พ่อแม่เลิกกันลูกจะมีปัญหาไหม

การหย่ากันของคู่รักเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะถ้ามีลูกเข้ามาเกี่ยวข้อง จากการวิจัยในหลายประเทศเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ที่หย่าร้างและตกลงกันไม่ได้ พบว่า พ่อแม่บางส่วนกำลังหันใช้วิธีการใหม่ในการพยายามบรรเทาปัญหานี้

"บ้านรังนก" หรือ "การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่นก" เป็นวิธีการเลี้ยงดูที่ทำให้ลูกไม่ต้องย้ายออกจากบ้านหลังพ่อแม่หย่าขาดจากกัน แต่ยังสามารถอยู่บ้านหลังเดิมและใช้เวลาร่วมกันกับพ่อหรือแม่ได้ ผู้ปกครองตามกฎหมายจะอยู่ที่บ้านกับลูกตามช่วงเวลาที่ตกลงกัน แต่จะพักอยู่ที่อื่นในช่วงเวลานอกเหนือเวลาที่ต้องดูแลลูก แนวคิดนี้ได้มาจากการเลี้ยงลูกของพ่อแม่นก ซึ่งจะผลัดกันบินเข้าออกรังเพื่อดูแลลูกนก

"เราต้องการที่จะรักษาความมั่นคงไว้ให้ลูก ไม่ใช่ทำลายทุกอย่างไปทั้งหมดพร้อมกัน" นิคลัส บียอร์ลิง จากกรุงสตอกโฮล์มของสวีเดน เลี้ยงลูกด้วยวิธีการนี้มานาน 8 เดือน หลังจากที่เขาและภรรยาแยกกันอยู่ "ลูก ๆ ยังอยู่ที่บ้านต่อไปได้ โรงเรียนและเพื่อน ๆ ยังเหมือนเดิม" เขาอธิบายเพิ่มว่านี่เป็นการหลีกเลี่ยงการสร้างความเครียดให้กับลูกจากการที่ต้องอยู่บ้านสองหลังสลับไปมา

แม้ว่าแนวคิดนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักนักในระดับโลก แต่การเลี้ยงลูกเหมือนพ่อแม่นกดูเหมือนจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศแถบตะวันตก โดยเฉพาะในครอบครัวของชนชั้นกลาง ทนายความด้านการหย่า ได้รายงานว่ามีการเลี้ยงลูกแบบสลับกันเข้าบ้านไปพักอยู่กับลูกเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์

การศึกษาของคูป เลกัลป์ เซอร์วิเซส (Coop Legal Services) เมื่อไม่นานนี้ในสหราชอาณาจักรระบุว่า 11% ของพ่อแม่ที่แยกกันอยู่หรือหย่ากันได้ลองใช้วิธีการนี้ ส่วนในสวีเดนซึ่งมีการแบ่งกันดูแลลูกอย่างเท่าเทียมกันมานานหลายสิบปี พ่อแม่ที่หย่ากันบางส่วนได้มีการสลับกันเข้าบ้านดูแลลูกมาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1970 (ไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการที่แน่นอน เพราะไม่มีช่องให้เลือกวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้ในการสำรวจเกี่ยวกับที่พักอาศัยและสำมะโนประชากร)

บียอร์ลิง พักที่ห้องว่างในบ้านของแม่ระหว่างที่เขาไม่ต้องดูแลลูก ส่วนอดีตคู่รักของเขาเช่าห้องอยู่ในบ้านที่มีคนอื่นอยู่อาศัยอยู่ร่วมด้วยหลังหนึ่ง ดร. แอนน์ บุชโช นักบำบัดในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่นกกล่าวว่า หากพ่อแม่ที่ช่วยกันเลี้ยงลูกด้วยวิธีนี้มีฐานะร่ำรวย พวกเขาอาจเลือกที่จะซื้ออะพาร์ตเมนต์ส่วนตัวหรือลงทุนในบ้านมือสองร่วมกัน หรือนำพื้นที่ส่วนหนึ่งในบ้านหลักมาใช้เป็นพื้นที่พักอาศัยนอกเวลาที่ต้องดูแลลูก หลายคนอาจจะใช้วิธีการนี้ใน "ในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือการจัดการชั่วคราว" แต่ลูกค้าของเธอบางส่วนใช้วิธีการนี้มานานหลายปี

ขณะที่หลายครอบครัวยังไม่เปิดรับแนวคิดนี้ ผู้เชี่ยวชาญก็มีความเห็นแตกต่างกันถึงผลกระทบที่มีต่อทั้งตัวเด็กและพ่อแม่

อะไรอยู่เบื้องหลังแนวโน้มการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่นก

บุชโช กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจถึงบริบทที่อยู่เบื้องหลังแนวโน้มดังกล่าว รวมถึงอิทธิพลของผู้มีชื่อเสียงต่อคู่รักที่หย่ากันยุคสหัสวรรษ แอนน์ ดูเด็ก และ แมตธิว เฮลเลอร์ นักแสดงจากซีรีส์เรื่องแมด แมน (Mad Man) เปิดเผยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกแบบสลับกันเข้าบ้านเพื่อดูแลลูกหลังจากพวกเขาหย่ากันในปี 2016 และมีรายงานว่า กวินเน็ธ พัลโทรว์ นักแสดง มาพักอยู่ที่บ้านที่เธอเคยอยู่ร่วมกันกับคริส มาร์ติน นักดนตรี บ่อยครั้งเป็นเวลานานหลังจากที่ทั้งคู่เลิกกัน

ที่มาของภาพ, Niklas Björling

คำบรรยายภาพ,

นิคลัส บียอร์ลิง บอกว่า เขาและอดีตคนรักให้ความสำคัญกับความมั่นคงของลูก ๆ หลังจากที่แยกทางกัน

บุชโช คิดว่าการแยกทางกันของกวินเน็ธ พัลโทรว์และคนรักมีอิทธิพลสำคัญต่อแนวคิดนี้ เช่นเดียวกันกับการที่รายการโทรทัศน์ สปลิตทิง อัป ทูเก็ตเทอร์ (Splitting Up Together) ของสหรัฐฯ ก็ส่งผลต่อแนวคิดของผู้คนด้วยเช่นกัน รายการดังกล่าวไเล่าเรื่องครอบครัวหนึ่งที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีการแบบพ่อแม่นก โดยใช้โรงรถเป็นบ้านให้พ่อแม่พักอาศัยในช่วงเวลาที่ไม่ต้องดูแลลูก นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการเลี้ยงลูกด้วยวิธีการนี้ในซีรีส์เรื่องบิลเลียนส์ (Billions) ด้วย

เบน อีวานส์ นักกฎหมายครอบครัวอาวุโสของคูป เลกัล เซอร์วิเซส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ กล่าวเพิ่มเติมว่า "มีการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่คนทำได้"

สตีเฟน วิลเลียมส์ ของแอชตันส์ เลกัล บริษัทกฎหมายอีกแห่งหนึ่งในอังกฤษ ระบุว่า คู่รักบางคู่ก็เลือกใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่นก เพราะว่าเป็นวิธีการที่ช่วยให้พวกเขาประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างเช่น การตัดลดค่าธรรมเนียมศาล หรือการเลื่อนการจ่ายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านออกไป แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เป็นตัวผลักดันหลักคือการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของลูกมากขึ้น ซึ่งทำให้พ่อแม่พิจารณาที่จะจัดการดูแลลูกด้วยแนวทางนี้เพิ่มมากขึ้น

การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่นกเป็นผลดีต่อลูกมากกว่าหรือไม่?

ไม่ว่าอดีตคู่แต่งงานจะกำลังพิจารณาสลับกันเข้าบ้านเลี้ยงลูกด้วยเหตุผลใดก็ตาม การตัดสินถึงประสิทธิผลของวิธีการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และการที่เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ ทำให้ยังไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบถึงสวัสดิภาพของเด็กที่อยู่ในครอบครัวแบบนี้กับครอบครัวทั่วไป

บุชโชสัมภาษณ์ครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีการสลับกันเข้าบ้านดูแลลูกหลายครอบครัวในการวิจัยของเธอ และเธอเองก็เคยลองทำวิธีการนี้นาน 15 เดือนกับอดีตสามีและลูก 3 คนในช่วงทศวรรษ 1990 เธอเชื่ออย่างมากว่าวิธีนี้เป็นผลดีต่อลูก ๆ เพราะพวกเขายังสามารถทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม และค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครอบครัว

"ถ้าคุณถามลูก ๆ พวกเขาจะบอกคุณว่าการหย่าไม่สนุก พวกเขาไม่รู้ว่าการหย่าเป็นอย่างไรหากไม่มีการสลับกันมาเลี้ยงดูพวกเขา" เธอกล่าว

"แต่สิ่งที่พวกเขาจะบอกก็คือ พ่อแม่ของเรารับภาระของการหย่า และเราไม่ต้องแบกรับภาระนั้น"

ลินเนีย แอนเดอร์สด็อตเตอร์ อายุ 36 ปี เห็นตรงกัน เธอเคยอาศัยอยู่บ้านที่พ่อแม่สลับกันเข้ามาเลี้ยงลูกในกรุงสตอกโฮล์มมานานหลายปี หลังจากที่พ่อแม่ของเธอแยกกันอยู่ตั้งแต่เธออายุ 11 ขวบ "มันดูเหมือนกับเป็นเรื่องเศร้ามาก ตอนที่พวกเขาบอกฉันครั้งแรกว่า พวกเขากำลังจะแยกทางกัน แต่เมื่อฉันรู้ว่า ฉันไม่ต้องย้าย มันก็ช่วยให้ฉันไม่ต้องกลัวเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น" เธอกล่าว "เหมือนกับว่าฉันถูกเก็บไว้ในพื้นที่ปลอดภัยเล็ก ๆ ขณะที่พวกเขาหาวิธีการแก้ปัญหาจากการเลิกกัน"

คำบรรยายภาพ,

เอลีเนอ ลินเดอ บอกว่าตอนเป็นเด็ก เธอคิดว่าการที่พ่อแม่สลับกันเข้ามาที่บ้านเพื่อดูแลเธอทำให้เธอสับสน

แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแย้งว่า การทำเช่นนี้อาจจะไม่ช่วยให้เด็กรับรู้ถึงความเป็นจริงของการแยกทางกันของพ่อและแม่

เอลีเนอ ลินเดอ วัย 28 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่พ่อแม่สลับกันเข้ามาเลี้ยงดูลูกใกล้กับกรุงออสโลของนอร์เวย์ตอนที่เธอยังเป็นวัยรุ่นกล่าวว่า เธอรู้สึก "ประหลาดและสับสน" เธอไม่รู้ว่าเป็นบ้านของแม่หรือของพ่อกันแน่ หรือว่าพ่อแม่กำลังจะพยายามจะกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง

มาลิน แบร์กสเติร์ม นักจิตวิทยาเด็กและนักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันคาโรลินสกาในกรุงสตอกโฮล์มเห็นด้วย "ฉันคิดว่า เราควรจะระมัดระวังในการรับแนวคิดนี้" เธอบอกว่าการทำเช่นนี้เป็นการทำให้เด็กไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและจะส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กได้ เธอกล่าวว่า "การเผชิญปัญหาไปพร้อมกัน" กับพ่อแม่อย่างการย้ายออกจากบ้าน อาจทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะ "เป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ในอนาคตได้"

แบร์กสเติร์มยังสงสัยถึงสมมุติฐานที่ว่า การสลับกันเข้าบ้านมาเลี้ยงลูกจะทำให้ลูกเกิดความเครียดน้อยกว่าการที่ลูกต้องเดินทางไปมาระหว่างบ้าน 2 หลังด้วย เธอได้เข้าร่วมการศึกษาขนาดใหญ่หลายแห่งของศูนย์ศึกษาความเท่าเทียมทางสุขภาพ (Centre for Health Equity Studies) ในกรุงสตอกโฮล์ม ซึ่งพบว่า แทบไม่มีความแตกต่างเกิดขึ้นกับสุขภาพจิตของเด็กที่พ่อแม่ช่วยกันเลี้ยงลูกตามแบบเดิมกับเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านกับพ่อแม่

ผลกระทบต่อพ่อแม่คืออะไรบ้าง?

ผลกระทบของการสลับกันเข้าบ้านไปดูแลลูกที่มีต่อผู้เป็นพ่อและแม่ก็ยังมีการโต้แย้งกันเช่นกัน เบน อีวานส์ นักกฎหมายครอบครัว เชื่อว่ามันได้ผลดีกับคู่รักบางคู่ เพราะมันอาจช่วย "ให้พวกเขาซื้อเวลาได้อีกหน่อย และช่วยลดแรงกดดันต่อพวกเขา" เขาโต้แย้งว่า ทั้งสองฝ่ายอาจจะครุ่นคิดถึงขั้นต่อไปในอนาคต และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงและเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว บุชโชกล่าวว่า ช่วงเวลาของการเลี้ยงดูลูกแบบนี้ช่วยให้ "มีพื้นที่หายใจ" สำหรับอดีตคู่รักที่กำลังคิดถึงแผนการเลี้ยงดูลูกร่วมกันในระยะยาว หรืออาจจะเป็นการช่วยประนีประนอมกันได้

แต่แบร์กสเติร์มแย้งว่า การเลี้ยงลูกแบบนี้อาจส่งผลกระทบด้านลบทางจิตใจต่อพ่อแม่ที่หย่ากัน ซึ่งทำให้การก้าวข้ามการเลิกกันยากขึ้น "แรงผลักดันตามธรรมชาติหลังการหย่าในฐานะพ่อแม่คือ การไปสร้างชีวิตของตัวเอง การรับมือ การเดินหน้าต่อไป" เธอกล่าว "และฉันคิดว่าการเลี้ยงลูกแบบสลับกันเข้ามาดูแลลูกที่บ้านเป็นการขัดกับแรงผลักดันนี้"

โอเซ เลวีน นักออกแบบกราฟิกวัย 50 ปี จากกรุงสตอกโฮล์มกล่าวว่า เรื่องนั้นเกิดขึ้นกับเธอเมื่อเธอพยายามที่จะสลับกันเข้าไปดูแลลูกที่บ้านนาน 6 เดือน หลังจากที่เธอและสามีแยกทางกัน ทั้งคู่สลับไปมาระหว่างการเช่าห้อง 1 เตียงที่พวกเขาใช้ร่วมกัน สำหรับเป็นที่พักอาศัยเมื่อไม่ต้องดูแลลูก 2 คน "ฉันรู้ว่าเราทั้งคู่มีความกังวลกับการอยู่ในอะพาร์ตเมนต์นั้น... คุณไม่มีของของคุณ มันก็เลยไม่ใช่ที่ที่สะดวกสบายที่จะไป" เธอเล่า "คุณติดอยู่ในพื้นที่หรืออะไรบางอย่างที่คุณทำอะไรไม่ได้ คุณไม่สามารถเดินหน้าได้" ในที่สุด อดีตคนรักของเธอก็พักอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เดิม และพ่อของเธอก็ช่วยเธอซื้อที่พักขนาดเล็กที่อยู่ห่างออกไปในระยะที่เดินไปได้

แม้ว่าการสลับกันเข้าไปดูแลลูกที่บ้านอาจจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของลูก แต่มันก็ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ ตั้งแต่ต้องหาวิธีจัดการงานบ้านแบบใหม่ ไปจนถึงการที่ใครสักคนเริ่มมีคนรักใหม่ "ลูกค้าคนหนึ่งเข้าไปที่บ้านและเจอถุงยางอนามัยใช้แล้วอยู่ในห้องนอนตอนที่เธอมาดูแลลูก นั่นดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่" บุชโชกล่าว "พวกเขาจำเป็นต้องจัดการข้อตกลงอย่างชัดเจน"

ที่มาของภาพ, Bodil Schwinn

คำบรรยายภาพ,

บูดิล ชวิน กล่าวว่าเธอสนุกกับการสลับกันเลี้ยงดูลูกนาน 2 ปี

บูดิล ชวิน จากเมืองโซเลนทูนา ประเทศสวีเดน กล่าวว่าเธอสนุกกับการสลับกันเลี้ยงดูลูกนาน 2 ปี และกำลังวางแผนว่าจะทำอย่างนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 18 เดือน เธอเห็นด้วยว่า "คุณจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตคนรัก" เธอและอดีตคนรักช่วยกันจ่ายค่าทำความสะอาดบ้านของครอบครัวและซื้อของมาใส่ตู้เย็นโดยไม่ได้มีตกลงชัดเจน แต่เธอมีการตกลงกันเรื่องที่คนรักใหม่ของอดีตคนรักเข้ามานอนบนเตียงที่เธอและอดีตคนรักใช้ร่วมกันสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พวกเขาก็เลยเปลี่ยนห้องทำงานในบ้านเป็นห้องนอนใหม่ "หลายคนอาจคิดว่าประหลาด แต่ฉันไม่มีปัญหา ฉันมีความสุข เขามีความสุข แล้วเขาก็เจอคนใหม่"

อนาคตของการสลับกันเข้าบ้านเลี้ยงลูก

สตีเฟน วิลเลียม ทนายความด้านครอบครัว เชื่อว่า การสลับกันเข้าไปเลี้ยงลูกที่บ้านไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับทุกคน และกล่าวว่าพ่อแม่ที่เพิ่งแยกทางกันใหม่ ๆ ไม่ควรรู้สึกกดดันว่าจะต้องใช้วิธีการนี้ ในช่วงเริ่มต้น คู่รักบางคู่ขาดแคลนเงินหรือเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนในการหาที่พักทางเลือกในช่วงที่ไม่ต้องเข้าไปดูแลลูก เขากล่าวด้วยว่านี่จะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม หากคนที่เป็นพ่อหรือแม่ ไม่สามารถให้คำมั่นกับการจัดการเช่นนี้ หรือรู้สึกว่าไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม เขาเห็นว่าการสลับกันเข้ามาเลี้ยงลูกที่บ้านเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการที่ดีที่ช่วยเหลือพ่อแม่ในการดูแลลูกหลังแยกกันอยู่

แต่ผู้ที่สนับสนุนการสลับกันเข้าไปเลี้ยงดูลูกที่บ้านหวังว่ามันจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามากขึ้น บุชโช ชี้ว่าการช่วยกันดูแลลูกระหว่างพ่อแม่ที่หย่ากันดูเหมือนจะมีรากเหง้ามาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อหลายครอบครัว ดังนั้นผู้สังเกตการณ์ไม่ควรที่จะมองว่าเรื่องนี้เพิ่มเริ่มเกิดขึ้น แม้ว่าดูเหมือนว่ามันจะเป็นแนวคิดของคนเฉพาะกลุ่ม "ฉันหวังว่าในอนาคต เมื่อความตระหนักรู้เกี่ยวกับการสลับกันเข้าไปดูแลลูกที่บ้านเพิ่มขึ้น มันจะกลายเป็นเรื่องปกติ คนจะเริ่มกระบวนการแยกกันอยู่ด้วยการสลับกันเข้าไปดูแลลูกนานหลายเดือน หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น"