มีสารติดอยู อาจเปน อันตรายแกผูปลูกได หาก ไมระมัดระวงั

81 การใชป ระโยชนจ ากมนั สาํ ปะหลัง ประเทศไทยมีการปลูกมันสําปะหลังเปนจํานวนมาก และมีการสงเปนสินคาออกในรูป ตางๆ โดยมีการนํามาแปรรูปในอุตสาหกรรมแปงและอาหารสัตวเปนสวนใหญ นอกจากน้ียัง นํามารับประทานในรูปของอาหารชนิดตางๆ มันสําปะหลังเปนพืชท่ีสามารถจะนํามาใช ประโยชนไดอยางกวางขวางท้ังทางตรงและทางออมท้ังดานอุตสาหกรรม และเปนอาหารของ มนุษยและสัตว ทุกสวนของตนมันสําปะหลังสามารถนํามาใชประโยชนไดทั้งสิ้น ไมวาจะเปนใบ ลําตน ตลอดจนถึงหัวซ่ึงเปนสวนของราก ยังมีการนํามันสําปะหลังมาใชประโยชน ภายในประเทศคอนขางแคบ มักจะจํากัดอยูเพียงอุตสาหกรรมแปงและอาหารสัตว สวนท่ีนํามา รับประทานก็เพียงเปนอาหารวาง ประเภทขนมหวานเล็กนอยเทานั้น แตแทจริงแลวมัน สําปะหลังถูกนําไปใชเปนอาหารหลักของมนุษยอยางมากมาย และเปนเวลาชานานมาแลว โดยเฉพาะประเทศทางแถบทวีปอัฟริกา และอเมริกาใต ตลอดจนบางประเทศในทวีปเอเซีย ดังนัน้ ประโยชนของมนั สําปะหลงั จึงมีมากมายดงั จะไดก ลาวถึงโดยละเอยี ดตอไป ประโยชนข องมนั สาํ ปะหลังแยกตามสว นตา งๆ ของตน หวั สด 1. ใชเปนอาหารมนุษย โดยรับประทานสด ตม นึ่ง ยาง อบ เช่ือม ตลอดถึงการนํามา หมักคลุกนํ้ามันผสมเครือ่ งเทศ ถ่ัวลสิ ง หรือนํามาทําเปนแปงแลวแปรรูปเปนอาหาร ชนิดตา งๆ ตลอดจนนาํ มาฝานเปนแผนบางๆ แลวทอด 2. ใชเ ปน อาหารสัตว ทง้ั ทีเ่ ปน หัวสด กากทเ่ี หลอื จากการทาํ แปง เปลอื กของหวั 3. ใชสง โรงงานอตุ สาหกรรมทาํ แปง มันเสน มันอัดเม็ด แอลกอฮอล ฯลฯ ใบ 1. ใชเปนอาหารสตั ว รบั ประทานเปนผักสด ตม จ้ิมนํ้าพรกิ นาํ มาแกง ปรงุ เปน ซุป 2. ใชเปนอาหารสัตว ในรูปใบสด ตากแหงปนผสมกับอาหารขนเล้ียงสัตว และเปน อาหารผสม ลําตน 1. ใชทําเปนทอ นพันธุ โดยตัดออกเปน ทอนๆ นาํ ไปปลูกได 2. ใชเปนอาหารสัตว โดยตัดสวนยอดผสมกับใบสดใชเลี้ยงสัตวเค้ียวเอื้อง ตากแหง เปนอาหารหยาบ เมลด็ ใชส กัดนา้ํ มนั ท่ีมคี ณุ ภาพดสี ามารถนําไปใชใ นอุตสาหกรรมยาได การใชผ ลิตภัณฑม นั สําปะหลังในรปู ตางๆ มันเสน 1. ใชเปนอาหารมนุษย หมักแลวเติมเนื้อสัตว นํ้ามัน ผัก เครื่องเทศและน้ําปรุงเปน อาหาร 2. ใชเลี้ยงสตั วโดยตรง

82 การใชประโยชนจ ากมนั สาํ ปะหลัง ภาพท่ี 61 อตุ สาหกรรมอาหาร ภาพที่ 62 อตุ สาหกรรมผงชูรส ภาพที่ 63 อตุ สาหกรรมกระดาษ ภาพที่ 64 อุตสาหกรรมไมอดั ภาพท่ี 65 อตุ สาหกรรมสง่ิ ทอ

83 แปง (Starch) 1. ใชเปน อาหารมนษุ ย อาหารทารก เปน เครือ่ งปรุงอาหารหลายชนิด ใชทําวุนเสน ทํา เบียร 2. ใชในอุตสาหกรรมตางๆ เปนตัวทําใหแนน คงรูปราง เปนตัวทําใหเปนผงฝุน ใชใน อุตสาหกรรมส่ิงทอ อุตสาหกรรมซักรีด อุตสาหกรรมทํากาว กระดาษ แปงเปยก แอลกอฮอล อะซีโตน ยา กลูโคส ใชในอุตสาหกรรมเจาะนํา้ มนั และแปงแปรรปู แปง ดบิ (Flour) เปนแปงท่ีไมไดสกัดเอาเยื่อใยออก ทําไดโดยนําหัวมันสดมาปอกเปลือก หั่นเปนช้ิน เล็กๆ ตากแหงปนใหละเอียด แลวรอนดวยตะแกรงรอนแปง จะไดแปงดิบท่ีสามารถนํามาใชทํา ขนมอบชนิดตางไดคลายแปงสาลีเชนนํามาทําเปน เคก แพนเค็ก ขนมปง คุกก้ี พาย สามารถ นํามาทดแทนแปงสาลี แปงขาวเจา ไดบ างสวนในอาหารบางชนดิ การใชมันสาํ ปะหลงั เปนอาหารมนษุ ย มีหลายประเทศในโลกบริโภคมันสําปะหลังเปนอาหารหลัก เชนประเทศในแถบอเมริกา ใต อัฟริกา ตลอดจนบางประเทศในแถบเอเซีย เชน อินโดนีเซีย และมีมากมายหลายประเทศท่ี บริโภคมันสําปะหลังเปนอาหารสาํ คัญรองจากธัญพชื เน่ืองจากหัวมันสําปะหลังสดไมสามารถเก็บรักษาใหคงสภาพเดิมไวไดนานวัน มักจะ เกิดการเนา เสียหายจึงมักจะมีการแปรสภาพกอนการเก็บรักษา เพ่ือใหสามารถเก็บไวบริโภคได นานวัน การแปรสภาพนี้มักจะเปนการนําไป หมัก กอนแลวจึงนําไปปรุงเปนอาหาร เชน นําไป นึ่ง ทอด ยาง นอกจากน้ียังมีการนําหัวสดไปบดใสถุงทับใหแหงทิ้งไว 4 วัน ระหวางน้ันจะเกิด การหมัก จากนั้นจึงนําไปทอด ชาวไนจีเรียเรียกอาหารชนิดนี้วา Gari สวนของชาวมาดากัสกา เรียกวา Bononoka น้นั หมกั โดยนาํ ไปแชในนาํ้ ไหลหลายๆ วนั แลวนําไปนงึ่ เพ่ือเปนอาหาร นอกจากจะนํามันสาํ ปะหลังไปใชเ ปน อาหารหลักแลว ยังมกี ารนาํ มารับประทานไดหลาย รูป เชน ทาํ เปน แปงมันเพ่ือนาํ ไปปรงุ เปน อาหารอยางอ่ืนตอไป หัวสดยังนํามาทําเปนมันทอดได โดยปอกเปลือก ฝานเปนแผนบางๆ นําไปทอด ใชเปนอาหารวางได คนไทยนิยมนํามาเช่ือม และยา ง ทําเปน ขนมมนั นึง่ ใสมะพรา วและน้ําตาล การใชมนั สําปะหลงั เปน อาหารสัตว มันสําปะหลังเปนพืชท่ีปลูกดูแลรักษางาย มีศัตรูธรรมชาตินอย ดังน้ันราคาของ ผลิตภัณฑมันสําปะหลังจึงต่ํากวาธัญพืช และยังเหมาะท่ีจะใชเปนแหลงคารโบไฮเดรตสําหรับ การนํามาผสมกบั หวั อาหารเปน อาหารสัตวเ ชน สกุ ร ไก และปศสุ ตั ว แตตอ งเพิ่ม ไวตามิน เกลือ แร และกรดอะมิโนบางตัว เชนเลี้ยงไก ตองเสริม Methionine ปจจุบันทั่วโลกนิยมนํามัน สําปะหลังมาเล้ียงสัตวมากขึ้นเน่ืองจากราคาต่ําวาธัญพืช ในประเทศไทยหลายสถาบัน ก็มี การศึกษาการใชมันสําปะหลังเปน อาหารสัตว ประเทศไทยสงมันสําปะหลังออกขายในรูปมันอัดเม็ด และมันเสน ในปริมาณมากถึง ประมาณกวา 90 เปอรเซ็นตของผลิตภัณฑมันสําปะหลังท่ีสงออกทั้งหมด ตลาดสําคัญของเรา

84 คือประชาคมเศรษฐกิจยุโรป สวนแปงสงขายใหญี่ปุน สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย และประเทศ อื่นๆ แตอยางไรก็ตามเรามักจะมีปญหาเก่ียวกับการกีดกันทางการคาและโควตาการนําเขามัน สําปะหลังในรูปอาหารสัตวในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งทําใหราคามันสําปะหลังจากไร เกษตรกรไมด ีนัก และแปรปรวนมาก จึงนาจะมีการนํามันสําปะหลังไปใชประโยชนในดานอื่นให กวางขวางมากข้ึน ซึ่งจะชวยลดปญหาดานการตลาดอาหารสัตวลง ทําใหราคาหัวมันสําปะหลัง สงู ข้ึน การใชม นั สําปะหลงั ในอตุ สาหกรรม นอกจากมันสําปะหลังจะใชประโยชนในดานการเปนอาหารมนุษยและสัตวแลว มัน สาํ ปะหลังยังสามารถนาํ ไปใชป ระโยชนในดานอุตสาหกรรมไดอีกมากมายหลายประการเชนการ ทําสารที่มีคุณสมบัติเปนกาว ใชในอุตสาหกรรมไมอัด กลอง กระดาษ อะซีโตน กลูโคส ผงชูรส เบียร วุนเสน แอลกอฮอล เพื่อใชเปนเช้ือเพลิงและใชในวงการแพทยพบวามันสําปะหลัง สามารถทําเปนแอลกอฮอลที่มีคุณภาพดี ใชกับรถยนตไดเปนอยางดี และนําไปใชในวงการ แพทยได เชนเปนสวนผสมของยา หรือใชเปนน้ํายาฆาเช้ือ ในประเทศบราซิลไดใชแอลกอฮอล จากมันสําปะหลังในปริมาณ 20 เปอรเซ็นต ผสมกับนํ้ามันเบนซินใชกับรถยนต ในประเทศไทย โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีก็ไดมีการคนควาวิจัย และมีโรงงานตนแบบในการ ผลิตแอลกอฮอลจากมันสําปะหลังเพื่อเปนเช้ือเพลิงใชกับรถยนตซ่ึงปรากฏวาใชไดผลดี มีการ เผาไหมด ี ความเปนพิษของมนั สําปะหลงั ในหัวและใบมันสําปะหลังมีสารชนิดหน่ึงที่เรียกวา ไซยาโนจินิค กลูโคไซด ซึ่งสามารถ เปลี่ยนรูปเปนกรด ไฮโดรไซยานิค (HCN) ได สารตัวนี้จะเปนพิษกับมนุษยและสัตวเม่ือ รบั ประทานเขาไป ปริมาณกรดในใบมีมากนอ ยแตกตา งกันไป โดยเฉลยี่ มีอยปู ระมาณ 180-200 มิลลิกรัมตอใบสด 1 กิโลกรัม พันธุระยอง 1 มีกรด 51.2 สวนในลานสวน พันธุหานาทีใบมีกรด 56.3 สว นในลานสว นปรมิ าณกรดในใบมีนอยกวาในหวั แตการสลายตัวของกรดในใบชา กวาในหวั สําหรับในหัวมันสําปะหลังสารกลูโคไซดสวนใหญอยูในเปลือกมากกวาอยูในเน้ือ จาก การวิเคราะหพบวามีกรดในเนื้อ 15-50 สวนในลานสวน มีกรดในเปลือก 623 สวนในลานสวน ปริมาณกรดมากนอ ยตางกนั ไปตามพันธุ

85 เพื่อลดความเปน พษิ ในหัวมนั สําปะหลังกอนที่จะนํามารบั ประทาน ทําไดห ลายวิธไี ดแก 1.ปอกเปลือก เปนที่ทราบแลววา สารท่ีเปนพิษสะสมอยูในเปลือกมากกวาในเน้ือ มัน สาํ ปะหลงั การปอกเปลือกจึงเปนการกาํ จัดสารดังกลา วทีด่ ีท่สี ุด ควรทาํ กอ นอ่ืน 2. ลา งนํา้ แชน ํา้ เน่ืองจากสารกลูโคไซด ละลายนํ้าไดดีมาก ดังนั้นการลางน้ําหรือแชนํ้า นานๆกลโู คไซดก็จะละลายไปมาก 3.การหั่นเปนช้ินบางๆ หรือช้ินเล็กๆ หรือการขูดใหเปนเสน การสับ บด เหลานี้เปน วิธีการท่ชี ว ยเรง ปฏกิ ิริยาทจ่ี ะชวยลดความเปน พษิ 4.การตากแหง เชน มนั เสนและมันอัดเมด็ เปน วธิ ลี ดความเปนพิษอีกทางหนึ่ง 5.การใชค วามรอ น กลูโคไซด สลายตัวไดดีมากเมื่อทาํ ใหร อ น 150 องศาเซลเซยี สดังนนั้ เม่อื นาํ หวั มันสําปะหลงั มาทําใหร อน จะดวยวธิ เี ผา อบ นึ่ง ตม ความเปนพษิ จะหมดไปมาก 6.การทาํ เปนแปง ตอ งผา นการลาง การห่ัน การบด และผานความรอนสูง ความเปนพิษ จงึ จะหมดไป 7.การหมักดอง การหมักดองหัวมันสําปะหลังทําใหเกิดกรดอินทรียข้ึน ซ่ึงมีผลการ ไฮโดรไลสสารกลูโคไซดท่ีอยูในหัวมัน ทําใหแกสไฮโดรไซยาไนดระเหยไปความเปนพิษก็จะ หมดไป ชาวอัฟริกันและอเมริกาใตที่รับประทานมันสําปะหลังเปนอาหารหลักใชวิธีหมักดองกัน มากในการเตรยี มอาหารมันสาํ ปะหลงั วิธีการตางๆ ท่ีกลาวมานี้สามารถทําใหลดความเปนพิษดวยการลดสารกลูโคไซดในมัน สําปะหลังลงไดมากจนถึงหมดไป เปนผลทําใหมันสําปะหลังใชบริโภคได โดยไมเปนพิษตอ รางกายถงึ แมวาในบางคร้ังกอ นบริโภคจะขจัดสารพิษออกไมหมด ยังมีสารดังกลาวหลงเหลืออยู บาง แตเม่ือรับประทานเขาไป สารนี้จะถูกเอนไซมในลําไสยอยไดอีก ฉะนั้นโอกาสท่ีสารพิษใน หัวมันสําปะหลงั จะเปนพิษตอการบริโภคน้นั จึงมีนอ ยมาก ถา มกี ารเตรียมอาหารทถ่ี ูกตอง โรคทีเ่ กดิ เนือ่ งจากการบริโภคมันสําปะหลังเปนอาหารหลกั อาการเปนพิษของสารไซยาไนดในหัวมันสําปะหลัง มักแสดงออกเกี่ยวกับระบบ ประสาทซึ่งพบมากในทานซาเนีย และไนจีเรีย พบอาการเก่ียวกับประสาทตา หู และการ เคล่ือนไหว ตาพราถึงบอด หูอื้อหูหนวกและการเคล่ือนไหวต้ังแตเขาลงไปถึงขอเทาลําบากไมมี แรงท่ีขา พบมากในคนที่มีอายุ 40-60 ปขึ้นไป โรคนี้พบควบคูไปกับผูบริโภคอาหารที่มี โปรตีนต่าํ นอกจากนี้ยังมีอาการของโรคคอหอยพอก ซึ่งพบวาโรคนี้ไมไดเกิดจากการขาดธาตุ ไอโอดีนแตเพยี งอยางเดยี ว แตเ กดิ จากสารไทโอไซยาเนท (Thiocyanate) ซง่ึ เปลีย่ นมาจากกรด ไฮโดรไซยานิค (HCN) ซึ่งสารนี้จะไปยับย้ังการนําไอโอดีนไปยังตอมไทรอยด ทําใหมีอาการ เหมอื นขาดไอโอดีน

86 ปญหาและการแกปญ หาทางดานการผลติ และการตลาด จากรายงานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตรมันสําปะหลังเพ่ือการพัฒนาแบบ ยั่งยนื พบวาผลผลติ มันสําปะหลังของโลกมีประมาณ 178.0 ลา นตันหัวมันสด จากรายงานลาสุด ในป 2544 ขององคการอาหารและเกษตรแหงสหประชาชาติ (FAO) ประเทศไทยเปนผูผลิตมัน สําปะหลังเปนรายใหญอันดับ 3 ของโลก โดยรองจากไนจีเรียและบราซิล ประเทศคูแขงในการ สงออกมันสําปะหลังของประเทศไทย ไดแก อินโดนีเซีย และเวียดนาม จากการสํารวจผลผลิต มันสําปะหลังโดยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมการคาตางประเทศรวมกับเอกชน ระบุวา ในปก ารผลติ 2545/2546 ไทยมผี ลผลิตมันสาํ ปะหลงั ดังน้ี ป 2544/45 ป 2545/46 % เพิ่ม / ลด ผลผลติ (ลา นตัน) 16.868 18.426 9.24 นาํ้ หนักเก็บเก่ยี ว (ลานไร) 6.176 6.744 9.20 ผลผลิต / ไร (กก.) 2,731 2,732 0.04 โดยที่อินโดนีเซีย จีน และเวียดนาม มีผลผลิตมันสําปะหลังประมาณ 18.0-20.0 ลานตัน 3.8 ลา นตนั และ 2.2 ลานตัน ตามลําดับ โครงสรางการผลิตของอุตสาหกรรมมันสําปะหลังของประเทศไทย ประมาณรอยละ 45.50 จะเขาสูภาคการผลิตมันเสน เปนอัดเม็ด อีกรอยละ 50.55 ผลิตแปงมันสําปะหลังที่เหลือ นําไปใชด า นอื่นๆ เชน นําไปบริโภคโดยตรง การใชม ันสาํ ปะหลังในประเทศมนี อยรอ ยละ 22-25 ของผลผลติ โดยมีการใชมันเสนเพื่อ เปนสวนประกอบอาหารสัตวรอยละ 3-5 ของผลผลิต และใชแปงมันสําปะหลังเพ่ือการบริโภค และในอตุ สาหกรรมตอเนอ่ื ง เชน กระดาษ อาหาร ฯลฯ เพยี งรอ ยละ 19-20 ทางดานการสงออก มีผลผลิตที่สงออกรอยละ 70-75 ของผลผลิตโดยไทยเปนผูสงออก รายใหญของโลกมีสัดสวนการตลาดรอยละ 90 ของโลก ผลิตภัณฑท่ีสงออกจะเปนมันอัดเม็ด มันเสนรอยละ 70 ของผลิตภัณฑโดยมีมูลคาการสงออกรอยละ 40 ตลาดที่สําคัญ คือ ตลาด สหภาพยุโรป และจนี โดยสง ออกถงึ รอยละ 80-90 ของปริมาณมันอัดเม็ดที่สงออก ทางดานแปง มันสําปะหลังรอยละ 30 ของผลิตภัณฑแตมีมูลคาการสงออกถึงรอยละ 60 ตลาดท่ีสําคัญคือ ตลาดนอกสหภาพยุโรป รอ ยละ 95 ของปรมิ าณแปง ที่สงออก ปญ หาที่เกดิ ขึน้ ในสว นการผลิต 1. การขาดงบประมาณในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุมันสําปะหลังอยาง ตอเนือ่ ง 2. ผลผลิตของหัวมันสําปะหลังสดออกสูตลาดจะมีปริมาณมากในชวงตนฤดูกาลและ ขาดแคลนในชว งปลายฤดกู าล

87 3. การถายทอดเทคโนโลยีการผลติ ที่เหมาะสมและถูกตองไปยงั เกษตรกรมีนอย 4. ปริมาณผลผลิตไมมีเสถียรภาพขึ้นอยูกับราคาท่ีเกษตรกรขายไดในฤดูที่ผานมา สงผลนอ ย ใหบ างปมผี ลผลิตเกินความตอ งการของตลาด 5. ประสิทธิภาพการผลิตคอนขางต่ําเนื่องจากเกษตรกรขาดการปรับปรุงบุรงดิน รวมท้งั การใชพันธทุ ่ไี มเหมาะสมกบั สภาพการใชป ระโยชนทดี่ นิ แนวทางการแกป ญหาของการผลิต 1. ดําเนินการสงเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุมันสําปะหลังที่ใหปริมาณแปงและ ผลผลิตตอ ไรสูงขนึ้ รวมทง้ั เเหมาะสมในแตส ภาพพ้นื ท่ี 2. การกําหนดเขตเศรษฐกจิ สาํ หรับมนั สําปะหลงั 3. สงเสริมใหเกษตรกรปรับปรุงดินโดยใชปุยชีวภาพและปุยอินทรีย รวมท้ังวิธีการ เกษตรกรรมเพอ่ื การอนรุ กั ษดินและน้าํ ในเขตพน้ื ท่ีทมี่ ปี ญ หาพงั ทลายของดิน 4. ถายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมและถูกตองใหแกเกษตรกรเพ่ือพัฒนาการ ผลติ เพื่อใหเ ปน ไปตามมาตรฐาน HACCP ปญ หาที่เกิดขนึ้ ในสว นการแปรรูป 1. ขาดบุคลากรทมี่ ีความรูความเชีย่ วชาญในดานแปง โดยเฉพาะ 2. การวจิ ยั และพฒั นาผลิตภณั ฑต า งๆ คอ นขางจาํ กัด 3. เทคโนโลยีการแปรรูปเปน ผลิตภณั ฑต างๆ คอ นขางจํากัด 4. การขาดการแปรรปู เปน ผลิตภัณฑท่ีไมใชอาหาร เชน เอทานอล ภาชนะบรรจุภัณฑ พลาสติกยอ ยสลายไดทางชวี ภาพ เปน ตน 5. การแปรรูปเปน แปง แปรรปู เม่ือใชในอตุ สาหกรรมตอเนือ่ งยงั มีนอย 6. การแปรรูปมันเสนเพ่ือใหมีคุณภาพเหมาะสมในการเล้ียงสัตวภายในประเทศและ สงออกยงั มนี อ ยรวมท้งั ขาดแหลง ตรวจสอบและรบั รองคุณภาพมันเสนคุณภาพดี แนวทางการแกป ญหาดานแปรรปู 1. สงเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแปงแปรรูปและผลิตภัณฑแปรรูป อน่ื ๆ ใหมีการนําไปใชในเชิงพาณิชย โดยเฉพาะอยางยง่ิ ดาน Bio-tech 2. สงเสริมการผลิตแปงแปรรูปจากมันสําปะหลังเพ่ือเพ่ิมปริมาณการใชใน อตุ สาหกรรมตอเนอื่ ง 3. สงเสริมการแปรรูปเปนผลิตภัณฑในเชิงพาณิชย เชน เอทานอล ภาชะบรรจุภัณฑ พลาสตกิ ยอ ยสลายไดทางชวี ภาพ และจดั ต้ังองคกรบม เพาะ 4. ปรับปรุงคุณภาพมาตรฐาน เชน ลานอัด โรงอัด โรงแปง โดยเฉพาะอยางยิ่งการ รักษาสภาพแวดลอ ม

88 5. สงเสริมใหมีการแปรรูปมันสําปะหลังคุณภาพดีเพ่ือการเลี้ยงสัตว อุตสาหกรรม ตอ เนื่อง ท้งั ระดบั ลานมันเสน สถาบนั เกษตรกร และเกษตรกร ปญหาการตลาดภายในประเทศ 1. การใชผ ลติ ภณั ฑมนั สาํ ปะหลงั ภายในประเทศมนี อ ย 2. การประชาสมั พันธยงั มไี มม ากนกั แนวทางการแกปญ หาการตลาดภายในประเทศ 1. สง เสรมิ / เผยแพรป ระชาสมั พันธใหมีการใชผลิตภัณฑมันสําปะหลังภายในประเทศ มากขนึ้ 2. สงเสริมการจัดทําสัญญาขอตกลงระหวางสถาบันการเกษตรกรและโรงแปงมัน สําปะหลงั 3. จดทะเบียนประกอบการลานมัน โรงงานอัดมันเม็ด โรงงานแปงมันสําปะหลัง เพอื่ ใหการผลติ เปนไปตามมาตรฐานสากล 4. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโดยสนับสนุนการจัดต้ังศูนยการสารสนเทศเพ่ือ เผยแพรข อมูลและเช่อื มโยงการซอ้ื ขายผลิตภณั ฑม ันสําปะหลัง 5. สนับสนนุ การจัดตงั้ ตลาดสินคา ผลิตภณั ฑมันสาํ ปะหลงั ลวงหนา 6. สนับสนนุ ใหมศี ูนยตรวจสอบและรบั รองมันเสน มันอดั เมด็ คุณภาพดี 7. สงเสรมิ ใหมกี ารสรางบคุ ลากรทม่ี คี วามรูความเชย่ี วชาญในเรื่องแปงโดยเฉพาะ ปญหาที่เกิดขึน้ ในตลาดตางประเทศ 1. การประชาสัมพันธในตางประเทศในเร่ืองของแปงมัน / แปงแปรรูป และผลิตภัณฑ ตอเนอื่ งมีนอย 2. การแขงขันกันตัดราคาของผูสงออกทั้งมันอัดเม็ดและแปงมันสําปะหลังสงผล ตอ เนอ่ื งทําใหร าคามนั สําปะหลังคอ นขา งตํา่ 3. การคดิ คนทางการคาดว ยมาตรการที่มิใชภาษี เชน ระบบการวิเคราะหอันตรายและ จุดวิกฤตท่ีตองควบคุม (HACCP : HAZARD Analysis and Critical Control Point) ถึงสหภาพยุโรปไดกําหนดมาตรฐานดังกลาวเพื่อสัดสวนการนําเขา ผลติ ภณั ฑมันสําปะหลงั 4. ตลาดสงออกผลิตภัณฑมันสําปะหลังคอนขางจํากัด เชน มันเสน มันอัดเม็ด ใน สหภาพยุโรป จีน และแปงมันสําปะหลัง มีการกระจุกตัวอยูเฉพาะในแถบเอเซีย เทา น้นั

89 แนวทางแกปญ หาที่เกดิ ขนึ้ ในตลาดตางประเทศ 1. สรางความแข็งแกรงทางธุรกิจโดยจัดระบบความรวมมือและการแขงขันรวมกัน ระหวา งภาคราชการและภาคเอกชนทีเ่ กี่ยวขอ ง 2. ยกระดับมาตรฐานสงออกผลิตภณั ฑมันสาํ ปะหลังทัง้ ในสวนของมันเสน / มันอัดเม็ด และแปง มันสาํ ปะหลงั 3. เผยแพรประชาสัมพันธใหประเทศคูคาและกลุมเปาหมายรูจักการใชประโยชนจาก ผลติ ภณั ฑม นั สาํ ปะหลงั โดยเฉพาะผลิตภณั ฑใหม 4. เจรจาทวิภาคีและพหุภาคี เพ่ือลดการกีดกันทางการคาผลิตภัณฑมันสําปะหลังใน รูปภาษแี ละมิใชภาษี 5. เรงรัดการสงออกและขยายตลาดสงออกผลิตภัณฑมันสําปะหลังใหเพ่ิมขึ้น โดยการ เขารวมนิทรรศการเก่ียวกับอาหารสัตว จัดสัมมนาประโยชนของผลิตภัณฑมัน สําปะหลัง เอกสารอา งองิ

90 กรมวิชาการเกษตร 2545. เกษตรดที ี่เหมาะสมสําหรบั มนั สาํ ปะหลัง. เอกสารลําดบั ที่ 13 กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ 22 หนา ภาควิชาพืชไรนา 2542 ก. การแปรรูปและการใชประโยชน. เอกสารเผยแพรทางวิชาการ ฉบับที่ 5 โครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบทางสังคมเน่ืองจากวิกฤตการณทางเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร หนา 1-16 ภาควิชาพืชไรนา 2542 ข. เครื่องจักรกลท่ีใชในการเพาะปลูกมันสําปะหลัง. เอกสารเผยแพร ทางวิชาการ ฉบับที่ 6 โครงการบรรเทาผลกระทบทางสังคมเนื่องจากวิกฤตการณทาง เศรษฐกิจ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร หนา 1-22 ศูนยส ถติ ิการเกษตร 2542. สถติ ิการเกษตรของประเทศไทย ปเพาะปลูก 2541/42. สาํ นักงาน เศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ เอกสารสถิติการเกษตรเลขที่ 10/2543 ศูนยสถิติการเกษตร 2544. สถิติการคาเกษตรกรรมไทยกับตางประเทศป 2542-2543. สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ เอกสารสถิติการเกษตร เลขที่ 8/2544 ศนู ยสถติ กิ ารเกษตร 2543. สถิติการเกษตรของประเทศไทย ปเพาะปลูก 2542/43. สาํ นักงาน เศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ เอกสารสถิติการเกษตรเลขท่ี 9/2544 กลาณรงค ศรีรอต, เกื้อกลู ปยะจอมขวัญ,วัชรี เลิศมงคล,จําลอง เจียมจํานรรจา,ปยะ ดวงพัตรา, เอจ็ สโรบล, ปย ะวฒุ ิ พลู สงวน, เจริญศักด์ิ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ และวิจารณ วิชชุกิจ 2542. การแปรรูปและการใชประโยชนมันสําปะหลัง. เอกสารเผยแพรทางวิชาการฉบับท่ี 5 ภาควิชาพชื ไรน า คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร 21 หนา จรงุ สทิ ธิ์ ลิ่มศาลา และอัจฉรา ลิม่ ศิลา 2537 ก. ประวตั กิ ารแพรก ระจายความสาํ คัญและดินฟา อากาศทีเ่ หมาะสมในมนั สาํ ปะหลัง. เอกสารวิชาการ ศนู ยว ิจยั พืชไรระยอง สถาบนั วิจยั พชื ไร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ จรุงสิทธิ์ ล่ิมศิลา และอัจฉรา ล่ิมศิลา 2537 ข. ชนิดและพันธุมันสําปะหลัง. เอกสารวิชาการ ศูนยวิจัยพืชไรระยอง สถาบันวิจัยพืชไร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ 210 หนา จําลอง เจยี มจาํ นรรจา, วชั รี เลศิ มงคล, ปย ะ ดวงพัตรา, เอจ็ สโรบล, ปย ะวฒุ ิ พลู สงวน, เจรญิ ศักด์ิ โรจนฤทธ์ิพิเชษฐ และวิจารณ วิชชุกิจ 2542. การจัดการวัชพืชในไร มัน สําปะหลัง เอกสารเผยแพรทางวิชาการฉบับท่ี3 โครงการบรรเทาผลกระทบทางสังคม เน่อื งจากวกิ ฤตการณทางเศรษฐกิจ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร หนา 1-18 ชาญ ถิรพร และ กําพล นรินทราพร 2526. การเก็บเก่ียวและการเก็บรักษา. กรมวิชาการ เกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ หนา 113-118

91 โชติ สิทธิบุศย 2526. การบํารุงรักษาดินและการใชปุย. เอกสารเลขท่ี 7 งานทะเบียนและ ประมวลสถิติ กองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ หนา 66-81 ดนยั ศภุ าพร 2537. พฤกษศาสตร และพันธศุ าสตรข องมนั สําปะหลงั . เอกสารวชิ าการ ศูนยว จิ ัยพชื ไรระยอง สถาบันวจิ ยั พืชไร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ 210 หนา บวรเพชร นรินทราพร 2537. การใชประโยชนจากหัวมันสําปะหลัง. เอกสารวิชาการศูนยวิจัย พืชไรระยอง สถาบันวิจัยพชื ไร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ หนา 173-175. ปย ะ ดวงพัตรา, วัชรี เลศิ มงคล,จําลอง เจียมจาํ นรรจา, เอ็จ สโรบล, ปย ะวฒุ ิ พลู สงวน, เจรญิ ศักดิ์ โรจนฤทธิ์พิเชษฐ และวิจารณ วิชชุกิจ 2542. ดินและปุยมันสําปะหลัง. เอกสาร เผยแพรทางวิชาการ ฉบับท่ี 2 โครงการบรรเทาผลกระทบทางสังคมเนื่องจาก วกิ ฤตการณท างเศรษฐกิจ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร หนา 1-24 มานิสา ธีระวัฒนสกุล, ชาญ ถิรพร, ไชยรัตน เพ็ชรชลานุวัฒน, สมพงษ กาทองและประยงค นาคจันทึก 2537. วิชาพืชไรและควบคุมมันสําปะหลัง. เอกสารวิชาการศูนยวิจัยพืชไร ระยอง สถาบนั วจิ ยั พืชไร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ หนา 144-153 สุนี ศรีสิงห และ เสนห นิลมณี 2537. โรคมันสําปะหลังและการปองกันกําจัด. เอกสารวิชาการ ศูนยพืชไร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ หนา 155-161 สรุ ชัย หมนื่ สังข 2537. การใชขอมูลทางอตุ ุนิยมวทิ ยาในการเลอื กพืชปลูก. เอกสารเผยแพร ลาํ ดบั ที่ 15-23 กองอนุรกั ษดินและน้าํ กรมพฒั นาท่ดี นิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ 286 หนา โสภณ สินธุประมา 2526 ก. ประวตั คิ วามสาํ คัญ และดนิ ฟา อากาศทีเ่ หมาะสมในมันสาํ ปะหลัง. เอกสารเลมที่ 7 งานทะเบยี นและประมวลผลสถิติ กองแผนงานและวชิ าการ กรมวชิ า การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ 164 หนา โสภณ สนิ ธุประมา 2526 ข. ลกั ษณะทางพฤกษศาสตรใ นมนั สาํ ปะหลัง. เอกสารเลมท่ี 7 งานทะเบยี นและประมวลผลสถิติ กองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ 164 หนา โสภณ สินธุประมา ชาญ ถิรพร และ อนุชิต ทองกล่ํา 2526. การเกษตรกรรมและการ จัดระบบการปลูกพืช. เอกสารเลมที่ 7 งานทะเบียนและประมวลสถิติ กองแผนงานและ วิชาการ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ หนา 41-55 ศักดา อิทรวิชัย, กลาณรงค ศรีรอต, เกื้อกูล ปยะจอมขวัญ, วัชรี เลิศมงคล, จําลอง เจียมจํานรรจา, ปยะ ดวงพัตรา, เอ็จ สโรบล, ปยะวุฒิ พูลสงวน, เจริญศักดิ์ โรจนฤทธิ์

92 พิเชษฐ และวิจารณ วิชชุกิจ 2542. เครื่องจักรกลเกษตรท่ีใชในการเพาะปลูกมัน สําปะหลัง. เอกสารเผยแพรทางวิชาการ ฉบับที่ 6 ภาควิชาพืชไร คณะเกษตรศาสตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร 22 หนา อรุณี วงษกอบรัษฏ 2526. แมลงศัตรูพืชและการปองกันกําจัด. เอกสารเลมที่ 7 งานทะเบียน และประมวลสถิติ กองแผนงานและวิชาการ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ หนา 95-111