การตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
หลังจากที่ปราบกบฏพระยาสรรค์ได้สำเร็จ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคตแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๖ พรรษา (นับเป็นวันเริ่มต้นแห่งราชวงศ์จักรี ทางราชการจึงกำหนดให้ วันที่ ๖ เมษายน ของทุกปีเป็นวันจักรี เพื่อระลึกถึงวาระสำคัญนี้) มีพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระองค์มีดำรัสว่าพระราชวังเดิม (กรุงธนบุรี) มีวัดขนาบทั้งสองข้าง (คือวัดแจ้งและวัดท้ายตลาด) ไม่อาจขยายให้กว้างขวางออกไปได้อีก ไม่เหมาะที่จะเป็นราชธานีที่ถาวรสืบไป แล้วโปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่ที่บ้านพระยาราชาเศรษฐี และบ้านชาวจีนตำบลบางกอก อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา และให้พระยาราชาเศรษฐีกับชาวจีนเหล่านั้น ย้ายไปตั้งบ้านเรือที่บริเวณสวนตั้งแต่คลองใต้วัดสามปลื้มลงไปจนถึงคลองเหนือวัดสามเพ็ง (สำเพ็ง)
เหตุผลในการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีไปฝั่งตะวันออก
๑.
พระราชวังสมัยกรุงธนบุรีคับแคบ ไม่สามารถขยายให้กว้างได้ เพราะมีวัดขนาบอยู่ทั้ง ๒ ด้าน คือ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดโมฬีโลกยราม (วัดท้ายตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง
๒. การย้ายมาตั้งทางฝั่งตะวันออกฝั่งเดียว ดีกว่าเพราะเป็นชัยภูมิที่ดีต่อการป้องกันข้าศึก เนื่องจากธนบุรีเป็นเมืองอกแตก คือ มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ข้าศึกลำเลียงทหารเข้าตีเมืองได้ง่าย และถ้ามีศึกสงครามจะทำให้ทั้งสองฝั่งติดต่อกันได้ยาก
๓. ภูมิประเทศทางฝั่งตะวันออก (ฝั่งกรุงเทพ) สามารถขยายตัวเมืองให้กว้าง
เนื่องจากเป็นท้องทุ่งโล่ง นอกจากหมู่บ้านชาวจีนแล้วก็มีประชาชนอยู่เบาบาง ในระยะยาวจะสามารถขยายเมืองออกไปได้เรื่อย ๆ
ลักษณะของราชธานี
กรุงเทพมหานครสร้างขึ้นโดยเลียนแบบกรุงศรีอยุธยา แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วน
๑. พระบรมมหาราชวัง ซึ่งประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า วัดในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ทุ่งพระเมรุ และสถานที่สำคัญอื่น ๆ มีอาณาบริเวณตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำ เจ้าพระยาจนถึงคูเมืองเดิมสมัยธนบุรี (ที่เรียกกันว่า คลองหลอดในปัจจุบัน)
๒. ที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง เริ่มตั้งแต่คูเมืองเดิมไปทางตะวันออกจนจดคูเมืองใหม่ (คลองรอบกรุง) ประกอบด้วยคลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่างตามแนวคลองรอบกรุงมีการสร้างกำแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการโดยรอบมีการขุดคลองหลอด ๑ คลองหลอด ๒
เชื่อมระหว่างคูเมืองเก่ากับคูเมืองใหม่ นอกจากนี้ยังโปรดให้สร้างถนน สะพาน และสถานที่อื่น ๆ ที่จำเป็นอีกด้วย ราษฎรที่อาศัยในส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย
๓. ที่อยู่อาศัยนอกกำแพงเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนจะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองรอบกรุงกระจายกันออกไปและมักประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในครัวเรือนประเภทช่างต่าง ๆ เช่น บ้านบาตร บ้านพานถม บ้านหม้อ บ้านดอกไม้ไฟ
การสร้างพระบรมมหาราชวัง
พระราชวังที่สร้างใหม่นั้น ได้กระทำกันเป็นการใหญ่โตมโหฬารมาก
มีการระดมเกณฑ์ไพร่หลวงให้ทำอิฐขึ้นใหม่บ้างและรื้อเอาอิฐกำแพงกรุงเก่าที่อยุธยาลงมาบ้าง เพื่อสร้างกำแพงพระนคร และพระราชวังใหม่ เกณฑ์เขมร ๑๐,๐๐๐ คน เข้ามาขุดคูพระนคร เกณฑ์ชาวเวียงจันทน์ ๕,๐๐๐ คน กับข้าราชการหัวเมืองเข้ามาช่วยกันระดมขุดรากก่อกำแพงพระนคร และสร้างป้อมต่าง ๆ โดยรอบพระนคร
การสร้างพระนครนี้ใช้เวลา ๓ ปี จึงสำเร็จหลังจากนั้นได้จัดพระราชพิธีสมโภชเฉลิมฉลองเป็นการเอิกเกริกมโหฬารรวม ๓ วัน และพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" เรียกย่อ ๆ ว่า "กรุงรัตนโกสินทร์" ต่อมาภายหลังรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงเปลี่ยน "บวรรัตน์โกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์"
สำหรับการสร้างพระบรมมหาราชวังนั้น นอกจากจะให้สร้างปราสาทราชมนเทียรแล้ว ยังโปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ที่มา : กฤษณา วิเชียรเพชร : "ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์" หน้า ๘ - ๑๐
สถาปนาพระนครใหม่
พร้อมสร้าง "หัวใจให้พระนคร"
คูคลองรอบกรุงมีความสำคัญต่อวิถีชีวิต สร้างระหว่างตั้งเมืองหลวงใหม่
เปรียบเหมือน "หัวใจพระนคร"
พระนคร แปลว่า เมืองหลวง
อ้างอิงจาก พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ อ. สอ เสถบุตร
ต้นกำเนิดคลองรอบกรุง
ณ
ช่วงเวลาการสถาปนาเมืองหลวงใหม่ในราชวงศ์จักรี
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ภายหลังที่ได้ทรงเลิกทัพกลับจากกรุงกัมพูชา เพราะในกรุงธนบุรีเกิดการจลาจล เมื่อถึงกรุงธนบุรีบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายก็พากันอ่อนน้อมยอมสวามิภักดิ์ เรียกร้องให้แก้ไขวิกฤติการณ์ พร้อมกันนั้นก็พากันอัญเชิญให้พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยสืบต่อไป เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี (นับเป็นวันเริ่มต้นแห่งราชวงศ์จักรี ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 6 เมษายน ของทุกปี เป็นวันจักรี เพื่อระลึกถึงวันแห่งการสถาปนาราชวงศ์จักรี)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงได้รับอัญเชิญขึ้นครองราชย์ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 ขณะที่ยังไม่ได้สร้างพระราชวังใหม่จึงทรงประทับในพระราชวังเดิมไปก่อน ต่อมาเมื่อก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง และราชธานีแห่งใหม่ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จในปีพ.ศ.2328 แล้วโปรดฯ ให้มีการสมโภชน์พระนครและกระทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์อีกครั้ง และพระราชทานนามพระนครใหม่นี้ว่า
“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมาน อวตาลสถิต สักกทิตติย วิษณุกรรมประสิทธิ์” ปัจจุบันนิยมเรียกว่า “กรุงรัตนโกสินทร์” นั่นเอง
ภายหลังเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่าก่อนพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ เห็นว่าควรจะย้ายราชธานีไปอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสียก่อน โดยบริเวณที่ทรงเลือกสร้างพระราชวังนั้น เคยเป็นสถานีการค้าขายกับชาวต่างชาติในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีนามเดิมว่า “บางกอก” ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีน และทรงชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควร จากนั้นทรงให้ชาวจีนย้ายเข้าไปอยู่ ณ ที่ ตำบลสำเพ็งอีกทั้งยังโปรดเกล้าฯให้สร้างรั้วไม้แทนกำแพงขึ้น และสร้างพลับพลาไม้ขึ้นชั่วคราวหลังจากนั้นในเดือนมิถุนายน
พ.ศ.2325ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา ได้ทรงประกอบพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า“พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีฯ”แต่ในสมัยปัจจุบันนั้นมักนิยมเรียก พระนามว่า“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”และได้ทรงสถาปนาตำแหน่งวังหน้า(กรมพระราชวังบวรสถานมงคล)และตำแหน่งวังหลัง (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข)
ครั้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงเปลี่ยนสร้อยที่ว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” นอกนั้นคงเดิมและในบริเวณพระบรมมหาราชวัง ได้สร้างวัดพระแก้ว เป็นวัดที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนา แต่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ และครั้นเมื่อการสร้างพระนครเสร็จสมบูรณ์ ได้มีการอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วัดนี้ และ ได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” เพื่อให้สอดคล้องกับนามของพระนครใหม่
สาเหตุการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาตั้งที่กรุงรัตนโกสินทร์กรุงธนบุรีเป็นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไว้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ โดยเอาแม่น้ำผ่ากลาง (เรียกว่าเมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลกมีประโยชน์ตรงที่อาจเอกเรือรบไว้ในเมืองเมื่อเวลาถูกข้าศึกมาตั้งประชิดแต่การรักษาเมืองคนข้างในจะถ่ายเทกำลังเข้ารบพุ่งรักษาหน้าที่ได้ไม่ทันท่วงทีเพราะต้องข้ามแม่น้ำ แต่แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งกว้างและลึกจะทำสะพานข้ามก็ไม่ได้ ทำให้ยากแก่การรักษาพระนครเวลาข้าศึกบุก ทำให้น้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่ายบริเวณพระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคับแคบ มีวัดขนาบทั้งสองข้าง คือ วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) กับวัดท้ายตลาด (วัดโมฬโลกยาราม) ทำให้ยากแก่การขยายพระราชวังให้กว้างออกไป
เหตุผลการเลือกทำเลที่ตั้งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
-
ได้แม่น้ำใหญ่เป็นคูคลอง
ทางฝั่งกรุงเทพฯเป็นที่ชัยภูมิเหมาะสม เพราะเป็นหัวแหลมถ้าสร้างเมืองแต่เพียง ฟากเดียว จะได้แม่น้ำใหญ่เป็นคูเมืองทั้งด้านตะวันตกและด้านใต้ เพียงแต่ขุดคลองเป็นคูเมืองแต่ด้านเหนือและด้านตะวันออกเท่านั้น ถึงแม้ว่าข้าศึกจะเข้ามาโจมตีก็พอต่อสู้ได้
-
ป้องกันข้าศึก
เนื่องด้วยทางฝั่งตะวันออกนี้ พื้นที่นอกคูเมืองเดิมเป็นพื้นที่ลุ่มที่เกิดจากการตื้นเขินของทะเล ข้าศึกจะยกทัพมาทางนี้คงทำได้ยาก ฉะนั้นการป้องกันพระนครจะได้มุ่งป้องกันเพียง ฝั่งตะวันตกแต่เพียงด้านเดียว
-
สะดวกต่อการขยายเมือง
ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ใหม่ สันนิษฐานว่าชุมชนใหญ่ในขณะนั้นคงจะมีแต่ชาวจีนที่เกาะกลุ่มกัน อยู่จึงสามารถขยายออกไปได้อย่างกว้างขวาง และขยายเมืองได้เรื่อยๆ
ก่อกำเนิดหัวใจพระนคร
ได้อัญเชิญเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อเดือนมิถุนายน ในขณะมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา ทรงย้ายราชธานีมาอยู่บางกอก บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันออก ขนานนามว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้ขุดคลองบางลำพู หรือคลองโอ่งอ่าง เป็นคูคลองพระนคร สร้างกำแพงเมือง และป้อมตามแนวคลองคูเมืองใหม่ และตั้งเสาหลักเมือง สร้างหอกลองขึ้นที่หน้าวัดโพธิ์
(เพิ่มเติม) เมื่อแรกขุดคูเมืองใหม่นี้ยังไม่มีเวลาสร้างกำแพงเมืองให้มั่นคงถาวร จึงใช้เพียงเสาไม้ระเนียด ต่อมาเมื่อมีเวลาว่างศึกแล้ว จึงโปรดฯให้รื้อกำแพงเมืองเก่าของกรุงธนบุรีตามแนวคูเมืองเดิมออก นำอิฐรวมกับอิฐซากกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา มาสร้างกำแพงเมืองใหม่ตามแนวคลองรอบกรุง พร้อมป้อมปราการเรียงรายไปตามกำแพง ๑๔ ป้อม ดังนี้
>>> กดแถบหัวข้อเพื่อดูรูปภาพ
ภูมิประเทศของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นแหลมคุ้งแม่น้ำ เมื่อขุดคลองรอบกรุงขึ้น จึงทำให้กรุงรัตนโกสินทร์กลายเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ ส่วนคลองคูเมืองเดิมที่ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์บริเวณพระบรมมหาราชวังและวังหน้าเป็นเกาะเช่นกัน ปัจจุบันเรียกส่วนนี้ว่า“หัวแหวนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์”
เยี่ยมชมหัวข้อที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่
"เที่ยวใหม่กับหัวใจเดิม"
" ปรับปรุงทัศนียภาพคลองคูเมืองเดิมเพื่อคุณภาพชีวิต สู่การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ "คลิกรูปภาพเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว- All
- Gallery Item