เอชไอวี/เอดส์: คนรุ่นใหม่ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเผยอุปสรรคในชีวิตการทำงานของ "คนเลือดบวก"
- สมิตานัน หยงสตาร์ ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทย
- และ ชัยยศ ยงค์เจริญชัย ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
3 ธันวาคม 2020
ที่มาของภาพ, Getty Images
ท่ามกลางกระแสการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของเยาวชนคนรุ่นใหม่กลุ่มต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กนักเรียน กลุ่ม LGBTQ ไปจนถึงเหยื่อการคุกคามทางเพศ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในปีนี้ ยังมีคนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของเขาและเธออยู่อย่างเงียบ ๆ
"ฟ้า" "วินนิ่ง" และ "ไวท์" เป็นนามสมมติของคนหนุ่มสาววัย 20 ต้น ๆ ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมาตั้งแต่กำเนิด โดยได้รับเชื้อมาจากพ่อหรือแม่ ทั้งสามคนปรากฏตัวในกิจกรรมที่จัดขึ้นเนื่องในวันเอดส์โลกเมื่อ วันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อร่วมผลักดันให้ยุติการตรวจเลือดในขั้นตอนการรับเข้าทำงาน
คนรุ่นใหม่ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเหล่านี้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้บีบีซีไทยฟังว่า นอกจากต้องต่อสู้เรื่องการเรียนและการทำงานเหมือนคนรุ่นเดียวกันแล้ว เขาและเธอยังต้องดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างดี มีวินัยในการรับประทานยาต้านไวรัส พบแพทย์ตามนัดและตรวจเลือดเป็นประจำด้วย
แม้ทั้งหมดนี้จะยาก แต่ก็ยังไม่ยากเท่ากับการถูกตีตรา หรือต้องอยู่ด้วยความกังวลว่าผลเลือดที่เป็นบวกจะส่งผลให้ไม่ได้รับเข้าทำงาน หรือถูกรังเกียจจากเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง
เรื่องของ "ฟ้า-วินนิ่ง-ไวท์"
"ฟ้า" เป็นสาวเชียงใหม่ วัย 23 ปีที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีมาแต่กำเนิด อยู่ในสถานะคนตกงานมากว่า 10 เดือนแล้ว หลังจากที่เธอลาออกจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งกำหนดให้พนักงานเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อทำประกันสุขภาพ
ฟ้าเล่าว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรี เธอได้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยตัวแทนจำหน่ายประกันสุขภาพ และได้รับความไว้ใจจากหัวหน้าเป็นอย่างดีแล้วมีความก้าวหน้าในการทำงานตามลำดับจนสอบใบอนุญาตเป็นตัวแทนขายประกันได้
ต่อมาบริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำประกันสุขภาพกับทางบริษัท ซึ่งเงื่อนไขการทำประกันระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถทำประกันได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฟ้าไม่เคยบอกเพื่อนร่วมงานหรือแม้แต่เพื่อนสนิทว่าเธอเป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี
- เอดส์ : ชาย “หาย” ติดเชื้อเอชไอวีเป็นรายที่ 2 ของโลกด้วยวิธีปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของแพทย์อังกฤษ
- เอดส์: 8 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี
- วันเอดส์โลก: 6 ปี ของความพยายามในการใช้ "ยาเพร็ป" กับสถานการณ์เอชไอวีในไทย
- ทำไมเกย์บางคนมีเซ็กส์แบบไม่ป้องกันโดยไม่กลัวติด HIV
ฟ้าตัดสินใจยื่นใบลาออก โดยอ้างว่าต้องการไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งที่เธอพอใจกับงาน เงินเดือนและสวัสดิการที่นี่ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับเด็กจบใหม่
"หนูไม่เคยเปิดเผยผลเลือดที่ไหน" เธอบอกกับบีบีซีไทย ก่อนจะขยายความว่าเธอไม่กล้าเสี่ยงจะบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากคนอื่นรู้ว่าเธอมีเลือดบวก
"ลึก ๆ แล้วยังกลัว ยังไม่อยากหางานประจำใหม่ สมัยเรียนเราเป็นคนทำกิจกรรม เป็นกรรมการนักเรียน มั่นใจมาก ๆ ว่าเรียนจบมาฉันต้องเลี้ยงดูตัวเองได้แน่ ๆ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเราไม่เก่งอย่างที่เราคิดไว้"
แม่ของฟ้าเป็นผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตไปแล้ว ยายเล่าว่าตอนเด็ก ๆ ฟ้าเคยตรวจเลือดครั้งหนึ่งแต่ผลเป็นลบและสุขภาพแข็งแรงดีจึงไม่เคยตรวจอีกเลย จนกระทั่งอายุ 10 ขวบมีเหตุให้ต้องตรวจเลือด จึงพบว่าเธอมีเชื้อเอชไอวี
หลังจากนั้นชีวิตของเธอเปลี่ยนไปทันที สมาชิกในครอบครัวจัดชุดอาหารแยกออกมาให้โดยเฉพาะ ญาติพี่น้องที่เคยเล่นด้วยกันก็หลีกห่าง เธอยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดมาก เมื่อเรียนจบและเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ครอบครัวก็พร่ำบอกเธอว่าอย่ามีครอบครัว
"เขาจะพูดตลอดว่าอย่าแต่งงาน อย่ามีลูกนะ จนเรารู้สึกว่าเราไม่ปกติ"
ที่มาของภาพ, Rachaphon Riansiri/BBC Thai
คำบรรยายภาพ,
เครือข่ายเยาวชนที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีจากพ่อหรือแม่มาตั้งแต่กำเนิด
"วินนิ่ง" หนุ่มกรุงเทพฯ วัย 23 ปี ถูกส่งไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ตอนอายุ 8 ขวบ หลังจากพ่อแม่ของเขาที่ป่วยเป็นโรคเอดส์เสียชีวิตลง เขาไม่เคยบอกใคร ๆ แม้แต่เพื่อนสนิทว่ามีเชื้อเอชไอวี ทุกครั้งที่กินยาต้านไวรัส ไปหาหมอหรือตรวจเลือดเขาทำอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาตลอดชีวิต
"รู้สึกว่าเราต้องปิดบังเรื่องนี้กับเพื่อนและคนใกล้ตัว ไม่สามารถให้รู้ได้" วินนิ่งระบาย แต่ก็มีบางครั้งที่เขาไม่คิดว่าการบอกหรือไม่บอกใครจะเป็นเรื่องสำคัญ "เพราะมัน (เอชไอวี) ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา"
พอเข้าสู่วัยทำงาน แม้จะโชคดีที่ได้เข้าทำงานในตำแหน่งช่างยนต์โดยที่ไม่ถูกนายจ้างขอให้แสดงผลการตรวจเลือด แต่การเป็นผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีก็ส่งผลต่อการทำงานอยู่ไม่น้อย จนทำให้เขาตัดสินใจลาออก
"ไม่มีปัญหาในการทำงาน แต่คนอื่นเขาทำงานแทบจะไม่หยุดกันเลย ส่วนเราต้องลาหยุดไป รพ. ทุก 3 เดือน ไปเจาะเลือดทุก 6 เดือน รวมกับลาป่วย บริษัทก็มองว่าเราหยุดบ่อย" วินนิ่งเล่าถึงปัญหาในการทำงาน
"ไวท์" สาวกรุงเทพ ฯ วัย 20 ปี กำลังจะจบการศึกษาระดับ ปวช. ในอีกไม่ถึง 1 ปี แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ ส่วนหนึ่งเพราะความเป็นผู้มีเชื้อเอชไอวี
เธอเล่าว่า การใช้ชีวิตของเธอไม่ได้ต่างกับวัยรุ่นคนอื่น ที่ต้องกดดันกับการวางแผนอนาคต แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการที่เธอกังวลว่าการเป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อจะมีผลกระทบกับชีวิตการทำงานหรือไม่อย่างไร
"ก่อนหน้านี้หนูทำพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหาร เขาก็ไม่ได้ตรวจเลือดหรือถามอะไรก่อน แต่ไม่รู้ว่าต่อไปถ้าทำงานประจำจะต้องเจอแบบที่คนอื่นเจอไหม"
ไวท์บอกว่าผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีหลายคนเคยถูกกีดกันไม่ให้ทำงานในกิจการที่เกี่ยวกับอาหาร แม้ทางการแพทย์จะยืนยันว่าการติดเชื้อจากพนักงานที่มีเอชไอวีมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
เลือกปฏิบัติ--พบทั้งในภาครัฐและเอกชน
สุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์กล่าวในการเสวนาเรื่องการยุติการเลือกปฏิบัติบังคับตรวจเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน" ที่จัด โดยเครือข่ายเยาวชนที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทยและมูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ว่าแม้จะมีการเรียกร้องในเรื่องนี้มานาน แต่ปัจจุบันก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ทั้งในองค์กรภาครัฐและเอกชน
สุภัทราให้ข้อมูลว่าในอดีตเคยมีระเบียบว่าด้วยคุณสมบัติของคนที่จะเข้ามารับราชการว่าบุคคลนั้นต้องไม่เป็นโรคเอดส์ แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ได้ยกเลิกระเบียบนี้ไปเมื่อปี 2550 หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติห้ามไม่ให้ใช้ผลเลือดในการกีดกันโอกาสในการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งหรือการศึกษา
อย่างไรก็ตามสุภัทรากล่าวว่า ยังมีระเบียบของข้าราชการตำรวจและทหารที่ออกมาในปี 2547 ที่ระบุว่าบุคคลที่เป็นโรคเอดส์ไม่สามารถเข้ารับราชการทหารและตำรวจได้ และเมื่อไม่นานมานี้ในประกาศรับสมัครนายสิบตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังระบุเพิ่มเติมว่าบุคคลนั้นต้องไม่เป็นทั้งโรคเอดส์และเอชไอวี
ที่มาของภาพ, Getty Images
"ทางมูลนิธิฯ ได้นำเรื่องนี้ไปร้องเรียนกรรมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งมีมติออกมาแล้วว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ นี่เป็นตัวอย่างว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เจอเฉพาะในภาคเอกชน ในภาครัฐบาลเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องเป็นแบบอย่าง"
เธอกล่าวว่าปัญหาเรื่องการปฏิเสธผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีเข้าทำงานเจอเยอะที่สุดก็คือธุรกิจที่ดำเนินกิจการด้านอาหาร
ณ ปัจจุบันมีคนไทยที่ติดเชื้อเอชไอวีและยังมีชีวิตอยู่ 470,000 คน และมีอยู่ประมาณ 86% ที่ได้รับยาต้านไวรัส และสุขภาพแข็งแรงดี รัฐบาลได้ลงทุนไปกับการซื้อยาต้านไวรัสให้กับผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท
"การลงทุนตรงนี้จะสูญเปล่าเลยถ้าผู้ติดเชื้อไม่สามารถกลับไปดำเนินชีวิตเหมือนคนไม่ติดเชื้อได้" สุภัทรากล่าว
"เรายังมีชุดความเชื่อเก่าเรื่องเอดส์ เช่นเอดส์เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย ป่วยง่าย ตายไว แต่ชุดความรู้ใหม่บอกเราว่าเอดส์รักษาได้ เราอยู่ร่วมกับมันได้ เป็นโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ ไม่ป่วย ไม่ตาย และอายุไขเท่าคนทั่วไป ยาต้านไวรัสมีความสามารถที่จะกดเชื้อให้อยู่ในระดับที่ตรวจหาไม่เจอและผู้ที่มีเชื้อไม่สามารถกระจายเชื้อไปให้คนอื่นได้แล้ว"
ด้าน นพ.ธนัตถ์ ชินบัญชร จากสถาบันการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวีกล่าวว่าสังคมไม่ควรเหมารวมว่าผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีทุกคนจะแพร่เชื้อได้ เพราะคนที่รับประทานยาต้านไวรัสในระดับที่ดีจนไม่สามารถหาเชื้อเจอได้แล้ว โอกาสแพร่เชื้อมีต่ำมาก
เขาพูดถึงการกีดกันผู้ติดเชื้อไม่ให้ทำงานในกิจการที่เกี่ยวกับอาหารว่า ถ้ามีเลือดปนในอาหารจริง ๆ อาหารนั้นก็ควรจะต้องทิ้งไป ไม่ว่าเลือดที่ปนเปื้อนนั้นจะเป็นเลือดของผู้มีเชื้อเอชไอวีหรือไม่
"เพราะฉะนั้นก็ไม่มีข้ออ้างใดเลยว่าทำไมผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีถึงทำงานในธุรกิจอาหารไม่ได้" นพ.ธนัตถ์อธิบาย
อยู่ที่ความเข้าใจของนายจ้าง
จุฬารัตน์ อินตะเทพ ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์สวัสดิการรางงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานกล่าวในงานเสวนาเดียวกันว่าทางกระทรวงแรงงานดูแลและให้ความช่วยและดูแลลูกจ้างที่ติดเชื้อมาตั้งแต่ปี 2548 โดยออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการป้องกันและจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งมีเรื่องของการคุ้มครองสิทธิ์และการอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างไรก็ตามเธอให้ความคิดเห็นส่วนตัวว่าการจะออกกฎหมายมาควบคุมและกำกับดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะยังเป็นเรื่องยาก แต่หากลูกจ้างพบปัญหาก็สามารถร้องเรียนได้
"ถ้าหากว่าทางลูกจ้างหรือผู้สมัครงานถูกกีดกัน หรือถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการรับสมัครงาน และถ้าหากลูกจ้างถูกนายจ้างขอให้พ้นสภาพพนักงานด้วยเหตุจากเอชไอวีก็สามารถเรียกร้องสิทธิ์ผ่านกระทรวงแรงงานได้"
เธออธิบายเพิ่มเติมว่ากระทรวงแรงงานมองเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี พ.ศ.2555 ได้ทำการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งระบุชัดว่าการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานจะต้องไม่มีการตรวจหาเชื้อเอชไอวี และต้องไม่เอามาเป็นเงื่อนไขในการเลิกจ้าง
ที่มาของภาพ, Rachaphon Riansiri/BBC Thai
คำบรรยายภาพ,
เวทีเสวนาเนื่องในวันเอดส์โลกเมื่อ 1 ธ.ค. 2563 ตัวแทนเยาวชนเรียกร้องให้มีกฎหมายบังคับห้ามตรวจเลือดหาเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน
"สิ่งสำคัญคือความรู้และความเข้าใจของตัวนายจ้างและลูกจ้าง จากที่ทางกระทรวงแรงงานออกแนวปฏิบัติไปให้แล้วแต่ก็ยังพบว่าปัญหาเหล่านี้ยังมีอยู่โดยเฉพาะในสถานประกอบการขนาดเล็กที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ" จุฬารัตน์กล่าว
"สิ่งที่สำคัญกว่าการบังคับใช้เรื่องกฎหมายก็คือการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ลูกจ้างและนายจ้าง โดยทุกคนต้องสร้างการมีส่วนร่วมด้วยกัน การป้องกันคือส่งเสริมความรับรู้และความเข้าใจร่วมกันซึ่งกันและกัน โดยอาจจะเชิญองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความรู้กับนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการ"
แค่ "นโยบาย" ไม่เพียงพอ
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการเพื่อดูแลแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพอย่างทั่วถึง เสมอภาคเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่าประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว ได้กำหนดสาระสำคัญไว้ 3 ประการคือ
1. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการคุ้มครองและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบกิจการอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่การรับสมัครงาน สนับสนุนให้มีความก้าวหน้าในการทำงาน รวมถึงการรักษาความลับส่วนบุคคล
2. ให้นายจ้างดำเนินการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่ การสร้างความรู้ที่ถูกต้อง การส่งเสริมการตรวจเลือด และจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้ลูกจ้างเข้าถึงได้ง่ายและเพียงพอ
3. กำหนดให้นายจ้างช่วยเหลือดูแลผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยให้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานกองทุนประกันสังคม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์มองว่าประกาศกระทรวงฉบับนี้เป็นเพียง "มาตรการเชิงนโยบาย" ที่ให้ผู้ประกอบการต้องไม่ตรวจหาเอดส์ ซึ่งเธอคิดว่าไม่เพียงพอ
"คนติดเอดส์ในประเทศไทยรายแรกพบตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 แต่มาถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปี แต่เรายังไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมายให้คนกลุ่มนี้เลย" สุภัทรากล่าวและยืนยันว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ระบุถึงการห้ามกีดกันการเข้าทำงานด้วยเหตุทางสุขภาพ เพื่อปกป้องสิทธิและป้องกันการตีตราผู้ติดเชื้อ