สถาปนากร งศร อย ธยา พ.ศ.1893 ม อะไรเก ดข น

ในปีพุทธศักราช 1893 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงย้ายพระนครมาสร้างเมืองใหม่ ทรงเห็นว่าตำบลหนองโสนอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะมีน้ำล้อมรอบ จึงทรงกะเขตปักราชวัตรฉัตรธง ตั้งศาลเพียงตา ชีพ่อพราหมณ์ได้ฤกษ์กระทำพิธีกลบบาตสุมเพลิง (ชื่อพิธีอย่างหนึ่ง ทำเพื่อแก้เสนียด) แล้วให้พนักงานขุดดินทั่วบริเวณ เพื่อสร้างพระราชวัง เมื่อขุดมาได้ถึงบริเวณต้นหมัน พนักงานพบสังข์ทักษิณาวัตรสีขาวบริสุทธิ์ 1 ขอน พระเจ้าอู่ทองทรงโสมนัสในศุภนิมิตรนั้นยิ่งนัก จึงทรงโปรดให้สร้างปราสาทน้อยขึ้นเป็นที่ประดิษฐานสังข์ดังกล่าว ทางราชการจึงถือว่า "สังข์" ซึ่งประดิษฐานบนพานทองภายในปราสาทใต้ต้นหมัน เป็นตราประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (จากหนังสือ "กรุงศรีอยุธยา ราชธานีไทย")

“หนองโสน” : แรกเริ่มกรุงศรีอยุธยาสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีอัตลักษณ์

Museum Core

03 ต.ค. 65 2K

“เมื่อโสนสะพรั่งตา...ลำนำแห่งกรุงศรีอยุธยาก็เริ่มขับขาน...”

ณ หนองน้ำใหญ่อันมีต้นโสนขึ้นอยู่ดารดาษอวดช่อดอกบานสะพรั่งสีเหลืองอร่ามดั่งทองคำ ณ ที่แห่งนี้...เอกบุรุษนาม “พระเจ้าอู่ทอง” ทรงมั่นหมายให้เป็นราชธานีใหม่ ครั้นถึงวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล (พ.ศ.1893) ก็ทรงสถาปนาอาณาจักรขึ้นที่บริเวณ “หนองโสน” พราหมณ์ได้ฤกษ์ตั้งพิธีกลบบัตรสุมเพลิง ขุดพบสังข์ทักษิณาวัฎสีขาวบริสุทธิ์ 1 ขอนใต้ต้นหมัน จึงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นใต้ต้นหมันนั้นแล้วอัญเชิญสังข์ทักษิณาวัฎประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้าภายในปราสาท

สถาปนากร งศร อย ธยา พ.ศ.1893 ม อะไรเก ดข น

ภาพที่ 1 ตำแหน่งของหนองโสน...จุดแรกเริ่มสถาปนากรุงศรีอยุธยา

แหล่งที่มาภาพ: https://lek-prapai.org

เรื่องราวแรกเริ่มการสถาปนา “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” ที่เคยได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมปลายต่อชั้นมัธยมต้นในวิชา “ท้องถิ่นของเรา” นั้นยังอยู่ในความจำของผู้เขียนเสมอ แม้การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในวัยเยาว์ที่คนในรุ่นต่อ ๆ มามักจะมีมุมมองว่าเน้นหนักไปทางการท่องจำเสียมากกว่า ทว่าการเรียนการสอนแบบนี้เองที่เป็นพื้นฐานและแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนสนใจใคร่รู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพระนครศรีอยุธยาอันเป็นบ้านเกิดที่พักกาย ซึ่งการเรียนรู้เรื่องราวของ “กรุงเก่า” นี้... “หนองโสน” จึงมักจะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเสมอในฐานะชัยภูมิที่ดี เหมาะแก่การสร้างบ้านแปงเมือง และถือเป็นสถานที่สำคัญอันเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ฉบับพระราชพงศาวดารที่เป็นทางการ

แม้ยังไม่มีบทสรุปที่แน่ชัดว่า “พระเจ้าอู่ทอง” หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นใคร? มาจากไหน? หากแต่บริเวณที่พระองค์ทรงเลือกให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นการยืนยันความมีอยู่แต่เดิมของ “หนองโสน” ...บึงน้ำขนาดใหญ่ด้านทิศเหนือของเมืองเล็กหรือเวียงเหล็กอันเป็นพลับพลาที่ประทับเดิมก่อนการอพยพข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปสถาปนากรุงศรีอยุธยา และ “เวียงเหล็ก” ก็ยังเป็นอีกหนึ่งร่องรอยที่สนับสนุนความมีอยู่ของ “กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร” ...เมืองที่รุ่งเรืองมั่งคั่งทางด้านตะวันออกเรื่อยลงมาจรดด้านทิศใต้ของเกาะหนองโสน และด้วยเหตุนี้เองจึงต้องวกกลับมากล่าวถึงที่มาของ “พระเจ้าอู่ทอง” ว่าความมีอยู่ของเมืองเก่าอโยธยาได้ช่วยเสริมข้อสันนิษฐานที่ว่า...แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาศรีรามเทพนครที่ได้นำพาราษฎรอพยพหนีโรคห่าจนมาถึงเวียงเหล็กก่อนจะข้ามฟากไปสถาปนากรุงศรีอยุธยาบริเวณหนองโสน ซึ่งปัจจุบันข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด จนกว่าจะมีหลักฐานชิ้นใหม่ที่มีน้ำหนักมากกว่ามาหักล้าง

เดิมที “หนองโสน” มิได้เป็นเกาะ แต่ภายหลังการสถาปนากรุงศรีอยุธยา “พระเจ้าอู่ทอง” จึงโปรดให้ขุด “คูขื่อหน้า” ขึ้นทางด้านตะวันออกจาก “ทำนบรอ” ลงมายังวัดพนัญเชิง และได้ขุดขยายอีกครั้งในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาเพื่อปรับปรุงแนวป้องกันพระนคร ด้วยกระแสน้ำที่แรงจึงกัดเซาะลำคูขื่อหน้าจนกลายเป็นแม่น้ำป่าสัก กรุงศรีอยุธยาจึงมีสภาพเป็น “เกาะ” ตามรายงานของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ได้กล่าวถึงบึงน้ำใจกลางเกาะเมืองอยุธยาว่าแบ่งออกเป็น 2 แห่ง คือ “บึงชีขัน” กับ “บึงพระราม” โดยแต่เดิม 2 บึงนี้เป็นบึงเดียวกัน มีลำน้ำติดต่อกัน ในส่วนของ “บึงชีขัน” นั้นจะคิดให้สูงขึ้นไปก็อาจจะเป็นตัว “หนองโสน” ตามที่มีชื่อในพระราชพงศาวดารที่ต่อมาถูกขุดเพื่อนำดินไปถมเป็นพื้นวังและพื้นวัดทำให้ขนาดของบึงใหญ่โต

จากรายงานของพระยาโบราณราชธานินทร์ที่วิเคราะห์จุดตำแหน่งของ “หนองโสน” ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าแท้จริงแล้ว “หนองโสน” อยู่ตรงไหน? มีขอบเขตกว้างขวางเพียงไร? โดยข้อมูลเท่าที่จะพอสืบค้นได้พบว่าหลักฐานอย่างตำนานและพระราชพงศาวดารกล่าวถึงการสถาปนากรุงศรีอยุธยาว่า...พระราชวังหลวงที่สถาปนาขึ้นนั้นอยู่ในพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งใกล้กับคลองฉะไกรใหญ่ (คลองท่อ) อันเป็นเขตพระราชฐาน เมื่อวัดพระศรีสรรเพชญ์อยู่ถัดจากบึงพระรามไปทางทิศตะวันตก จึงสันนิษฐานได้ว่าขอบเขตด้านตะวันตกสุดของหนองโสนจรดริมคลองฉะไกรใหญ่ ส่วนขอบเขตของหนองโสนด้านตะวันออกนั้น...หากพิจารณาตามข้อมูลในพระราชพงศาวดารที่ระบุว่า “วัดมหาธาตุอยู่ตรงกลางเกาะพระนครหนองโสน” โดยปัจจุบันวัดมหาธาตุอยู่ทางตะวันออกสุดของบึงพระราม ดังนั้นหากให้วัดมหาธาตุอยู่กึ่งกลางขอบเขตทางตะวันออกสุดของหนองโสนก็จะขยายออกไปจรดกับคลองนายก่ายหรือคลองมะขามเรียง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเชื่อได้ว่าพื้นที่หนองโสนในอดีตน่าจะมีขอบเขตมากกว่าพื้นที่บึงพระรามในปัจจุบัน

สถาปนากร งศร อย ธยา พ.ศ.1893 ม อะไรเก ดข น

ภาพที่ 2 บริเวณบึงพระราม หรือหนองโสนในอดีต

“บึงพระราม” เรียกชื่อตามวัดพระรามที่สมเด็จพระราเมศวรโปรดให้สร้างขึ้นบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ “พระเจ้าอู่ทอง” ผู้เป็นพระราชบิดา แล้วขุดดินจากหนองโสนมาถมพื้นเพื่อสร้างวัดพระรามจริงหรือ? จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่าบริเวณที่สร้างวัดพระรามเป็นที่ดอนจากตะกอนแม่น้ำมาทับถมจนสูงจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องถมที่อีก แต่อาจเป็นไปได้ว่าหนองโสนถูกขุดขยายเป็นบึงตามหลักการจัดสมดุลธาตุในคัมภีร์พระเวทย์ เนื่องจากพระปรางค์ตามคติความเชื่อฮินดูเป็นธาตุดินต้องมีธาตุน้ำหล่อเลี้ยง

“หนองโสน” อันกว้างใหญ่...ปัจจุบันถูกถมทับไปเป็นอันมาก ถนนที่ตัดผ่านด้านตะวันตกของวัดพระรามทำให้ “บึงชีขัน” และ “บึงพระราม” แยกออกจากกัน โบราณสถานมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณ 2 บึงนี้คือคุณค่าของอดีตให้เราได้เรียนรู้ถึงที่มาของพระนครศรีอยุธยา แผนการพัฒนาเกาะเมืองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามทำให้บริเวณบึงพระรามได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นสวนสาธารณะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจและแหล่งท่องเที่ยวกระทั่งปัจจุบัน

สถาปนากร งศร อย ธยา พ.ศ.1893 ม อะไรเก ดข น

ภาพที่ 3 ดอกโสน สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของชื่อหนองโสน

เพื่อนที่มาเที่ยวอยุธยาเคยถามผู้เขียนว่า “เคยเห็นต้นโสนในหนองโสนไหม?” ผู้เขียนสั่นหน้าว่า “ไม่เคย” ทว่ากลับเห็นเสียจนชินตาตามริมคลองและริมถนนสายเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่ถัดออกไปจากนอกเกาะเมือง ต้นโสนในความจำของผู้เขียนคือต้นไม้บอบบางที่ขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด ต้นเก่าที่เหี่ยวแห้งในฤดูหนาวจะทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้ใต้ดิน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนต้นกล้าจะเติบโตขึ้นออกดอกบานสะพรั่งเหลืองอร่ามละลานตาไม่หวาดหวั่นแม้กระทั่งน้ำท่วม “ดอกโสน” คือดอกไม้หน้าฝนที่ไม่หอมแต่แสนอร่อย ใต้ต้นโสนคือขุมทรัพย์ของชาวบ้านที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เลื่องชื่อของพระนครศรีอยุธยา

เรื่องราวของ “โสน” ยังได้ถูกบอกเล่าผ่านผืนผ้าบาติกลายดอกโสน...ดอกไม้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลายเส้นพลิ้วไหวและสีสันสดใสคือฝีมือของชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันสรรค์สร้างชิ้นงานที่มีอัตลักษณ์ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหรือสิ่งอื่นใดที่ตัดเย็บจากผ้าบาติกลายดอกโสน เมื่อถูกส่งไปยังที่แห่งใด...ที่แห่งนั้น “ดอกโสน” จะบานสะพรั่งมิรู้โรยรา ในส่วนลำต้นของ “โสนหางไก่” ถูกนำมาล้างทำความสะอาดและตากแห้ง แล้วตัดเป็นท่อนใช้มีดคมกริบฝานเป็นแผ่นบาง ๆ เพื่อใช้ประดิษฐ์เป็นดอกไม้นานาชนิดอย่างเช่นดอกมะลิตูมที่ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้ลองฝึกทำแบบเก้ ๆ กัง ๆ จึงทราบว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะมาเป็นดอกไม้ประดิษฐ์จากต้นโสนหางไก่...งานฝีมือของชาวอยุธยาที่ประกาศไกลไปถึงต่างแดน

สถาปนากร งศร อย ธยา พ.ศ.1893 ม อะไรเก ดข น

ภาพที่ 4 ผีเสื้อทำจากผ้าลายบาติกดอกโสนที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

“โสน” มิใช่วัชพืชตามท้องทุ่ง หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา “หนองโสน” ไม่เคยเหือดแห้งฉันใด... “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอยุธยา” ก็ยังคงดำเนินต่อไปฉันนั้น เพียงแต่แปรเปลี่ยนวิธีการบอกเล่าจากตัวอักษรในตำรามาเป็นการถ่ายทอดผ่านงานฝีมือเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีอัตลักษณ์ และแม้แต่เนื้อเพลงบางช่วงยังชวนให้คิดเลยว่า “ดอกโสนบานเช้า”...หรือ “พระเจ้าอู่ทอง” จะทอดพระเนตรเห็นดอกโสนบานสะพรั่งในยามอรุณรุ่ง?

แหล่งอ้างอิง

กำพล จำปาพันธ์. (2561). บึงพระราม (หนองโสน):พื้นที่ประวัติศาสตร์กับสวนสาธารณะกลางเมือง

เก่าอยุธยา. สืบค้น 5 กรกฎาคม 2565,

มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เรื่องการทำดอกไม้ประดิษฐ์จากต้นโสนหางไก่. (2564). พระนคร

ศรีอยุธยา: สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.

โรม บุนนาค. (2562). พระเจ้าอู่ทองเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ โอรสพระเจ้ากรุงจีน กษัตริย์ขอมหนี

ตาย หรือลูกท้าวแสนปม. สืบค้น 5 กรกฎาคม 2565, จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9620000006982

วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.

(พิมพ์ครั้งที่1). (2544). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา.

วัดพระราม วัดโบราณศิลปะอยุธยาตอนต้นที่หาชมได้ยากยิ่ง. สืบค้น 5 กรกฎาคม 2565, จาก https://www.talontiew.com/wat-phra-ram