ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการมีสีซีดลง รู้สึกเย็น หรือไร้ความรู้สึก ซึ่งอาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า โดย Raynaud Disease เป็นโรคที่เกิดได้กับทุกเพศทุกวัยแต่ก็เป็นโรคที่พบได้น้อย ปกติแล้วจะมีอาการไม่รุนแรง แต่บางกรณีอาจทำให้เป็นแผลหรือเกิดภาวะเนื้อเยื่อตายได้ Show อาการของ Raynaud Diseaseเมื่อผิวหนังสัมผัสกับความเย็น ร่างกายจะพยายามรักษาความร้อนไว้ ทำให้หลอดเลือดขนาดเล็กในบริเวณดังกล่าวหดตัวมากขึ้น การไหลเวียนเลือดไปยังจุดที่ไกลที่สุดอย่างมือและเท้าทั้งสองข้างจึงลดลง หากเป็นโรค Raynaud Disease จะทำให้อาการดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติและหลอดเลือดมีการหดตัวมากกว่าปกติ จนทำให้ผิวหนังมีสีซีดลงและรู้สึกเย็นบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้า ซึ่งอาการดังกล่าวอาจคงอยู่ประมาณ 15 นาที เมื่อร่างกายอุ่นขึ้น เส้นเลือดที่เคยหดจะคลายตัวจนอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการมีสีแดงและรู้สึกปวด เสียวซ่า หรือเกิดการบวมได้ หลังจากนั้นสีของผิวหนังจะกลับเป็นปกติ นอกจากที่นิ้วมือและนิ้วเท้าแล้ว Raynaud Disease ยังอาจเกิดที่อวัยวะอื่นในร่างกายได้ เช่น หู จมูก ปาก หรือหัวนม เป็นต้น โดยโรคเรเนาด์มี 2 ประเภท ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละประเภทจะแตกต่างกัน ได้แก่
อย่างไรก็ตาม หากเคยมีประวัติเป็นโรคเรเนาด์แบบรุนแรงมาก่อน อาการของโรคมีความรุนแรงมากหรืออาการแย่ลง ผิวหนังเป็นผื่นหรือเป็นแผล ติดเชื้อบริเวณที่มีอาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดข้อต่อ มีอาการชาด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย อาการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพิ่งเคยเกิดอาการของโรคเป็นครั้งแรกตอนอายุมากกว่า 30 ปี หรืออาการของโรคเรเนาด์เกิดขึ้นกับเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม สาเหตุของ Raynaud Diseaseในปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ชัดเจนของอาการ Raynaud’s Disease ทราบเพียงหลอดเลือดบริเวณมือหรือเท้ามีการตอบสนองมากเกินไปเมื่อสัมผัสกับความเย็นหรือความเครียด โดยโรคเรเนาด์แต่ละประเภทก็มีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนี้
อีกทั้งการเป็นโรคหรืออาการที่มีความเกี่ยวข้องกับโรค Raynaud Disease อย่างโรคพุ่มพวงหรือโรครูมาตอยด์ การประกอบอาชีพที่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีการสั่นสะเทือน หรือการสัมผัสกับสารบางชนิด ยังอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเรเนาด์แบบทุติยภูมิได้ นอกจากนี้ ปัจจัยบางอย่างอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเรเนาด์ เช่น เป็นเพศหญิง เป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-30 ปี อาศัยอยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น มีคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดทางสายเลือดอย่างบิดา มารดา พี่น้อง หรือลูกเป็นโรคเรเนาด์ เป็นต้น การวินิจฉัย Raynaud Diseaseเบื้องต้นแพทย์อาจสอบถามข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับประวัติการรักษา อาการที่เกิดขึ้น ตรวจการไหลเวียนเลือดโดยดูจากสุขภาพของผิวหนังและเล็บบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้า และตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อหาสัญญาณของโรคหรือภาวะที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคเรเนาด์แบบทุติยภูมิ นอกจากนี้ แพทย์อาจจำแนกประเภทของ Raynaud Disease โดยใช้วิธีตรวจเส้นเลือดฝอยขอบเล็บ ซึ่งแพทย์จะนำกล้องและเครื่องมือบางชนิดมาตรวจที่บริเวณผิวหนังปลายนิ้วของผู้ป่วยเพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กในบริเวณดังกล่าว หากแพทย์สงสัยว่าโรคเรเนาด์ที่เป็นอยู่มีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ อย่างโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน แพทย์อาจตรวจเลือดเพิ่มเติมโดยตรวจดูแอนติบอดี้ที่สร้างขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันของตัวผู้ป่วย ซึ่งอาจบอกได้ถึงความผิดปกติที่ระบบภูมิคุ้มกันหรือสิ่งที่ไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และอาจใช้วิธีตรวจดูอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง หากเม็ดเลือดแดงมีอัตราการตกตะกอนเร็วกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการอักเสบหรือโรคในระบบภูมิคุ้มกัน การรักษา Raynaud Diseaseการรักษา Raynaud Disease จะมุ่งเน้นเพื่อลดพื้นที่ที่เกิดอาการและลดความรุนแรงลง ป้องกันเนื้อเยื่อเสียหาย และรักษาโรคประจำตัวใด ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรค โดยใช้วิธีการต่อไปนี้
นอกจากนี้ อาหารเสริมหรือการปรับพฤติกรรมบางอย่างอาจช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยรับมือกับ Raynaud Disease ได้ เช่น การรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยให้ทนกับความหนาวเย็นได้มากขึ้น การรับประทานแปะก๊วยอาจช่วยให้เกิดอาการของโรคเรเนาด์น้อยลง การฝังเข็มอาจช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หรือการใช้วิธีไบโอฟีดแบค (Biofeedback) เพื่อควบคุมอุณหภูมิในร่างกายของตนเอง อย่างการใช้ความคิดหรือฝึกลมหายใจ เป็นต้น แต่ก่อนจะใช้วิธีใด ๆ ควรไปปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อน เพราะยังมีหลักฐานสนับสนุนไม่มากพอและวิธีการบางอย่างอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ภาวะแทรกซ้อนของ Raynaud Diseaseแม้จะเป็นกรณีที่พบได้น้อย แต่โรคเรเนาด์แบบทุติยภูมิอาจรุนแรงจนทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้าน้อยลงจนเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวอาจเกิดความเสียหายได้ และหากเลือดที่ไหลไปเลี้ยงอวัยวะนั้น ๆ ถูกปิดกั้นทั้งหมด อาจทำให้ผิวหนังเป็นแผลหรือเกิดภาวะเนื้อตายเน่าได้ซึ่งรักษาได้ยาก อีกทั้งในกรณีที่รุนแรงมากอาจต้องตัดอวัยวะส่วนที่มีอาการทิ้ง การป้องกัน Raynaud Diseaseการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยป้องกันอาการของโรคเรเนาด์ได้ เช่น
|