การลงทุนคืออะไร? Show “การลงทุน” หมาย ถึง การออมประเภทหนึ่งเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้เราต้องตระหนักว่าในการลงทุนมีความเสี่ยง เพราะนอกจากการได้กำไรจากการลงทุน เราก็อาจขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น ในการตัดสินใจนำเงินออมมาลงทุน เราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน การลงทุนโดยไม่มีความรู้ หรือไม่เข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและทางเลือกในการลงทุนที่ดีพอ ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ดังเช่นประโยคที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” “การลงทุน” แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีตัวตนเห็นประโยชน์จากการใช้ได้อย่างชัดเจน (Tangible investment) กับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เห็นประโยชน์จากการใช้ได้โดยชัดเจน (Intangible investment) เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายจะขอยกตัวอย่างดังนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return from investing) : การลงทุนมีความสัมพันธ์กับผลตอบแทน (returns) และความเสี่ยง (risks) การที่เราตัดสินใจลงทุนก็เพราะคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ แต่บางครั้งผลที่ออกมาก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจและยอมรับถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย ผลตอบแทนจากการลงทุนมีหลายรูปแบบได้แก่
ในการคำนึงถึงผลตอบแทน เราควรถามตัวเองว่าผลตอบแทนที่ต้องการได้รับจะเป็นซักกี่เปอร์เซ็นต์ดี โดยต้องคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อไว้ด้วย เพราะเงินเฟ้อย่อมมีผลกระทบต่อผลตอบแทนในการลงทุน ดังนั้น เมื่อพูดถึงเรื่องผลตอบแทนเราควรให้ความสนใจในกับ Real rate of return มากกว่า Nominal rate of return โดย Real rate of return คือ ผลตอบแทนแท้จริงที่จะได้รับ ซึ่งมีการคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อไว้แล้ว ส่วน Nominal rate of return เป็นผลตอบแทนที่เสนอให้หรือให้ตามที่บริษัทได้ประกาศเอาไว้ สมมติว่า การลงทุนครั้งนี้เสนอให้ผลตอบแทน (Nominal rate of return) 15 % ถ้ามีการคาดคะเนว่าอัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นปีละ 4 % ดังนั้นผลตอบแทนแท้จริงที่ได้รับ จะเป็นแค่ 11 % เท่านั้น ลงทุนเท่าไหร่... จึงจะเหมาะสม? การกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลงทุน การนำเงินออมหรือเงินสำหรับการใช้จ่ายมาลงทุนมากเกินไป อาจจะทำให้เราประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง กดดันตัวเองมากเกินไป ในขณะที่การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนที่น้อยเกินไป อาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามที่ควรจะได้รับ ซึ่งการจัดสรรเงินสำหรับการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำให้การลงทุนของเราเป็นไปอย่างสมดุล ทางเลือกในการลงทุนในกรณีที่บุคคลมีรายได้สูงกว่ารายจ่าย ย่อมมีการสะสมเงินออมไว้ ซึ่งจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดสรรรายจ่าย เพื่อการยังชีพของแต่ละบุคคล และเงินออมจำนวนดังกล่าวนั้น ผู้ออมมักตัดสินใจนำไปลงทุนในการใดการหนึ่งเพื่อให้มีตอบแทนเพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะเก็บเงินไว้เฉย ๆ โดยไม่ทำให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้นมา ซึ่งผู้ออมสามารถนำเงินไปลงทุนได้ 2 ลักษณะ คือการลงทุนโดยตรง หมายถึง การที่บุคคลใช้เงินออมหรือเงินรายได้ของตัวเองทำกิจการใดกิจการหนึ่ง โดยมีการดำเนินงานและการตัดสินใจต่าง ๆ ด้วยตัวเองเพื่อให้เกิดผลกำไรตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือสินทรัพย์อื่นๆ การลงทุนทางอ้อม หมายถึง การที่บุคคลเอาเงินออมของตัวเองไปลงทุนผ่านสถาบันต่าง ๆ โดยที่สถาบันเหล่านั้นจะเป็นผู้ดำเนินงานและตัดสินปัญหาต่าง ๆ แทนทั้งหมด แต่ถ้าสถาบันดังกล่าวดำเนินการแล้วมีผลกำไรเกิดขึ้น ก็จะต้องนำรายได้เหล่านั้น มาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนในอัตราต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันไว้ เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล เป็นต้น องค์ประกอบพื้นฐานที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกการลงทุน ประกอบด้วย 6 ปัจจัย ดังนี้ ในการตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนจะต้องพิจารณาทั้ง 6 ปัจจัยร่วมกัน โดยมิใช่เป็นเพียงการมุ่งพิจารณาในองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และเมื่อตัดสินใจที่จะลงทุนในรูปแบบใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงหรือการลงทุนโดยทางอ้อม สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ การพิจารณาอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนนั้น ๆ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์สภาพความเสี่ยงและความสะดวกสบายในการลงทุน ตลอดจนการพิจารณากำหนดวงเงินที่จะลงทุนด้วย คุณเป็นนักลงทุนแบบไหน?งานวิจัยของ Marilyn MacGruder Barnwall แห่ง MacGruder Agency แบ่งประเภทของนักลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) นักลงทุนประเภทรอรับผล (Passive Investor) มักจะหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง หรือยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ผู้ลงทุนประเภทรอรับผลจึงมักมอบหมายหน้าที่ในการจัดการลงทุนให้แก่มืออาชีพที่มีนโยบายการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ และยอมรับอัตราผลตอบแทนในระดับต่ำ มากกว่าที่จะจัดการลงทุนด้วยตนเอง ผู้ลงทุนประเภทนี้ ได้แก่... ผู้ที่มีเงินทุนโดยไม่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคหรือสร้างด้วยมือตนเอง เช่น ได้รับเงินมรดก หรือขายที่ดินที่มีราคาสูงขึ้นจากการที่ถนนตัดผ่าน ฯลฯ ผู้ที่มีเงินทุนน้อย และกลัวขาดทุน ลูกจ้างที่มีหน้าที่การงานดี (ตำแหน่งสูงๆ) ในบริษัทขนาดใหญ่ แพทย์ เป็นต้น 2) นักลงทุนประเภทมุ่งหวังผล (Active Investor) มักชื่นชอบความเสี่ยงมากกว่าความมั่นคงของเงินลงทุน โดยมีความเห็นว่าถ้าเงินลงทุนต้องสูญไปก็สามารถสร้างใหม่ได้ และเห็นว่ามีโอกาสในการลงทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนประเภทมุ่งหวังผลจึงมักจัดการลงทุนด้วยตนเอง เพราะมีความมั่นใจในตนเองสูง ผู้ลงทุนประเภทนี้ ได้แก่… ผู้ที่ร่ำรวยโดยสร้างธุรกิจด้วยมือของตนเอง ผู้ที่ทำงานอิสระ ไม่ได้เป็นลูกจ้างในสายอาชีพต่างๆ เช่น ทนายความอิสระ นักบัญชี ฯลฯ ลูกจ้างที่มีหน้าที่การงานดี (ตำแหน่งสูงๆ) ในบริษัทขนาดใหญ่ ศัลยแพทย์มือดี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบทวิเคราะห์ของ Bailard, Biehl & Kaiser Five-Way Model (BB&K) ที่แบ่งนักลงทุนออกเป็น 5 ประเภท โดยพิจารณาจาก แนวปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนออกมาจากความมั่นใจหรือความวิตกกังวล ของแต่ละบุคคล นักผจญภัย (Adventurer)แต่จะตัดสินใจอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง โดยพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงมักลงทุนแบบมุ่งหวังผล ซึ่งจะลงทุนด้วยตนเอง แต่ถ้าไว้ใจให้มืออาชีพจัดการลงทุนให้แล้ว ก็มักจะไม่เข้ามายุ่งเลยดาราคนดัง (Celebrity)มักขี้กังวล ชอบตามกระแส กลัวตกข่าว จึงมักตัดสินใจเร็ว ไม่ค่อยระมัดระวัง ส่วนใหญ่จึงเป็นลูกค้าของบริษัท นายหน้าค้าหลักทรัพย์มากกว่าจะเป็นลูกค้าของ ผู้จัดการกองทุนผู้พิทักษ์ (Guardian)มีความระมัดระวังรอบคอบ ค่อนข้างจู้จี้ มีความวิตกกังวลมาก เป็นคนที่รู้ข้อจำกัดของตัวเอง ไม่ชอบตัดสินใจ จึงมักให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยจัด การลงทุน มักลงทุนแบบรอรับผลพวกที่อยู่คาบเส้น (Straight Arrow)ได้แก่ พวกที่ไม่อยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น แต่จะมีลักษณะกลางๆ ข้อปฏิบัติในการลงทุน
|