เพราะกระดูกสันหลัง คือ 1 ในอวัยวะชิ้นที่สำคัญที่สุดช่วยสนับสนุนให้ร่างกายตั้งตรง ก้ม และบิดตัวได้ ภายในกระดูกมีไขกระดูก ซึ่งทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือด (Blood cell) นอกจากนี้ กระดูกยังเป็นที่เก็บแร่ธาตุ Calcium ในร่างกาย และช่วยป้องกันเส้นประสาทและหลอดเลือดที่ทอดอยู่ตามแนวของกระดูกทำไมกระดูกจึงเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย?
รู้ไหมร่างกายของคนเรามีกระดูกกี่ชิ้น?
คำตอบ คือ 206 ชิ้น สำหรับ ผู้ใหญ่ และเด็กมีกระดูก 350 ชิ้น สาเหตุเพราะเมื่อเด็กกำลังอยู่ในช่วงวัยของการเจริญเติบโต จึงมีความจำเป็นต้องใช้กระดูกหลายชิ้นในการเชื่อมต่อร่างกาย และเมื่อเด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ กระดูกสองหรือสามชิ้นก็จะค่อยๆ รวมตัวกันเป็นชิ้นเดียว
รู้จักกระดูก ให้ถูกทาง
ในกระดูก 206 ชิ้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามตำแหน่งที่อยู่ของกระดูก คือ
1. กระดูกแกน axial skeleton
เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณกลางลำตัว มีทั้งหมด 80 ชิ้น ทำหน้าที่ค้ำจุนพยุงร่างกาย ประกอบด้วย
– กระดูกกะโหลกศีรษะ 29 ชิ้น ไม่รวมฟัน
– กระดูกสันหลัง 26 ชิ้น
– กระดูกซี่โครง 24 ชิ้น
– กระดูกหน้าอก 1 ชิ้น
2. กระดูกรยางค์ appendicular skeleton
เป็นกระดูกที่ยื่นจากกระดูกแกนออกไป มีทั้งหมด 126 ชิ้น ทำหน้าที่ค้ำจุนพยุงร่างกาย และป้องกันอวัยวะภายใน ได้แก่
– กระดูกแขนข้างละ 30 ชิ้น รวม 60 ชิ้น
– กระดูกขาข้างละ 30 ชิ้น รวม 60 ชิ้น
– กระดูกสะบักข้างละ 1 ชิ้น รวม 2 ชิ้น
– กระดูกเชิงกรานข้างละ 1 ชิ้น รวม 2 ชิ้น
– กระดูกไหปลาร้าข้างละ 1 ชิ้น รวม 2
ชิ้น
ความเชื่อ & ความจริง
เรามักเชื่อว่า กระดูกจะเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว “แคลเซียม” ในกระดูก จะมีการสร้างและสลายตัวตลอดเวลา ที่สำคัญหลังอายุ 30 ปีไปแล้ว แคลเซียมในร่างกายจะสลายตัวมากกว่าสร้างใหม่
ดังนั้นข้อควรระวัง คือ ถ้ากระดูกไม่แข็งแรง จะเกิดปัญหาโรคกระดูกเปราะบางหรือกระดูกพรุน ซึ่งนั่นจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูกต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ ข้อเสื่อม มีอาการปวดหลัง ร่างกายจะเคลื่อนไหวได้ลำบาก
อาหารบำรุงกระดูก
อาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก เป็นอาหารจำพวกที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่
– นมสด
– ไข่แดง
– ผักใบเขียว
– ผลไม้
– อาหารที่มีวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา
– ผักสด
นอกจากนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำ ก็มีส่วนช่วยพัฒนากระดูกให้แข็งแรงด้วย ส่วนข้อควรระวัง คือ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินไป เพราะอาจทำให้ข้อต่อชำรุด หรือเสื่อมสภาพเร็ว
โรคที่เกี่ยวกับกระดูก
มีที่มาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิเช่น
– พันธุกรรม
– เชื้อโรค
– สิ่งแวดล้อม
– วัยหรืออายุที่เพิ่มขึ้น
โครงสร้างกระดูกสันหลัง
กระดูกสันหลังประกอบด้วยกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของลำตัว มีหน้าที่ในการรับน้ำหนัก และเชื่อมโยงเส้นประสาทจากสมองถึงเชิงกราน
ภายในกระดูกสันหลัง จะมีส่วนที่เรียกว่า “ไขสันหลัง” ซึ่งมีหน้าที่นำคำสั่งจากสมองไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
“กระดูกสันหลัง” ซึ่งอยู่ด้านนอก จึงมีหน้าที่คอยป้องกัน “ไขกระดูกสันหลัง” ซึ่งอยู่ภายใน “โพรงกระดูกสันหลัง” อีกชั้นหนึ่ง ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ จะมี “หมอนรองกระดูก” คั่นกลางอยู่
ลักษณะของ “หมอนรองกระดูก” นี้ ประกอบด้วย 2 ส่วน กล่าวคือ
1.หมอนรองกระดูกชั้นใน มีลักษณะคล้ายเจลลี่ หรือ นิวเคลียสพอลโพซัส (Nucleus
pulposus)
2.หมอนรองกระดูกชั้นนอก มีลักษณะเหมือนถุงห่อหุ้ม เรียกว่า อนุลัสไฟโบรซัส (Annulus fibrosus)
ความสำคัญของ “หมอนรองกระดูก” ก็คือ มีหน้าที่รับน้ำหนัก ใช้ในการขยับหลัง เพื่อก้มหรือแอ่น ในระหว่าง “กระดูกสันหลัง” แต่ละข้อจะมี “เส้นประสาท” อยู่ภายใน
รู้เรื่องกระดูกใช้ชีวิตถูกวิธี
กระดูกสันหลัง มี 4 ส่วน
– ส่วนคอ มี 7 ชิ้น / C1-C7
– ช่วงอก มี 12 ชิ้น / T1-T12
– ช่วงเอว มี 5 ชิ้น / L1-L5
– ช่วงเชิงกราน มี 1 ชิ้น
เมื่ออายุมากขึ้น มีสาเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการ
“ปวดหลัง” ได้ เช่น มีการฉีกขาด ของ “หมอนรองกระดูกชั้นนอก” หรือ “หมอนรองกระดูกชั้นใน” มีน้ำน้อยลง ทำให้มีคุณสมบัติในการรับน้ำหนักได้น้อยลง
“ข้อต่อด้านหลังเสื่อม” ทำให้หลวม มีการขยับมีกระดูกสันหลังมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดได้ “หมอนรองกระดูก” ที่เสื่อมและเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขาได้ และ “หินปูน” ที่ “กระดูกสันหลัง” สามารถงอกและยืดไปกดทับเส้นประสาทได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดอีกอย่างหนึ่ง อาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดกระดูกสันหลัง