วิธีการตอกเสาเข็มไมโครไพล์เตรียมนำตัวปั่นจั่นจัดให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการทำการลงเสาเข็มสปันไมโครไพล์ใช้การทดสอบโดยการทิ้งลูกดิ้งหาจุดศูนย์กลางเพื่อหาระยะดิ่งตรงกลางระหว่าง cap pile ตรงกับหมุดศูนย์ที่กำหนดไว้ จากนั้นนำเสาเสาเข็มไมโครไพล์ วางลงตำแหน่งที่กำหนดไว้ ทำการจับระดับน้ำตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้อง ตรวจสอบแนวดิ่งในตัวปั่นจั่นจากนั้นเริ่มตอกเสาเข็มสปันไมโครไพล์ท่อนแรกจนสุดแล้วเริ่มตามด้วยเสาเข็มสปันไมโครไพล์ท่อนที่ 2 หลังจากนั้นก็จัดการเชื่อมเต็มรอบหัวเสาเข็ม หัวใจสำคัญในการตอกเสาเข็มไมโครไพล์ คือตัวเสาเข็มไมโครไพล์จะต้องได้มาตราฐานตอกไม่แตก เนื้อปูนต้องได้คุณภาพ พร้อมทั้งเหล็กเส้นต้องเป็นเหล็กเส้นที่มีน้ำหนักเส้นเต็มได้มาตราฐาน เสาเข็มไมโครไพล์ (Micropile) ของบริษัทคอมพลีทไมโครไพล์ไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวบ้าน และสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงที่แข็งแรง การตอกเสาเข็มไมโครไพล์ แนะนำให้ห่างจากสิ่งปลูกสร้างอย่างน้อย 50 เซนติเมตร และควรพิจารณาถ้าจะตอกเสาเข็มไมโครไพล์ใกล้เสาเข็มเดิมควรให้ห่างจากเสาเข็มเดิมบริเวณนั้นอย่างน้อย 2 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง มีเสียงเครื่องยนต์และเสียงกระแทกที่จะดังและสะเทือนบ้างในช่วงถึงชั้นดินแข็ง 1 วันเราสามารถตอกได้ประมาณ 2 – 3 ต้น เราจะเน้นคุณภาพตอกให้ลึกสุด ถึงชั้นทราย หรือดินดาน ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะพื้นที่หน้างานด้วยครับ มีหลายคนถามเข้ามานะครับว่าทำแค่ทางเดินต้องลงเสาเข็มไมโครไพล์มั้ย ต่อเติมหลังบ้านเล็กๆต้องลงเสาเข็มไมโครไพล์มั้ย เมื่อไรที่ต้องเลือกใช้เสาเข็มไมโครไพล์ จะตัดสินใจว่าลงเสาเข็มไมโครไพล์หรือไม่ลงเสาเข็มไมโครไพล์ ต้องพิจารณาก่อนว่ายอมรับให้ทรุดตัวได้มั้ย เช่น ถ้าคุณต่อเติมครัวแล้วถ้ามันทรุด ปัญหาน้ำรั่ว เกิดรอยร้าว จิ้งจกแมลงเข้ามา พื้นทรุดต่างระดับในอนาคต ซึ่งถ้ายอมรับไม่ได้ แนะนำเลยต้องลงเสาเข็มไมโครไพล์ แต่ถ้าทำทางเดินข้างบ้านซึ่งถ้าเกิดทางเดินมันจะทรุดตัวไปในอนาคต บางบ้านก็อาจจะไม่ได้เดือดร้อนเพราะอาจจะไม่ค่อยได้เดินก็ไม่จำเป็นต้องลงเสาเข็มไมโครไพล์ แต่ถ้าบางบ้านเป็นทางเดินเหมือนกัน แต่ไม่อยากมาทำใหม่ในอนาคต หรือมีเด็กหรือคนแก่กลัวว่าจะเดินสะดุด ก็อาจจะลงเสาเข็มไมโครไพล์ไปเลย เสาเข็มไมโครไพล์ สามารถเข้าพื้นที่แคบได้ สะเทือนน้อย และตอกได้ลึกถึงดินดานจึงนิยมนำมาใช้ในการต่อเติมบ้าน การลงเสาเข็มไมโครไพล์สำหรับต่อเติม จะไม่เกิดปัญหาการทรุดตัว ฉีกออกจากตัวบ้าน เพราะปลายเข็มจะอยู่ในชั้นดินเดียวกับตัวบ้านหลัก และบริษัทเราจะเน้นการตอกให้ได้ลึกที่สุด และการตรวจสอบ โบว์เค้าท์ (Blow count) เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง พร้อมวิศวกรออกแบบ และรับรองการรับน้ำหนักให้ เสาเข็มไมโครไพล์ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
การเลือกใช้เสาเข็มว่าจะใช้อันไหนดี ระหว่างเสาเข็มไมโครไพล์รูปตัวไอ หรือเสาเข็มไมโครสปันอัดแรง ให้ดูว่าเราจะสร้างอะไร รับน้ำหนักเท่าไร หรือสามารถปรึกษาวิศวกรเราได้ การเลือกชนิดของเสาเข็มและขนาดหน้าตัดขึ้นกับการรับน้ำหนัก และสิ่งที่จะปลูกสร้าง ยกตัวอย่างเช่น งานต่อเติมชั้นเดียวส่วนมากใช้เสาเข็มไมโครไพล์ขนาดไอ18 เซนติเมตร ซึ่งรับน้ำหนักได้ 15 ตัน/ต้น safe factor 2.5 เท่า ซึ่งหมายถึง ค่าสูงสุดที่รับได้ 2.5×15 ตัน = 37.5 ตัน แต่ตามหลักวิศวกรรม ให้ใช้น้ำหนักปลอดภัยที่ 15 ตัน ถ้าไม่แน่ใจโทรปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างของบริษัทเราก่อนได้ Tel: 0645649789 ความเข้าใจผิดของคนส่วนมากตามมาตรฐาน มอก. การผลิตเสาเข็มตัวไอต้องใช้ ลวดชนิดอัดแรง หรือ PC Wire 4 มม. ซึ่งมันดูเหมือนเหล็กเส้นเล็กๆไม่แข็งแรงเท่ากับเหล็กเส้น หรือเหล็กข้ออ้อย แต่ความจริงคือมันมีคุณสมบัติที่ต่างกัน! หน้าที่ของลวดอัดแรง หรือ PC wire คือใช้ในการทำคอนกรีตอัดแรง (pre-stress concrete) ในการผลิตจะมีการดึงลวดพอคอนกรีตเริ่มแข็งก็จะตัดลวดทำให้เกิดแรงอัดขึ้นมา คอนกรีตก็จะมีความแข็งแรงมากขึ้น หลักการเดียวกับการทำพื้นสำเร็จ ไม่มีใครใช้เหล็กกลม หรือข้ออ้อยมาทำ เพราะความแข็งแรงจะสู่ไม่ได้ แต่ทุกวันนี้มีการใช้เหล็กเส้นกลม หรือข้ออ้อยมาใช้อย่างเดียว และไม่ใช้ลวดอัดแรง **และบอกนี้ไงเหล็กใหญ่กว่าซึ่งเป็นความเข้าใจกันที่ผิด ปกติบริษัทเราจะผลิตไมโครไพล์เป็นกระบวนการคอนกรีตอัดแรง (PC WIRE) แต่ถ้าลูกค้าท่านไหนต้องการเป็นเหล็กกลม หรือข้ออ้อยจริงๆ เราก็สามารถผลิตให้ได้ครับ เสาเข็มไมโครไพล์ของโรงงานเรามีแบบตีตรา มอก. และเทียบเท่า มอก. คือเสาเข็มของเราจะมีขนาดหน้าตัดที่เท่ากับ มาตรฐาน มอก. ทั้งหมด (เราไม่มีแบบที่เสาเข็มผอม หรือบางกว่าแบบคนอื่นๆ) เสาเข็มของเราที่ไม่ตีตรา มอก.เราจะเรียกว่าเข็ม “เทียบเท่ามอก.” จุดแตกต่างของการเสาเข็มไมโครไพล์ที่ตีตรา มอก. และ ไม่ตีตรา มอก. คือ เหล็กcolar ที่รอบแผ่นplate และจำนวนลวดอัดแรง (PC WIRE 4 mm.) ที่เพิ่มขึ้นมา 2 เส้น ถ้าถามว่าควรใช้แบบไหน ถ้าลูกค้ามีงบประมาณที่ถึงและต้องการแบบมีมาตรฐานรับรองก็แนะนำให้ใช้แบบตีตรา มอก. ครับ แต่ถ้างบจำกัดก็ใช้แบบไม่มอก.ได้ครับ เพราะบริษัทเราจะมีใบรับรองน้ำหนักบรรทุกให้เหมือนกันครับ แบ่งเป็น 1. การพิจารณาอุปกรณ์ 2. พิจารณาการตอก 3. พิจารณากระบวนการทดสอบ
สอนเทคนิคการดูเสาเข็มไมโครไพล์เบื้องต้นว่าใช้กี่ต้น เสาเข็มไมโครไพล์จริงๆแล้วมันสามารถรับน้ำหนักน้ำหนักเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นกับชนิดและขนาดที่เราเลือกใช้ ดังนั้นจำนวนต้นต้องอยู่กับการออกแบบโครงสร้าง ส่วนมากทำการออกแบบโครงสร้างแบบมีคานคอดิน ซึ่งส่วนมากจะนิยมทำคานใหญ่สุดที่ 20×40 เซนติเมตร ซึ่งทำให้ระยะห่างระหว่างเสาห่างกันได้ไม่เกิน 4 – 4.5 เมตร ทั้งนี้ถ้ามีวิศวกรคำนวณออกแบบก็สามารถมีระยะห่างกว่านี้ได้ ดังนั้นจึงนิยมประมาณห่างกัน ไม่เกิน 4.5 เมตร ขออนุญาติยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจมากขึ้น
บริษัทเราให้บริการทั้งเข็มไมโครไพล์ และเข็มเจาะ ดังนั้นเราไม่ได้ลำเอียงไปข้างได้ข้างหนึ่งในคำถามนี้ เสาเข็มไมโครไพล์ คือเสาเข็มที่หนึ่งท่อน มีขนาดความยาว 1.50 เมตร และมาเชื่อมต่อกัน โดยเสาเข็มไมโครไพล์ชนิดตอก สามารถเข้าพื้นที่แคบได้ ตอกลึก และสามารถตรวจสอบการรับน้ำหนักเบื้องต้นได้ด้วยวิธีการเช็คโบว์เค้า (ไม่มีดินที่ขนขึ้นมา) ส่วนเสาเข็มเจาะทั่วไป หรือเสาเข็มเจาะแบบเจาะแห้ง คือการตอกปอกเหล็กลงไป เพื่อเจาะดินขึ้นมา พอเจาะเจอชั้นที่มีดินผสมทรายก็จะหยุดเจาะ จากนั้น หย่อนเหล็กที่ผูกไว้และ เทคอนกรีตลงไป และควรทำการเจาะสำรวจดิน หรือ soiltest ก่อนตอกเผื่อคำนวณความลึก (ต้องขนดินที่เจาะขึ้นมาทิ้ง) ข้อดีของเสาเข็มไมโครไพล์คือ ใช้พื้นที่ในการตอกน้อย เข้าที่แคบได้ ตอกได้ลึก และสามารถเช็คโบว์เค้าท์ หาค่าการรับน้ำหนักของเสาเข็มเบื้องต้นได้ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งงานสร้างใหม่ และงานต่อเติม แต่สำหรับงานต่อเติมถือว่าเป็นเสาเข็มที่ควรใช้มากที่สุดเพราะสามารถลงลึก และมีปลายเข็มอยู่ชั้นดินเดียวกับตัวบ้าน ทำให้ไม่เกิดปัญหาการทรุดตัวแยกออกกจากสิ่งปลูกสร้างเดิม ส่วนเสาเข็มเจาะคือ เข็มที่ทำการเจาะดินขึ้นมา ข้อดีคือ ไม่มีรอยต่อ แต่มีโอกาสตอกไปไม่สุดเพราะการหยุดตอกเพียงแค่เจอชั้นดินผสมทราย และไม่สามารถเค้นได้เพราะอาจทะลุไปเจอน้ำแล้วจะไม่สามารถเทคอนกรีตลงไปได้ เสาเข็มไมโครไพล์ก็คือเสาเข็มที่มันต่อกันแล้วก็เชื่อมต่อกันข้อดีคือ มันตอกได้ลึกสามารถตรวจสอบการรับน้ำหนักและความสมบูรณ์ได้ และตอกให้ถึงชั้นดินเดียวกับตัวบ้านทำให้การทรุดตัวมันไม่เกิดขึ้น แต่ข้อกังวลเกี่ยวกับเสาเข็มไมโครไพล์คือมีรอยเชื่อมต่อ ถ้าใช้ช่างเชื่อมไม่มีความสามารถก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้ ปกติบริษัทเราจะเน้นรอยเชื่อม ช่างเชื่อมของเราต้องมีใบรับรองช่างเชื่อม และมีประสบการณ์มากเท่านั้นดังนั้นเรื่องคุณภาพรอยเชื่อมต่อสบายใจได้ เสาเข็มเจาะก็คือเสาเข็มที่เจาะดินขึ้นแล้วใส่เหล็กเทคอนกรีตเหมาะกับสร้างใหม่มากกว่างานต่อเติมครับ เนื่องจากใช้พื้นที่มากกว่า ปลายเข็มอาจจะมีโอกาสอยู่กันคนละชั้นกับตัวบ้านหลัก การทดสอบน้ำหนักของเสาเข็มไมโครไพล์จะมีวิธีการที่ใช้การตรวจสอบ คือ การเช็คโบว์เค้า (blow count) หรือ last ten blow ซึ่งการทิ้งตุ้มลงมา 10 ครั้ง ดูระยะการจมลงของเสาเข็มต้องได้ตามที่วิศวกรของเรากำหนด ซึ่งมาตรฐานของบริษัทคอมพลีทไมโครไพล์ของเราจะเป็นหลักมิลลิเมตร ประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร และจะทำการตรวจสอบอยู่แล้วทุกต้น เพื่อให้มั่นใจว่าเสาเข็มแข็งแรง ไม่มีปัญหา สามารถรับน้ำหนักได้ตามที่วิศวกรกำหนด วิธีการเทสอีกวิธีหนึ่งที่เค้าเรียกว่าไดนามิคเทส (Dynamic test) คือ การที่สเตนเกท (Strain Gaug) ติดที่เสาเข็ม และทิ้งตุ้มทดสอบค่าการรับน้ำหนักสูงสุดที่เราต้องการ ข้อดีของเสาเข็มไมโครไพล์ สามารถเข้าที่แคบได้ สะเทือนน้อย ปลอดภัย ตอกลึกถึงดินดานพื้นไม่ทรุดตัว ค่าใช้จ่ายไม่แพง คุ้มค่า ถ้าเทียบกับว่าทำมาแล้วทรุด มีปัญหาก็ต้องทำใหม่ เสาเข็มไมโครไพล์เนื้อปูนต้องได้มาตรฐาน ไม่มีรอยร้าว และความแข็งแรงต้องได้อายุเสาเข็มไมโครไพล์ต้องไม่ต่ำกว่า 7 วัน ถ้าเป็นเข็มสปันอัดแรงเหวี่ยง เนื้อคอนกรีตต้องเนียน ไม่มีรูพรุน ไม่มีรอยร้าว อายุคอนกรีตเสาเข็มต้องไม่ต่ำกว่า 3 วัน การเช็ค blow count คือ การตรวจสอบว่าในจม 1 ฟุตต้องทำการตอกกี่ครั้ง ส่วน last ten blow คือการตอก 10 ครั้ง และดูระยะการจมของเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มไมโครไพล์มักจะใช้แค่ Last ten Blow เพราะค่าการจมที่น้อยมาก อย่างของบริษัทเราจะอยู่ที่ 2 – 3 มิลลิเมตร แปลว่าต้องตอก 10 ครั้ง เสาเข็มลง 2 – 3 เมตร หรือตอกหนึ่งครั้งลงไม่ถึงครึ่งมิลลิเมตร หรือเรียกว่าตอกแทบไม่ลง เราจึงหยุดตอก การทดสอบความแข็งแรงของเสาเข็มไมโครไพล์ที่ใช้กันส่วนมาก คือการทดสอบการรับน้ำหนักของเสาเข็มไมโครไพล์ หรือเรียกกันว่า เช็ค Blow Count และ Last ten blow ซึ่งบริษัทเราจะทำการตรวจสอบทุกต้นอยู่แล้ว ก็จะรู้ว่าเสาเข็มแข็งแรงไม่เฟล และรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ อีกวิธีเป็นการทดสอบการรับน้ำหนักโดยวิธีไดนามิคเทส Dynamic test ปกติจะทำโดยบริษัทอื่น เพื่อความโปร่งใส คือการนำเสาเข็มมาติดสเตนเกท (Strain Gauge) และทิ้งตุ้ม แล้วดูค่าการรับน้ำหนักสูงสุดที่เราต้องการ สามารถรับน้ำหนักได้มั้ย จากนั้นอ่านกราฟที่ได้
จังหวัดอะไรก็สามารถลงเสาเข็มไมโครไพล์ได้ครับ แต่ความลึกของการลงเสาเข็มต้องขึ้นกับชั้นดินในบริเวณนั้นๆ ด้วยครับ อย่างกรุงเทพจะลงค่อนข้างลึกส่วนมาก 18 – 21 เมตร ถ้ากรุงเทพแถวบางพลี บางบ่อ จะประมาณ 23 – 26 เมตร และระยองส่วนมากประมาณ 9 – 12 เมตร ทั้งนี้อย่าลืมคิดด้วยว่าถ่มขึ้นมากี่เมตร ปกติชั้นดินของกรุงเทพ 6 เมตรแรกเป็นชั้นดินอ่อนจะไม่สามารถรับน้ำหนักอะไรได้ ราคาเสาเข็มไมโครไพล์ มีราคาประมาณ 9,000 – 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดเสาเข็ม ขนาดหน้าตัดเสาเข็ม ตำแหน่งที่ตั้งบริเวณหน้างาน และจำนวนต้นที่ใช้ เนื่องจากตุ้มหน้าหนักเรามีมาตรฐาน การเคลื่อนย้ายไม่สามารถใช้รถกะบะได้ ต้องใช้รถหกล้อ ซึ่งถ้ามีการตอกหลายต้น ค่าขนส่งจะถูกเฉลี่ยลง ราคาต่อต้นก็จะถูกลง โดยในกทม. 1 ต้น ใช้ 12 – 14 ท่อน ตอกลึก 18 – 21 เมตร แต่ทั้งนี้ต้องดูชั้นดินบริเวณนั้นๆด้วย |