รายงานยูเอ็นระบุในอีก 32 ปีข้างหน้า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2.2 พันล้านคน พร้อมเตือนเยาวชนในอนาคตเส่ียงเผชิญปัญหาเข้าไม่ถึงการศึกษาและสาธารณสุข รวมถึง 'ว่างงาน'
รายงานของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ หรือ UN Population Fund ระบุว่า ภายในปี 2050 ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 2,200 ล้านคน ซึ่งอัตราการเติบโตของประชากรกว่าครึ่งจะเกิดในภูมิภาคแอฟริกา จะส่งผลให้ประชากรในทวีปแอฟริกามีมากถึงร้อยละ 26 ของประชากรทั่วโลก
ในรายงานยังระบุว่า ทวีปแอฟริกาเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเกิดของประชากรสูงที่สุด โดยส่วนใหญ่พบว่ามีการตั้งครรภ์ในเด็กอายุ 15 ปี หรือต่ำกว่านั้นเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มการเกิดใหม่ของประชากรในเมืองน้อยกว่าในพื้นที่ชนบท เช่น ในเอธิโอเปียจะมีการกำเนิดประชากรเฉลี่ย 2.1 คนต่อผู้หญิง 1 คน ขณะที่ในเขตชนบทจะมีอัตราการเกิดสูงกว่า โดยผู้หญิง 1 คนจะมีบุตรราว 5 คน
ปัจจุบัน ประชากรกว่าร้อยละ 60 ในทวีปแอฟริกามีอายุต่ำกว่า 25 ปี และ 38 ประเทศในภูมิภาคนี้ ผู้หญิงมีบุตรราว 4 คนโดยเฉลี่ย ขณะที่ประเทศที่มีปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรง เช่น อิรัก อัฟกานิสถาน มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยและประเทศที่พัฒนาแล้วอีกหลายประเทศอย่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรป รวมถึงจีน ต่างถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเกิดของประชากรต่ำ และพบว่าในประเทศเหล่านี้อัตราการแต่งงานของประชากรหญิงเฉลี่ยอยู่ที่ 30 - 40 ปีขึ้นไป ซึ่งรายงานระบุว่าประเทศเหล่านี้ต่างมีความกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับการมีลูก รวมไปถึงอัตราค่าครองชีพที่สูง จนนำไปสู่อัตราการมีบุตรของแต่ละครอบครัวที่ต่ำ รวมไปถึงความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ของผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้นด้วย
โมนิก้า เฟอร์โร ผู้อำนวยการกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า ผู้หญิงจำนวน 671 ล้านคนในประเทศกำลังพัฒนา เลือกที่จะใช้วิธีการคุมกำเนิดสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้หญิงอีกกว่า 250 ล้านคนที่ต้องการคุมกำเนิดยังขาดการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดสมัยใหม่
นอกจากนี้เฟอร์โรยังกล่าวว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงกว่า 300,000 คนเสียชีวิตขณะตั้งครรภ์หรือระหว่างการคลอดลูก เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพของแม่ได้ และนอกจากนี้ในทุกๆ วันยังมีเด็กผู้หญิงนับพันคนที่ถูกบังคับให้แต่งงานในขณะที่อายุยังน้อย
รายงานของ UN Population Fund ยังเตือนด้วยว่า จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เยาวชนในอนาคตเส่ียงเผชิญปัญหาเข้าไม่ถึงการศึกษา สาธารณสุข และตกงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- WHO เผยประชากรทั่วโลกกว่า 7 ล้านคนเสียชีวิตจาก 'มลพิษทางอากาศ'
- บิล เกตส์เชื่อประชากรโลกสุขภาพดีขึ้น ไม่ส่งผลให้คนล้นโลก
ประชากรของแต่ละภูมิภาค
จำนวนประชากรตามภูมิภาค แสดงให้เห็นว่าทวีปเอเชีย ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด โดยมีสัดส่วน 60% ของจำนวนประชากรโลก
ในขณะที่ทวีปแอฟริกามีประชากร 17% อเมริกา 13% ยุโรป 10% และโอเชียนเนีย (Oceania) ประมาณ 1%
10 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด
ประเทศจีน รั้งตำแหน่งประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรในปี 2020 1,402.40 ล้านคน คิดเป็น 18.04% ของประชากรทั้งหมดในโลก
อันดับที่ 2 ก็ยังคงเป็นอินเดีย แม้จะเผชิญความยากลำบากจากการระบาดของโควิด-19 โดยอินเดียมีจำนวนประชากรทั้งหมดที่ 1,400.10 ล้านคน
อันดับ 3 คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจำนวนประชากรประมาณ 330 ล้านคน อันดับ 4, 5 คืออินโดนีเซียและปากีสถาน ในขณะที่ประเทศที่มีจำนวนประชากรอันดับที่ 6-10 ได้แก่ บราซิล, ไนจีเรีย, บังคลาเทศ, รัสเซีย และเม๊กซิโกตามลำดับ
ปฎิเสธไม่ได้ว่าประชากรในปัจจุบันของจีน ยังคงมีจำนวนมหาศาลใกล้เคียง 20% ของประชากรโลก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรของ 65 ประเทศจากภูมิภาคต่างๆทั่วโลก จึงจะได้ผลรวมที่ใกล้เคียงกัน มีเพียงอินเดียเท่านั้นที่มีประชากรใกล้เคียงคือ 1,400 ล้านคน
- Australia กับ New Zealand: 30.8 ล้านคน
- Europe (ยกเว้น Russia): 600.3 ล้านคน
- South America: 429 ล้านคน
- USA และ Canada: 368.1 ล้านคน
ความหนาแน่นของประชากรกับความเสี่ยง
หากจะมองแนวโน้มทางประชากรตามที่ Population Reference Bureau ตั้งข้อสังเกต จะมองเห็นค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด เนื่องจากมีประเทศถึงกว่า 26 ประเทศที่กว่า 40% ของประชากรทั้งหมด อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้มีจำนวนคนมากกว่า 1 ล้านคนในเมือง
แน่นอนว่าความหนาแน่นของจำนวนคนในเมืองใหญ่ จะเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค ดังที่เราประสบในสถานการณ์ COVID-19
เมืองใหญ่หลายแห่งในประเทศที่มีอัตรารายได้ต่ำ จนถึงปานกลางก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน การตั้งถิ่นฐานอย่างไม่เป็นทางการทำให้เกิดความหนาแน่นของประชากร และสร้างข้อจำกัดต่างในการดำรงชีวิต ตั้งแต่ความปลอดภัย การเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด สุขอนามัย และทำให้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่
การรักษาระยะห่าง และการกักตัวเองแทบจะเป็นไปไม่ได้ ขนาดครัวเรือนโดยเฉลี่ยมีตัวเลขที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ในหลากหลายประเทศทั่วโลก แอฟริกาตะวันตก และแอฟริกาตอนกลางมีขนาดครัวเรือนที่ใหญ่ที่สุด โดยเฉลี่ยที่ 5.1 คน
สิ่งที่สำคัญพอๆกับจำนวนคนในครัวเรือน คือการอยู่ร่วมกันในหลากหลายเจนเนอเรชั่น ซึ่งวิถีการดำรงชีวิตของคนแต่ละเจนฯ จะส่งผลต่อความสามารถในการป้องกันโรค การหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด –19 ในบ้าน ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุในบ้าน อาจมีโอกาสรับเชื้อจากสมาชิกในบ้าน ซึ่งมีการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ เป็นต้น
ปัจจัยต่างๆ มีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทั้งความหนาแน่นของประชากรในเมือง พื้นที่ขนาดครัวเรือน และอายุของประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรสูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดอาการป่วยที่รุนแรง ซึ่งสัดส่วนของประชากรสูงวันในปัจจุบันนี้ อยู่ที่เฉลี่ย 20% และกำลังไต่สูงขึ้นเรื่อยๆตามทั่วโลกแนวโน้มสังคมสูงวัย
Source