ปล กผ กงแบบไม ต องเพาะเมล ดได ม ย

aquatica Forsk. Var. reptan ผักบ้งุ จีน เป็นผักทคี่ นไทยนยิ มรบั ประทานเนอื่ งจากเป็นผกั ท่ีหาซ้ือได้ขายตาม

ท้องตลาด และเกษตรกรนยิ มปลกู ผกั บ้งุ จีนเนื่องจากเป็นผกั ท่ปี ลกู ไดง้ า่ ย เจริญเติบโตไว ระยะเวลาการปลกู เพยี ง

25-30วัน ก็สามารถเก็บเก่ยี วไดแ้ ลว้ และเป็นผักสามารถปลูกได้ตลอดทง้ั ปี

วิธีการปลกู ผกั บุ้งจีน มีแบบ 2 คอื

1. การปลกู ผกั บุ้งจีน แบบหวา่ น การปลกู แบบหวา่ นจะเป็นการหว่านเมลด็ ผกั บงุ้ จีนลงไปแปลงดนิ ตรงๆ กลบดว้ ย

ดนิ บางๆ แลว้ รดน้าได้เลย แตม่ ีขอ้ เสยี คอื ผักบุ้งจีนเปน็ ผักที่มคี วามตอ้ งการน้ามาก เวลารดน้าจะทาให้ตน้ ผกั บงุ้ จีน

แย่งน้ากัน ทาใหก้ ารเจริญเตบิ โตไมเ่ ท่ากนั

2. การปลูกผกั บุ้งจีน แบบหยอด การปลูกแบบหยอดจะเป็นการปลกู แบบแนวเส้นตรง แลว้ จงึ นาเมลด็ พนั ธ์ุไป

หยอดตามแนวเสน้ ตรง เพื่อไมไ่ ดเ้ มล็ดชิดกนั มากเกินไป เสรจ็ แลว้ กลบดินแล้วรดน้าได้เลย พอเมลด็ เจรญิ เติบโตกจ็ ะ

เรียงแนวเปน็ ระเบยี บ

ขั้นตอนวิธกี ารปลกู ผักบุ้งจีน

1. ซอ้ื เมล็ดผกั บุง้ จนี ตามร้านเกษตรทั่วไป เมือ่ ไดเ้ มล็ดมาแล้วจึงนามาแชน่ ้า ประมาณ48ช่ัวโมง

2. ไถดินเตรียมก่อนปลกู เพอ่ื ตากแดดประมาณ 15-30วัน

3. ไถพรวณดนิ อีกรอบนงึ และขนึ้ แปลงปลกู

4. ใส่ปยุ๋ ลงไปในแปลงดนิ และคลกุ เคล้าปยุ๋ กบั ดนิ ใหเ้ ข้ากนั

5. พรวนหญา้ ดนิ ใหเ้ รยี บเสมอกนั ไม่เปน็ หลมุ เป็นบ่อ เพราะจะทาให้ผักบุ้งจนี เติบโตไม่เท่ากัน

6. ใหว้ ิธกี ารหว่านเมลด็ หรอื แบบหยอดเมล็ดกไ็ ด้ แลว้ แตค่ วามต้องการ

7. การกาจดั วชั พืชสามารถทาได้ทนั ทีโดยการพรวนดินหรือการถอนดว้ ยมอื

8. การรดนา้ ผกั บงุ้ จีนเป็นผกั ท่ีตอ้ งการน้ามากและสม่าเสมอ แต่ไม่ควรมากเกนิ ไปจนน้าขงั เพราะจะทาใหร้ าก

ผกั บงุ้ จนี เน่าและไมเ่ จริญเติบโต ควรรดน้าทุกวนั วนั ละ1-2ครั้ง แต่ถ้าวนั ไหนฝนตกกไ็ ม่จาเป็นตอ้ งรดนา้ สาคัญอยา่

ให้ผักบงุ้ จนี ขาดนา้ เพราะจะทาให้ผักบงุ้ จนี ขาดการเจริญเติบโต ไมม่ ีคณุ ภาพ ไมน่ ่ารับประทานและราคาตก

9. ผกั บ้งุ จีนเป็นผกั ที่เจรญิ เตบิ โตไวเพียง 25-30วัน หรือตน้ สงู ประมาณ30-35ซม. ก็สามารถเก็บเก่ียวได้แลว้ กอ่ น

ก่อนเกบ็ เกี่ยวควรรดน้าแปลงดนิ ใหซ้ มุ่ เพือ่ การเกบ็ เกย่ี วผักบุ้งจะง่ายข้ึน ทาใหร้ ากผกั บุ้งจนี ไม่ขาดมาก สะบัดดนิ

ออกและนาไปลา้ งน้าอีกทีนึง (สาคญั ไมค่ วรนา้ ผกั บุ้งไปตากแดดเพราะจะทาให้ผักบงุ้ เหย่ี ว) จัดการมัดผักบุง้ เปน็ มัดๆ

และนาไปจาหนา่ ยต่อไ แหล่งท่มี า

http://www.vigotech.in.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539852761&Ntype=8

ใบความรเู้ ร่อื ง ผกั กวางตุ้ง (Mockpak choi, caisin)

ผกั กวางตุ้งดอก Mockpak choi, caisin ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Brassica rapa L. เป็นผกั ท่ีนยิ มบริโภคกนั มากปลูกงา่ ย เจริญเติบโตเร็ว อายกุ ารเก็บเกีย่ วสนั้ เพยี ง 35-45 วนั ลาตน้ ต้ังตรง มสี ีเขยี ว กอ่ นออกดอกลาต้นจะสน้ั มีขอ้ ถีม่ ากจนดูเป็นกระจกุ ท่โี คนต้น

สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม ผักกาดเขียวกวางตุ้งสามารถขนึ้ ไดใ้ นดนิ แทบทุกชนดิ แต่จะเจริญได้ดที ส่ี ุดในสภาพดินรว่ นปนทรายทม่ี ี ความอุดมสมบูรณด์ ี มอี นิ ทรีย์วัตถุสงู ความเปน็ กรดเปน็ ด่างของดิน (pH) ควรอย่รู ะหวา่ งสภาพเป็นกรดเลก็ นอ้ ย จนถงึ ปานกลาง คือ pH อยู่ระหว่าง 6-6.8 ชอบดินทมี่ ีความชื้นสูงเพียงพอสมา่ เสมอ ไดร้ ับแสงแดดเต็มที่ตลอดวนั อุณหภูมิท่ีเหมาะสมอยู่ระหวา่ ง 20-25 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตามในประเทศไทยสามารถปลูกผกั กาดเขียว กวางตุง้ ไดต้ ลอดปี

การเตรยี มดนิ ควรขดุ ไถดินใหล้ ึกประมาณ 15-20 เซนตเิ มตร แลว้ ทาการตากดนิ ท้ิงไวป้ ระมาณ 5-7 วัน ใสป่ ๋ยุ คอกหรอื ปยุ๋ หมกั ท่ยี อ่ ยสลายตัวแลว้ ให้มาก คลกุ เคล้าให้เข้ากันดี แล้วทาการไถพรวนใหด้ นิ ละเอยี ด ในกรณที ดี่ ินมสี ภาพเปน็ กรดก็ควรใสป่ นู ขาวเพื่อปรบั ระดับ pH ของดินใหเ้ หมาะสม ขนาดของแปลงปลูกกวา้ ง 1 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร

การปลกู ผักกาดเขยี วกวางตุง้ นิยมทากนั 2 วิธดี ้วยกัน คือ 1. การปลกู แบบหวา่ นเมลด็ โดยตรง วธิ ีน้ีนิยมใช้ในการปลูกแปลงที่ยกรอ่ ง มรี ่องน้ากว้าง และพน้ื ทคี่ วรมกี าร เตรียมอย่างดี และเปน็ ดินท่มี ีความอดุ มสมบรู ณ์ เนอ่ื งจากเมล็ดพันธผ์ุ ักกาดเขยี วกวางตุ้งมีขนาดเล็กมาก ดงั น้ันกอ่ น หวา่ นควรผสมกบั ทรายเสยี ก่อน โดยใช้เมลด็ พนั ธ์ุ 1 ส่วนผสมกับทรายสะอาด 3 สว่ น แลว้ หว่านให้กระจายทว่ั แปลง สม่าเสมอแลว้ หวา่ นกลบดว้ ยปยุ๋ คอกหรือปยุ๋ หมักหนาประมาณ 1-2 เซนติเมตร หลังจากน้ันคลมุ ด้วยฟางขา้ วบางๆ เพื่อช่วยเกบ็ รักษาความชมุ่ ชื้นในดนิ เสร็จแล้วรดนา้ ใหช้ มุ่ หลังจากงอกไดป้ ระมาณ 20 วัน ควรทาการถอนและจัดให้ มีระยะระหว่างตน้ 20-25 เซนติเมตร 2.การปลูกแบบโรยเมล็ดเปน็ แถว การปลูกวธิ ีน้ีหลงั จากเตรยี มดินแลว้ จึงทาร่องลกึ ประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ให้ เป็นแถวโดยให้ระยะระหวา่ งแถวห่างกนั 20-25 เซนติเมตร นาเมลด็ พันธผ์ุ สมกับทราย แล้วทาการโรยหรอื หยอด เมล็ดเป็นแถวตามร่อง แล้วกลบดว้ ยป๋ยุ คอกหรือปุ๋ยหมกั บางๆ คลุมดว้ ยฟางข้าวบางๆ รดนา้ ให้ชุ่มอย่างสม่าเสมอ

หลงั จากปลกู ได้ประมาณ 20 วนั หรอื ตน้ กล้ามใี บ 4-5 ใบ จึงทาการถอนแยกในแถว โดยพยายามจัดระยะระหว่าง ตน้ ใหห้ ่างกนั ประมาณ 20-25 เซนตเิ มตร ให้เหลือหลุมละ 1 ต้น

การให้นา้ เน่อื งจากผกั กาดเขยี วกวางตุ้งเปน็ ผกั ท่ตี อ้ งการนา้ มาก และมกี ารเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเร็ว ดังนนั้ เกษตรกร จะต้องใหน้ า้ อยา่ งเพียงพอและสม่าเสมอ อย่างนอ้ ยวันละ 1 ครัง้ โดยใช้ระบบพน่ ฝอยหรือใช้สายยางติดหวั ฝักบวั อย่าใหผ้ ักกาดเขียวกวางตงุ้ ขาดนา้ ในระยะการเจริญเตบิ โต เพราะจะทาให้ผกั กาดเขยี วกวางตุง้ ชะงกั การเจรญิ เติบโต ได้

การใสป่ ยุ๋ เน่ืองจากผักกาดเขียวกวางตุง้ เปน็ ผักกินใบและก้านใบ ดังนนั้ การใส่ป๋ยุ ควรใช้ปุ๋ยยูเรยี (46-0-0) หรือ แอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 30 กิโลกรมั ต่อไร่ เป็นการเร่งการเจริญเตบิ โตให้กับใบและก้านใบให้เรว็ ขึ้น หรือใช้ปยุ๋ สตู ร 20-11-11 หรอื สตู รใกล้เคียง ในอตั รา 30-50 กิโลกรัมตอ่ ไร่ หลังจากใส่ป๋ยุ ทุกครั้งควรมีการราดน้าตามทนั ที อย่าให้ปุย๋ ตกค้าง สาหรบั การพรวนดินและกาจดั วชั พชื ควรทาให้ระยะแรกพร้อมกับการถอนแยก

การเก็บเก่ยี ว อายกุ ารเกบ็ เกีย่ วของผกั กาดเขยี วกวางตงุ้ ค่อนข้างเร็ว คือ ประมาณ 35-45 วนั การเก็บเกย่ี วโดยเลอื กตน้ ที่ มขี นาดใหญ่ตามตอ้ งการ แลว้ ใช้มดี คมๆ ตัดท่ีโคนต้น แล้วทาการตัดแตง่ ใบนอกท่แี ก่หรอื ใบทถี่ ูกโรคหรือแมลง ทาลายออก หลงั จากตัดแต่งแลว้ จึงบรรจุภาชนะเพอ่ื ส่งจาหน่ายตลาดต่อไป สาหรบั การเก็บรักษา เนือ่ งจากผกั กาดเขยี วกวางตุง้ เปน็ ผักอวบน้า ดงั น้ันการเก็บรกั ษาจงึ ควรเกบ็ ไว้ในที่ อุณหภูมติ า่ ประมาณศูนย์องศาเซลเซียสทคี่ วามชื้นสมั พทั ธ์ 95 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถเก็บรกั ษาไว้ไดน้ านถงึ 3 สปั ดาห์

แหลง่ ที่มา https://www.railungtop.com/รายละเอียด/วธิ ีปลกู ผกั กวางต้งุ

ใบความรูเ้ ร่อื งผกั คะนา้ (Kale)

คะน้า (Kale) มีชือ่ วิทยาศาสตรว์ า่ Brassica Oleracea Var alboglabra อยูใ่ นวงศก์ ะหล่า

(Cruciferac) หรอื ผักตระกูลกะหลา่ มถี น่ิ กาเนดิ ในแถบเอเชีย สายพนั ธุท์ น่ี ยิ มปลกู ในไทยเปน็ คะน้าจนี มที ้ังคะน้าใบ และคะนา้ ยอดหรอื คะน้าก้าน โดยเฉพาะคะนา้ ฮ่องกงทถ่ี ูกใจคนชอบกนิ กา้ นทสี่ ุด โดยไทยสง่ั เมล็ดเข้ามาปลูกและ ปรับปรุงพนั ธ์ุ มี 3 พนั ธ์ุด้วยกนั ไดแ้ ก่

สายพันธท์ุ ี่นิยมปลูกในไทย 1.พันธใุ์ บกลม : มีลกั ษณะใบกวา้ งใหญ่ ปลอ้ งสน้ั ปลายใบมนและผิวใบเปน็ คลน่ื เล็กน้อย ทนทานต่อดนิ ฟาู อากาศ

ไดด้ ี ไดแ้ ก่ พันธ์ุฝางเบอร์ 1 ฝางเบอร์ 2 เป็นต้น 2.พนั ธใุ์ บแหลม : เป็นพันธ์ุทมี่ ลี กั ษณะใบแคบกว่าพนั ธ์ุใบกลม ปลายใบแหลม ข้อห่าง ผิวใบเรยี บ ไดแ้ ก่ พันธุ์ P.L.20 เปน็ ต้น

3.พนั ธยุ์ อดหรือกา้ น : มลี กั ษณะใบเหมือนกับคะนา้ ใบแหลม แต่จานวนใบตอ่ ตน้ มีน้อยกว่า ปลอ้ งยาวกว่า ได้แก่ พันธุ์แม่โจ้ 1 เปน็ ตน้

วิธีปลกู คะน้าปลูกในดนิ หรอื แปลงผกั มีท้งั แบบหว่านกระจายทั่วแปลง เหมาะสาหรับแปลงปลกู ขนาดใหญ่ ทาเป็นการค้า และแบบแถวเดียว เหมาะสาหรบั แปลงปลกู ขนาดเล็กหรือผักสวนครัว โดยมรี ะยะปลูกระหวา่ งตน้ และระหวา่ งแถวประมาณ 20X20

เซนตเิ มตร เสรจ็ แลว้ ผสมดินรว่ น 2 สว่ น ป๋ยุ หมกั หรือป๋ยุ คอก 1 ส่วน (แต่หากไม่สะดวกผสมดนิ เอง สามารถใช้ดิน สาเรจ็ รปู แทนได้) หว่านเมลด็ ให้กระจายท่วั ท้ังผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร ใช้ดินผสมหรือ

ปยุ๋ คอกหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร กลบดนิ ผวิ หนา้ เมลด็ ผกั คะนา้

การดแู ลผักคะน้า

คะน้าเป็นพืชทีเ่ ติบโตได้ในดนิ แทบทกุ ชนดิ โดยเฉพาะดินรว่ นปนทราย ดนิ เหนยี วปนดินรว่ น ชอบดนิ ทีร่ ะบาย

นา้ ไดด้ ี นา้ ไม่ขงั ควรรดนา้ อย่างเพียงพอและสม่าเสมอทกุ เช้า-เย็น หม่ันกาจดั วชั พืชและพรวนดนิ บอ่ ยๆ

วางในบรเิ วณทมี่ ีแสงเพียงพอ ส่วนป๋ยุ ทน่ี ามาบารุงต้นควรเปน็ ปุย๋ ที่ธาตุไนโตรเจนสงู

ชว่ งเวลาปลกู คะนา้ ปลกู ได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาท่ปี ลูกไดผ้ ลดที ่ีสุดอย่ใู นช่วงเดือนตลุ าคมถงึ เมษายน ช่วงระหวา่ งเดอื น พฤษภาคม-กันยายน ซึง่ เปน็ ช่วงฤดูร้อนและฤดฝู นสามารถปลูกได้เชน่ กัน แตอ่ าจประสบปัญหาขาดน้าหรือฝนตก หนกั ทาใหด้ ินแน่น ผักไมเ่ จรญิ เตบิ โต

การเก็บเก่ยี ว เมอ่ื คะน้ามอี ายอุ ยู่ทป่ี ระมาณ 45-55 วนั หลงั ปลูก จะสามารถเก็บเก่ียว แต่คะน้าท่ีมอี ายุ 50-55 วนั เป็น ระยะทีเ่ กบ็ เก่ียวไดน้ า้ หนกั มากกว่า

ใบความรู้ พืชสมนุ ไพรไลแ่ มลง

ชนดิ ของสมุนไพรป้องกนั กาจัดแมลงศตั รูพืช

สมนุ ไพรทีม่ ีประสทิ ธภิ าพปูองกันกาจัดแมลงศัตรูพชื ไดแ้ ก่ หางไหลขาว (โล่ตน๊ิ ) หางไหลแดง

(กะเพยี ด) ยาสบู (ยาฉุน) เถาบอระเพ็ด สาบเสือ พรกิ ไทย ขา่ แก่ ขมน้ิ ชนั ตะไคร้หอม ตะไคร้แกง ดีปลี

พริก โหระพา สะระแน่ กระเทียม กระชาย กะเพรา ใบผกากรอง ใบดาวเรือง ใบมะเขือเทศ ใบคาแสด

ใบนอ้ ยหน่า ใบยอ ใบลกู สบตู่ ้น ใบลกู เทียนหยด ใบมะระขนี้ ก เปลอื กว่านหางจระเข้ วา่ นน้า เมลด็ โพธิ์

เมลด็ แตงไทย เปลือกมะม่วงหิมพานต์ ดอกลาโพง ดอกเฟ่ืองฟูาสด กลบี ดอกชบา ลูกทุเรยี นเทศ ราก

เจตมูลเพลิงแดง สมุนไพรท่มี ีประสิทธิภาพป้องกนั กาจดั หนอนชนดิ ต่างๆ ไดแ้ ก่ สะเดา (ใบ+ผล) หางไหลขาว (โล่ตนิ๊ ) หางไหลแดง (กะเพียด) หนอนตายหยาก สาบเสอื ยาสูบ (ยาฉนุ ) ขม้นิ ชัน วา่ นน้า หวั กลอย เมล็ดละหุง่ ใบและเมลด็ สบู่ต้น ดาวเรือง ฝักคนู แก่ ใบเลี่ยน ใบควนิ ิน ลกู ควินนิ ใบมะเขือเทศ เถาบอระเพด็ ใบลกู เทียนหยด เปลอื กใบเขม็ ปุา เปลอื กตน้ จกิ และจิกสวน ต้นส้มเช้า เมลด็ มันแกว ใบยอ ลกู เปลอื กต้นมงั ตาล เถาวัลย์ยาง เครือบกั แตก คอแลน มุยเลอื ด ส้มกบ ตนี ตั่งนอ้ ย ปลขี าว เกล็ดล้นิ ยา่ นสาเภา พ่วงพี เขม็ ขาว ข่าบา้ น บวั ตอง สบู่ดา แสยก พญาไร้ใบ ใบแก่-ผลย่ีโถ สมนุ ไพรไล่แมลง เปน็ พืชทมี่ ีส่วนต่างๆ เช่น ใบ ราก เปลือก ดอก ผล ที่มีสารออกฤทธิท์ ัง้ ทางตรงและ ทางอ้อม ในการปอู งกนั กาจัดแมลงศตั รูพืช ผลทางตรง จะมผี ลกระทบต่อระบบประสาท และระบบหายใจ ทาใหแ้ มลงตายทนั ที ผลทางออ้ ม จะมีผลต่อระบบอื่นๆ โดยการไปยบั ย้ังการกินอาหาร การลอกคราบ การเจรญิ เติบโตของ แมลง การใช้สมนุ ไพรไล่แมลงหรือกาจัดศัตรูพชื ควรใชใ้ ห้เหมาะสม คอื เลอื กใชส้ ่วนต่างๆ ของพชื สมนุ ไพรใน ชว่ งเวลาทีเ่ หมาะสม ดงั น้ี ดอก ควรเก็บในระยะดอกตมู เพิ่งจะบาน ผล ควรเกบ็ ในระยะท่ีผลยงั ไมส่ กุ เพราะสารตา่ งๆ ยังไมถ่ กู สง่ ไปเล้ยี งเมลด็ เมล็ด ควรเก็บในระยะที่ผลสุกงอมเต็มท่ี ซ่ึงจะมีระยะทเี่ มลด็ แกเ่ ต็มท่ี และจะมีสารต่างๆ สะสมอยู่ใน ปรมิ าณมาก หวั และราก ควรเก็บในระยะทีเ่ ริม่ มดี อก เพราะระยะนตี้ น้ พชื จะมกี ารสะสมสารต่างๆ ไว้ทีร่ าก และ ควรเกบ็ ในฤดูหนาวปลายฤดูร้อน เพราะเปน็ ช่วงท่ีกระบวนสงั เคราะหแ์ สงหยดุ ทางาน เปลอื ก ควรเก็บก่อนที่จะมกี ารผลใิ บใหม่ และควรเกบ็ ในฤดูร้อนและฤดูฝน ดังนนั้ ก่อนท่จี ะนาสมนุ ไพรแตล่ ะชนดิ มาใช้ในการปอู งกันกาจัดหรอื ไล่แมลงศัตรูพชื ควรมีการศึกษาหา ข้อมลู ใหด้ เี สยี ก่อนวา่ จะนาสว่ นไหนมาใช้และใช้ในช่วงเวลาใด จึงจะกอ่ ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสูงสุดใน การปูองกันกาจดั แมลง

ท่มี า : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_87501

ใบงาน เร่ือง การปรบั สภาพดนิ กอ่ นการเพาะปลูก นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ บอกขอ้ ดี และขอ้ เสียกับภาพปุ๋ยสองชนิดดงั ตอ่ ไปนี้

ปุ๋ยชีวภาพ

ข้อดี ข้อเสีย

สมาชกิ ในกลุ่ม 1..............................................................................ชน้ั ม..........................เลขท.่ี ........................... 2..............................................................................ช้ันม..........................เลขท่ี............................ 3..............................................................................ชน้ั ม..........................เลขท.่ี ........................... 4..............................................................................ชั้นม..........................เลขที่............................ 5..............................................................................ชั้นม..........................เลขที่............................ 6..............................................................................ชั้นม..........................เลขที่............................