สาย VCT สมมุติเป็นแบรนด์ Ant , Thai union , PKS , Thai Yazaki ขนาด 3x1.5 , 3x2.5 , 3x4 , 3x6 , 3x10 พวกนี้รองรับได้กี่ amp ปกติการนับสาย เบอร์นี้เรียกเป็น 2 Core หรือ 3 Core กันครับเพราะผมจำไม่ได้ว่า วิธีคำนวณหาค่าของ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า คือ ความสามารถในการผลักดันให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำไฟฟ้า โดยปกติแรงดันไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปจะอยู่ที่ 220V (1เฟส) กระแสไฟฟ้า คือ อิเล็กตรอนในตัวนำไฟฟ้ามีหน่วยเป็น แอมแปร์ (Ampere) วัตต์ คือ หน่วยวัดกำลังไฟฟ้าที่เปลี่ยนจากกำลังไฟฟ้าเป็นพลังงานอย่างอื่น(W) เควีเอ คือ หน่วยของกำลังไฟฟ้าที่แหล่งจ่ายไฟฟ้าจ่ายให้โหลด เป็นผลคูณของกิโลโวลท์ ความถี่ คือ การสลับขั้วกระแสไฟฟ้าใน 1 วินาที โดยส่วนมากจะอยู่ที่ 50 รอบ แรงดันไฟฟ้า = Voltage (V) กระแสไฟฟ้า = Ampere(A) วัตต์ = Watt (W) เควีเอ = Kilovolt x ampere (KVA) ความถี่ = Hertz (Hz) สูตรการหาค่า 1 KVA = 800 watt 800 watt / 220 volt = 3.6 ampere ค่ากระแสไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 1 KVA = 800 W = 3.5 A 2 KVA = 1600 W = 7 A 3 KVA = 2400 W = 11 A 4 KVA = 3200 W = 14 A 6 KVA = 4800 W = 21 A 8 KVA = 6400 W = 29 A 12.5KVA = 10000 W = 45 A การหาค่าเครื่องมือทั่วไป เครื่องมือไฟฟ้าทั่วไป สามารถนำจำนวนแอมแปร์ (A) ที่ระบุไว้มาใช้หาค่าได้เลยการหาค่ามอเตอร์ไฟฟ้า การหาค่ามอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้าจะดันกระแสไฟฟ้าต่อเนื่อง (running) ต่อขนาด 1HP ที่ 7A โดยประมาณละ มอเตอร์ไฟฟ้าจะดันกระแสไฟฟ้าขณะสตาร์ท (starting) ต่อขนาด 1HP ที่ 7Ax3 = 21 A ***หมายเหตุ การใช้กระแสไฟฟ้าแบบต่อเนื่องกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้น จะสามารถใช้ได้ไม่เกิน 80% ของกำลังไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คุณทราบหรือไม่ว่า โหมดของแอมป์ขยายเสียง (Power Amplifier) ได้แก่ Stereo Mode, Paralleled Mode, Bridge Mono mode มีมาให้ใช้งานด้วย โดยมีปุ่มหรือสวิทให้เลือกโหมดการทำงาน ต่างๆด้านหลังของเครื่อง และเพื่อประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน เพาเวอร์แอมป์ของเรา เราจะมาดูความหมาย โหมดของแอมป์ขยายเสียง โหมดแรกกันเลยครับ 1. Stereo Mode(คลิกที่ภาพ เพื่อขยาย) รูปแบบโหมด Stereo นั้น จะเป็นโหมดพื้นฐานปกติทั่วๆไปของเครื่องขยายเสียงแบบสเตอริโอ ซึ่งหมายความว่า เครื่องขยายเสียงจะให้กำลังขยายเสียงขาออกทั้ง 2 แชนแนลเท่าๆกัน โหมดสเตอริโอจึงเหมาะกับการใช้งานแบบปกติทั่วไป การต่อสายสัญญาณอินพุท สามารถต่อได้ทั้ง 2 ช่องอินพุทอิสระทั้งซ้ายและขวา ส่วนการต่อสายลำโพง สามารถแยกต่อแบบอิสระทั้ง ชาแนลซ้ายและขวา เช่นเดียวกัน จุดเด่นโหมดสเตอริโอ ให้เสียงมิติซ้ายและขวา ต่อใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ต่อลำโพงได้จำนวนมากกว่าโหมด บริจโมโน 2. Paralleled Mode(คลิกที่ภาพ เพื่อขยาย) สำหรับโหมด พาราเรล นี้ เมื่อเราเลือกสวิทไปที่ตำแหน่งโหมดนี้ของเพาเวอร์แอมป์ มันก็คือการขนานสัญญาณอินพุท ชาแนล A และ B หรือ L R เชื่อมถึงกันนั่นเอง การต่อสายสัญญาณอินพุท จะสามารถต่อเข้าที่ชาแนล A เท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจาก โหมด สตอริโอ ส่วนการต่อสายลำโพง สามารถต่อได้ทั้ง ชาแนล ซ้ายและขวาปกติ 3. Bridge Mono mode(คลิกที่ภาพ เพื่อขยาย) เมื่อเราเลื่อนสวิทหลังแอมป์ไปโหมด Bridge mono นั้น เครื่องขยายเสียงจะรวมสัญญาณขาออก ทั้ง 2 แชนแนล รวมมาออกแชนแนลเดียวกัน เพื่อเพิ่มกำลังขยายสูงสุด จึงเป็นที่นิยมใช้กับลำโพงซับวูฟเฟอร์ (Subwoofers) โดยที่สเปคทางเทคนิคเครื่องขยายเสียง จะบอกถึงสเปคกำลังขยายเสียง ทั้งในรูปแบบ Stereo และ Bridge mono ไว้ด้วยทั้ง 2 แบบ ยกตัวอย่างเช่น Crown XLi 3500 กำลังขับ 1000 W ที่ 8 ohms Stereo และ กำลังขับ 2700 W ที่ 8 ohms Bridge mono ในข้อดีของโหมด Bridge mono นั้น จะทำให้ได้กำลังขยายเสียงเพิ่มสูงมากขึ้นในการใช้งาน แต่ในข้อดีก็จะมีข้อจำกัดเช่นกัน Bridge mono Mode ต่อลำโพงได้จำนวนน้อยกว่า โหมด สเตอริโอและโหมด พาราเรล การเชื่อมต่อสายสัญญาณอินพุท มาเข้าโหมดนี้สามารถต่อเข้าที่ชาแนล A เท่านั้น ส่วนการต่อสายลำโพง ก็จะมีช่องให้ต่อพิเศษ ทั้งต่อผ่านไบดิ้งโพสหรือหัวสปิคคอน Profesional Amplifier จะมีตัวหนังสือแสดงบอกที่หลังเครื่องอย่างชัดเจน (ไม่สามารถต่อแบบปกติแบบ สเตอริโอหรือพาราเรลโหมด) ดังนั้น เครื่องขยายเสียงที่ใช้โหมดแบบ Stereo นั้น สามารถใช้งานได้ 2 แชนแนล และสามารถสร้างมิติของเสียงได้ และโหมดแบบ Bridge Mono นั้นจะทำให้กำลังขยายเสียงเพิ่มสูงมากขึ้นในการใช้งานเพียง 1 แชนแนล นั่นเอง |