ในโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นหรือไม่ที่ต้องตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน การตรวจวัดสิ่งแวดล้อมในโรงงาน คืออะไร Show
เนื่องจาก พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ได้กำหนดไว้ใน หมวด 1 มาตรา 6 ให้นายจ้างมีหน้าที่จัดและดูแลสถานประกอบการและลูกจ้างให้มีสภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานของลูกจ้างมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต จิตใจ และสุขภาพอนามัย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงาน จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่
ซึ่ง หมวด 1 ความร้อน ของ กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559 ข้อ 2 ได้กำหนดให้นายจ้างควบคุมและรักษาระดับความร้อนภายในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างทำงานอยู่ ไม่ให้เกินมาตรฐาน โดยได้แบ่งตามลักษณะงาน เป็นงานเบา งานปานกลาง และงานหนัก ซึ่งระดับความร้อนก็มีค่าที่แตกต่างกันออกไป
เครดิตภาพ: procaresafety.nl อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ (Wet Bulb Globe Temperature : WBGT) เป็นดัชนีวัดระดับความร้อน (มีหน่วยวัดเป็นองศาเซลเซียส หรือองศาฟาเรนไฮท์) ซึ่งได้นำปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความร้อนที่สะสมในร่างกายมาพิจารณา ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายขณะทำงาน และความร้อนจากสิ่งแวดล้อมการทำงาน ซึ่งความร้อนจากสิ่งแวดล้อมจะถูกถ่ายเทมายังร่างกายได้ 3 วิธี คือ 1.การนำความร้อน 2.การพาความร้อน และ 3.การแผ่รังสีความร้อน “ งานเบา” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงน้อยหรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายไม่เกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เช่น งานเขียนหนังสือ งานพิมพ์ดีด เป็นต้น “ งานปานกลาง” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงปานกลาง หรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง ถึง 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เช่น งานยก ลาก ดัน หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยแรงปานกลาง เป็นต้น “ งานหนัก” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงมากหรือใช้กำลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเกิน 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เช่น งานเลื่อยไม้ งานเจาะไม้เนื้อแข็ง งานเคลื่อนย้ายของหนักขึ้นที่สูงหรือที่ลาดชัน เป็นต้น ก่อนที่เราจะกำหนดลักษณะงาน ว่างานที่ทำในแต่ละกระบวนการ เป็นงานเบา งานปานกลาง หรืองานหนัก ก็ต้องมาจากการคำนวณภาระงาน ซึ่งรายละเอียดในการคำนวณภาระงานนั้น สามารถดูได้จาก “แนวทางการตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงานและการดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554” ซึ่งได้ยกตัวอย่างการคำนวณเอาไว้ให้ได้ศึกษา และยังได้กำหนด ข้อ 3 ในกรณีที่ภายในสถานประกอบกิจการมีแหล่งความร้อนที่อาจเป็นอันตราย ให้นายจ้างติดป้ายหรือประกาศเตือนอันตรายในบริเวณดังกล่าว โดยให้ลูกจ้างสามารถมองเห็นได้ชัดเจน และในกรณีระดับความร้อนเกินมาตรฐานให้นายจ้างดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขสภาวะการทำงานทางด้านวิศวกรรมถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการควบคุมหรือลดภาระงานและต้องให้ลูกจ้างสวมใส่ PPE ตามที่กำหนดไว้ตลอดเวลาที่ทำงาน หมวด 2 แสงสว่าง ข้อ 4 นายจ้างต้องจัดให้สถานประกอบกิจการมีความเข้มของแสงสว่างไม่ต่ำกว่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งมาตรฐานแสงสว่าง สามารถดูได้จาก “ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องมาตรฐานความเข้มแสงสว่าง” ข้อ 5 นายจ้างต้องใช้หรือจัดให้มีฉาก แผ่นฟิล์มกรองแสง หรือมาตรการอื่นที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตรงหรือแสงสะท้อนจากแหล่งกำเนิดแสงหรือดวงอาทิตย์ที่มีแสงจ้าส่องเข้านัยน์ตาลูกจ้างโดยตรงในขณะทำงาน ในกรณีไม่อาจป้องกันได้ ต้องจัดให้ลูกจ้างสวมใส่ PPE ข้อ 6 ในกรณีที่ลูกจ้างต้องทำงานในสถานที่มืด ทึบ และคับแคบ เช่น ในถ้ำ อุโมงค์ ต้องจัดให้มีอุปกรณ์ส่องสว่างที่เหมาะสม อาจเป็นชนิดที่ติดอยู่ในพื้นที่ทำงานหรือติดตัวบุคคลได้ หากไม่สามารถทำได้ ต้องให้ลูกจ้างสวม PPE ตลอดเวลาที่ทำงาน ซึ่งวิธีการตรวจวัดแสงสว่างในแต่ละลักษณะงาน และพื้นที่การทำงานนั้น ก็แตกต่างกันออกไป โดยสามารถดูวิธีการตรวจวัดแสงสว่างได้จาก “แนวทางการตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงานและการดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554” ซึ่งได้กำหนดวิธีการตรวจวัดแสงสว่างไว้อย่างละเอียด ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา ค่าแสงสว่างมักจะไม่ผ่านตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจุดที่ไม่ผ่านตามมาตรฐานกำหนด ต้องดำเนินการแก้ไข เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ เพิ่มโคมไฟ หรือเปลี่ยนพื้นที่การทำงานใหม่ เป็นต้น หมวด 3 เสียง ข้อ 7 นายจ้างต้องควบคุมระดับเสียงมิให้ลูกจ้างได้รับสัมผัสเสียงในบริเวณสถานประกอบกิจการที่มีระดับเสียงสูงสุด ของเสียงกระทบหรือเสียงกระแทก เกิน 140 เดซิเบลเอ หรือได้รับสัมผัสเสียงที่มีระดับเสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ เกินกว่า 115 เดซิเบลเอ ข้อ 8 นายจ้างต้องควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดเวลาการทำงานในแต่ละวัน (Time Weighted Average TWA) มิให้เกินมาตรฐานกำหนด มาตรฐานกำหนด สามารถดูได้จาก “ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานในแต่ละวัน” ข้อ 9 ภายในสถานประกอบกิจการที่สภาวะการทำงานมีระดับเสียงเกินมาตรฐานกำหนด ในข้อ 7 และ 8 นายจ้างต้องให้ลูกจ้างหยุดทำงานจนกว่าจะได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไขให้ระดับเสียงเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด และให้นายจ้างดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขทางด้านวิศวกรรม โดยการควบคุมที่ต้นกำเนิดของเสียงหรือทางผ่านของเสียง และจัดให้มีการปิดประกาศและเอกสารหรือหลักฐานในการดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขดังกล่าวไว้ เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัยสามารถตรวจสอบได้ ในกรณีไม่สามารถดำเนินการได้ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างสวมใส่ PPE ตามที่กำหนด ตลอดเวลาที่ทำงาน ข้อ 10 ในบริเวณที่มีระดับเสียงเกินมาตรฐานในข้อ 7 หรือ 8 นายจ้างต้องจัดให้มีเครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลติดไว้ให้ลูกจ้างเห็นได้ชัดเจน ข้อ 11 ในกรณีที่สภาวะการทำงานในสถานประกอบกิจการมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง ตั้งแต่ 85 เดซิเบลเอขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ โดยสามารถดูได้จาก “ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ” นอกจากรายละเอียดการตรวจวัด ข้างต้นแล้ว “ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง รวมทั้งระยะเวลาและประเภทกิจการที่ต้องดำเนินการ” ได้กำหนดให้นายจ้างตรวจวัดและวิเคระห์สภาวะการทำงาน เกี่ยวกับระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง ภายในสถานประกอบกิจการในสภาวะที่เป็นจริงของสภาพการทำงาน ดังตารางต่อไปนี้ และกรณีที่มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร อุปกรณ์ กระบวนการผลิต วิธีการทำงาน หรือ ดำเนินการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง ให้นายจ้างดำเนินการตรวจวัดและวิเคราะห์ สภาวะการทำงานบริเวณพื้นที่หรือบุคคลที่อาจได้รับผลกระทบ ภายใน 90 วัน นับจากวันที่มีการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง จากข้อกำหนดของกฎหมายเรื่องการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับระดับความร้อนแสงสว่างหรือเสียงในสถานประกอบกิจการนั้นมีข้อกำหนดไว้มากมายหากอยากศึกษาอย่างละเอียดสามารถดูได้จากกฎหมายที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้น และในการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการทำงานนั้นปัจจุบันมีหน่วยงานภายนอกที่รับดำเนินการมากมายแต่การที่จะเลือกให้มาดำเนินการนั้นต้องตรวจสอบการขึ้นทะเบียนด้วยว่าถูกต้องหรือไม่เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดได้รับการสอบเทียบถูกต้องตามมาตรฐานกำหนดและการจัดทำรายงานในการตรวจวัดรวมถึงการเซ็นต์รับรองรายงานนั้นด้วยโดยสามารถตรวจสอบคุณสมบัติผู้ตรวจวัดได้จาก “หมวด 5 คุณสมบัติผู้ตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงาน” ของประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับ ระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง รวมทั้งระยะเวลาและประเภทกิจการที่ต้องดำเนินการ หลังจากที่ดำเนินการตรวจวัดและวิเคระห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับความร้อนแสงสว่างและเสียงนายจ้างต้องจัดทำรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับความร้อนแสงสว่างและเสียงตามที่กำหนดไว้ใน“ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง กำหนดแบบรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียงภายในสภานประกอบกิจการ” โดยรายงานดังกล่าว ต้องส่งสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พื้นที่นั้นๆ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการตรวจวัด และเก็บรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงาน ไว้ ณ สถานประกอบกิจการ เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัยสามารถตรวจสอบได้ ส่วนใหญ่การตรวจวัดสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานนั้น จป วิชาชีพ จะเป็นผู้คอบดูแลโดยอาจจะประสานงานกับทาง จป หัวหน้างานที่ทำการชึ้นทะเบียนหรือผ่านการฝึกอบรม จป หัวหน้างานมาแล้วตามกฎหมายเพื่อช่วยกันสรุปรายการที่จะนำมาตรวจวัดสภาพแวดล้อมก็ทำได้เช่นกัน ขั้นตอนการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในโรงงานมีอะไรบ้างการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานนั้นมีขั้นตอนดังนี้ 1.สำรวจสภาพแวดล้อมในการทำงานแต่ละพื้นที่ที่มีกิจกรรมการทำงานและปัจจัยเสี่ยง เช่น แสง เสียง ความร้อน สารเคมีอันตราย (Walk Though Survey)
กำหนดพื้นที่การทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงานและพารามิเตอร์แต่ละประเภท จำนวนตัวอย่าแบบงพื้นที่ (Area Simple) และตัวอย่างที่ตัวบุคคล (Personal Simple) ที่จะดำเนินการตรวจวัดและประเมินผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดตามกฎหมาย, มาตรฐานของสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น OSHA, NIOSH, ACGIH 2. การตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน (Working Environmental)ดำเนินงานตามหลักวิชาการด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม โดยการสำรวจสภาพแวดล้อมในการทำงานเบื้องต้นเพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กำหนดให้มีการตรวจวัด, วิเคราะห์และประเมินผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานตามกฎหมายหรือมาตรฐานตามข้อแนะนำของสถาบันหรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ จัดทำรายงานให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะเพื่อการควบคุมป้องกันต่อไป ความร้อน (Heat Stress) ระดับความร้อน WBGT
แสงสว่าง (Light)
เสียง (Noise)
สารเคมี (Chemical Agents)1) การตรวจวัดเพื่อประเมินปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีในสภาพแวดล้อมการทำงานในลักษณะของ
2) การตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการใช้วิธีการเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานสากล หรือเป็นที่ยอมรับโดยอ้างอิงวิธีการจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ได้แก่
3) เครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจวัดและวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ ได้รับการสอบเทียบความถูกต้อง (Calibration)การตรวจสอบและบำรุงรักษาตามบริการของหน่วยงานมาตรฐานอ้างอิง หรือตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด4) ผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สารเคมีอันตรายประเมินผลโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2560 หรือเกณฑ์มาตฐาน
การตรวจวิเคราะห์ปริมาณจุลินทรีย์ในอากาศ
– เก็บตัวอย่างอากาศด้วยวิธีการใช้เครื่องดูดอากาศให้จุลินทรีย์ในอากาศตกกระทบบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อ และนำจานอากาศเลี้ยงเชื้อไปบ่มในตู้อบให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตและทำการวิเคราะห์จำนวนต่อไป – การประเมินผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ตามข้อเสนอแนะของสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง 4. การตรวจวัดและประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality)คุณภาพอากาศภายในอาคารที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพอนามัย หรือเกิดอาการเจ็บป่วยของผู้ใช้อาคารจำเป็นจะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ พารามิเตอร์ที่ใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศในอาคาร ได้แก่
พารามิเตอร์พิเศษเฉพาะพื้นที่ ได้แก่
การประเมินผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานตามข้อเสนอแนะของสถาบัน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น ASHRAE, SINGAPORE STANDARD Code of practice for indoor air quality for air-conditioned buildings เป็นต้น 5. การประเมินสภาพการทำงานด้านการยศาสตร์ (Ergonomics)เพื่อประเมินสภาพการทำงานในลักษณะงานต่าง ๆ ทั้งงานในสำนักงาน,ในกระบวนการผลิตหรือกระบวนการทำงานที่มีท่าทางการทำงาน, การใช้ส่วนของร่างกายทำงานไม่เหมาะสมและต่อเนื่องที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้ทำงาน เช่น เกิดการเมื่อยตัว, บาดเจ็บกล้ามเนื้อ, เกิดภาระบาดเจ็บสะสมจากการทำงาน เป็นต้น รูปแบบการประเมินพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน ได้แก่
ผลการประเมินเพื่อใช้เป็นแนวทางในการควบคุม ป้องกัน และปรับปรุงแก้ไขสภาพการทำงานที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน 6. การตรวจวัดและประเมินสภาพการทำงานในสถานที่อับอากาศ (Inspection&Evaluation in Confine Spaces)เพื่อตรวจวัดและประเมินสภาพอากาศในที่อับอากาศและลักษณะการทำงานที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน โดยการตรวจประเมิน
การประเมินผลเปรียบเทียบกับมาตรฐานตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ. 2547, มาตรฐานตามข้อกำหนด ของ OSHA หรือตามข้อเสนอแนะของ NIOSH 7. การตรวจวัดและประเมินระบบระบายอากาศและห้องสะอาดเพื่อประเมินระบบระบายอากาศในพื้นที่การทำงานจัดไว้ให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพเพียงพอแต่ละลักษณะงานอย่างไร โดยการตรวจวัดและประเมิน 1) ระบบระบายอากาศ (Ventilation)
การประเมินผลเปรียบเทียบกับมาตรฐาน ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522, มาตรฐานตามข้อเสนอแนะของ ASHRAE, มาตรฐานตามข้อกำหนดของ OSHA และสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง 2) ห้องสะอาด (Clean Room)
มาตรฐานที่ใช้ประเมินคุณลักษณะของห้องสะอาด
การตรวจวัดและประเมินคุณภาพบรรยากาศทั่วไปเพื่อการเฝ้าระวัง
สารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงาน โดยออกจากปล่อง หรือช่อง หรือท่อระบายอากาศของโรงงานไม่ว่าจะผ่านระบบบำบัดหรือไม่ก็ตาม การตรวจวัดใช้วิธีการที่องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา(United States Environmental Protection Agency: US-EPA)กำหนดไว้ หรือใช้วิธีตามมาตรฐานอื่นที่เทียบเท่าที่กรมควบคุมมลพิษเห็นชอบ ปริมาณสารเจือปนที่การตรวจวัดและประเมิน ได้แก่
ตรวจสอบคุณภาพน้ำบริโภค ตามข้อกำหนดของกฎหมายหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น
การตรวจสอบประกอบด้วยคุณลักษณะและดัชนีคุณภาพน้ำที่กำหนดแตกต่างกันไป เช่น
สี (Color), รส (Taste), กลิ่น (Odour),ความขุ่น (Turbidity), ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
ปริมาณสารทั้งหมด (Total solids), คราบกระด้างทั้งหมด (Total dissolved solids),, CI–, F–, โลหะ Fe, Mn, Cu, Zn, Ca, Mg, Hg สารเป็นพิษ Hg, Pb, As, Se, Cr, CN, Cd, Ba
ตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งตามข้อกำหนดของกฎหมายหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น
การตรวจสอบประกอบด้วยคุณลักษณะและดัชนีคุณภาพน้ำที่กำหนดแตกต่างกันไปแต่ละมาตรฐาน เช่น ทางกายภาพ: ความเป็นกรด-ด่าง (pH), อุณหภูมิ (Temperature),สี (Color) ทางเคมี: ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids), ของแข็งแขวงลอยทั้งหมด(Total Suspended Solids),ปริมาณตะกอนหนัก (Settleable Solids), BOD (Biochemical Oxygen Demand), COD (Chemical Oxygen Demand), ซัลไฟด์ (Sulfide), ไซยาไนด์ (Cyanide: HCN), น้ำมันและไขมัน (Fat, Oil and Grease), TKN, โลหะหนัก: Zn, Cr, As, Cu, Hg, Cd, Ba, Se, Pb, Ni, Mn |