กลุ่ม โรค ติดต่อ ทาง เพส สั ม พันธุ์

โรคเชื้อราในช่องคลอด เกิดจากเชื้อรา แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida Albicans) โดยปกติเป็นเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดโดยไม่ทำให้เกิดโรค แต่ถ้าร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ได้รับยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคเอดส์ หรือมีภาวะอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เชื้อรามีปริมาณมากขึ้นจนก่อโรค โดยอาการสำคัญที่ควรต้องเข้ามาปรึกษาแพทย์ ได้แก่

  • ตกขาวผิดปกติ
  • มีกลิ่น
  • ผนังช่องคลอดมีลักษณะบวมแดง
  • มีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศและภายในช่องคลอด อาการดังกล่าวเหล่านี้เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขั้นรุนแรง

เอดส์ (AIDS) เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรคทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่าย และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต.jpg)

หนองใน เกิดจากเชื้อหนองใน (Neisseria Gonorrhoeae) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เจริญได้ดีในที่ชื้น และที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ (ทั้งหญิง และชาย) นอกจากนี้หนองในยังสามารถเจริญในที่อวัยวะอื่นๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก คอ ตา ทวารหนัก เกิดได้จากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก องคชาต (อวัยวะเพศชาย) โดยอาจมี หรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิ และยังสามารถติดจากมารดาสู่ทารกในระหว่างการคลอดได้

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น แต่สามารถเป็นได้ทุกแห่งของร่างกาย เช่น ลิ้น มือ แขน ขา รวมทั้งระบบประสาทหัวใจ เส้นเลือด ตา กระดูก ฯลฯ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) เป็นแบคทีเรียที่มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเกลียวสว่าน ซิฟิลิสสามารถติดต่อโดยการร่วมเพศ เชื้อจะเข้าทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็กน้อย หรืออาจไชเข้าเยื่อบุผิวของท่อปัสสาวะ ทวารหนัก ช่องคลอด หรือ ช่องปาก.jpg)

เริม โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes Simplex Virus) เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่เป็นโรคเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นโรคเริมครั้งแรก หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสะสมในปมเส้นประสาท และเมื่อเกิดปัจจัยกระตุ้นเชื้อจะเคลื่อนจากปมประสาทมาตามเส้นประสาทจนถึงปลายประสาท และเกิดโรคซ้ำที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ โดยการเกิดโรคเริมนั้น สามารถพบได้ในหลายตำแหน่ง เช่น ที่ริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ

หูดหงอนไก่ หูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังคงพบได้มาก จากลักษณะนิสัยของไวรัสต้นเหตุที่เรียกว่าฮิวแมน แปปิโลมาไวรัส (เอชพีวี) ชนิดความเสี่ยงต่ำ เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุเซลล์ที่แบ่งตัวจะเปลี่ยนรูปร่าง และหน้าที่จนควบคุมไม่ได้ เกิดเป็นเนื้องอกนูนออกมาลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ชอบขึ้นที่อุ่น และอับชื้น ในผู้ชายมักพบที่อวัยวะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดทั้งบริเวณรอบรอยเปิดขอบท่อปัสสาวะ และอัณฑะ ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก และฝีเย็บหูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อย

ต่อให้ความรักจะสุขล้นแค่ไหน เรื่องของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าไม่อยากให้รักหวานกลายเป็นขมในชั่วข้ามคืน ทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวคุณและคู่รักของคุณ

มีชื่อเรียกโดยย่อว่า โรค STD (Sexually Transmitted Disease) เกิดจากการติดต่อผ่านกันทางเพศสัมพันธ์ กับผู้ที่มีเชื้อโรคนั้นๆ

เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ

  1. เชื้อไวรัส ได้แก่ เริม (Herpes Simplex),หูดหงอนไก่ (Papilloma Virus หรือ HPV),เอดส์ (HIV)
  2. เชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ หนองในแท้ (Gonorrhea),หนองในเทียม (Chlamydia),ซิฟิลิส (Syphilis)
  3. เชื้ออื่นๆ ได้แก่ เชื้อพยาธิ (Trichomanas),เชื้อรา (Candida)

อาการของโรคที่พบได้ คือ

  • มีตกขาวผิดปกติ หรือตกขาวเรื้อรังเป็นๆหายๆ
  • ตกขาวมีกลิ่น มีอาการคัน หรือระคายเคือง
  • มีตุ่ม มีผื่น หรือแผล บริเวณอวัยวะเพศ
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • เชื้อบางชนิด อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก หรือบางระยะโรค เช่น หูดหงอนไก่ชนิดที่ก่อมะเร็งปากมกลูก (High risk group HPV),เริม,เอดส์,ซิฟิลิสบางระยะ เป็นต้น

วิธีการป้องกันโรค

  1. ใช้ถุงยางอนามัย
  2. ไม่เปลี่ยนคู่นอน
  3. ไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เสี่ยงโรค
  4. รักษาความสะอาด ร่างกายและอวัยวะเพศ
  5. ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
  6. ศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  7. ปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าติดต่อโรค

การตรวจวินิจฉัยโรค

ควรพบแพทย์ เพื่อปรึกษาตรวจร่างกาย หรือตรวจภายในสตรี เพื่อค้นหาโรค เช่น ตุ่มเริม,หูดหงอนไก่,เชื้อรา แพทย์จะนำตกขาว หรือสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอด และปากมดลูก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจหาเชื้อรา,เชื้อพยาธิในช่องคลอด(Wet Smear หรือ เชื้อหนองในแท้,หนองในเทียม) โดยการตรวจ PCR หรืออาจทำการตรวจเลือด เพื่อหาปฏิกิริยาต่อเชื้อนั้นๆ เช่น ซิฟิลิส หรือเอดส์ (HIV)เป็นต้น สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ