นานาภาษีน่ารู้
"ภาษี" เป็นคำที่สร้างอาการ "ขนลุกขนพอง" ให้หลายๆ คน อาจเพราะภาษาที่เข้าใจยากบวกกับขั้นตอนกระบวนการที่ดูซับซ้อนน่าปวดเศียรเวียนเกล้า ทำให้ "คนไทย" ขยาดไปตามๆ กัน แต่ไม่ว่าอย่างไร... "การจ่ายภาษี" ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
ยิ่งหาก จะทำธุรกิจ ไม่ว่าจะส่วนตัว กลุ่มบริษัท กลุ่มสหกรณ์ SMEs หรือ OTOP เป็นอันว่า ชีวิตต้องพัวพัน กับภาษีอย่างแน่นอน ดังนั้น ลองหันมาตั้งหลัก " ทำความเข้าใจ " เรื่องภาษีให้ถ่องแท้ เพื่อการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องกันดีกว่า "เพียงจ่ายภาษีให้ครบถ้วนตามหน้าที่...คุณก็คือคนดีที่ช่วยชาติ"
ยินดีที่ได้รู้จัก
เมื่อตั้งใจว่าจะเป็น "คนไทยที่ดี" แล้ว ก็ต้องมาทำความรู้จัก "หน้าที่" ให้ดีก่อน ... เริ่มเลย ภาษีของประเทศไทยนั้นมีโครงสร้างอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่
- ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ต้องรับผิดชอบจ่ายภาษีเหล่านี้เอง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย เป็นต้น
- ภาษีที่จัดเก็บจากผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภคได้ (โดยการบวกไว้ในราคาสินค้า) เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ เป็นต้น
แค่โครงสร้างภาษี 2 แบบคงสร้างคำถามตัวเบ้อเริ่มแล้วว่าภาษีแต่ละอย่างมันคืออะไรบ้าง เพราะเยอะเหลือเกิน เอาเป็นว่าขออธิบายเฉพาะภาษีที่ได้ยินกันบ่อยๆ โดยแบ่งตามส่วนงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร
กรมสรรพากร
จัดเก็บ "ภาษีอากร" ในราชอาณาจักรไทย
สิทธิและหน้าที่ผู้เสียภาษีอากร ภาษีอากรที่กรมสรรพากรจัดเก็บแต่ละประเภท จะกำหนดสถานะผู้มีหน้าที่เสียภาษีและวิธีการเสียภาษีแตกต่างกันแล้วแต่กรณี ภาษีที่จัดเก็บจากรายได้นั้นครอบคลุมผู้มีรายได้ที่เป็น บุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคลประเภทต่างๆ โดยมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้แตกต่างกันไป
ในการเข้าสู่ระบบการเสียภาษีอากรทุกประเภทของกรมสรรพากร ผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร เพื่อใช้ติดต่อเสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นการประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย
กรมสรรพากร กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีทุกประเภททั้งที่เป็น บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม กิจการร่วมค้า บุคคลต่างด้าว รวมทั้งผู้จ่ายเงินได้ ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก แทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การติดต่อราชการกับกรมสรรพากร รวมทั้งการจัดทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
บุคคลธรรมดา | ใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก | กรมการปกครอง |
นิติบุคคลไทยและนิติบุคคล ต่างประเทศที่ต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า | ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก | กรมพัฒนาธุรกิจการค้า |
| ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก | กรมสรรพากร |
- ดูเอกสารขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทบุคคลธรรมดา (แบบ ล.ป.10.1) คลิก
- ดูเอกสารขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล (แบบ ล.ป.10.2) คลิก
- ดูเอกสารขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทนิติบุคคล (แบบ ล.ป.10.3) คลิก
- ดูเอกสารขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรประเภทผู้จ่ายเงินได้ (แบบ ล.ป.10.4) คลิก
**ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร คลิก
ประเภทภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกรมสรรพากรจัดเก็บภาษี 5 ประเภท ได้แก่
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย เช่น มูลนิธิ สมาคม ฯลฯ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากผู้ขายสินค้าในประเทศ การให้บริการในประเทศ และการ นำเข้าสินค้า ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใดๆ หากมีรายรับก่อนหักรายจ่ายจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่าง แทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิก ภาษีธุรกิจเฉพาะเริ่มใช้บังคับใน พ.ศ.2535 พร้อมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การค้าอสังหาริมทรัพย์
- อากรแสตมป์ เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการกระทำ ตราสาร 28 ลักษณะ ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ เช่น สัญญาจ้าง สัญญากู้ยืมเงิน
"สิทธิตามกฎหมาย" ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร
- การผ่อนชำระภาษี
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีจำนวนเกินกว่า 3,000 บาท สามารถแบ่งจ่ายงวดละเท่าๆ กัน ไม่เกิน 3 งวด โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
- ภาษีอากรที่ค้างชำระ โดยยื่นคำร้องขอผ่อนภายใต้หลักเกณฑ์การผ่อนชำระของกรมสรรพากร
- การยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี
กรณีผู้เสียภาษีถูกประเมินภาษีอากร และไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือ (แบบ ภ.ส.6) ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน และหากได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วยังไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หากไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา ผู้เสียภาษีไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใดๆ และต้องชำระภาษีพร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินให้ครบถ้วน
- ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง
หากต้องการรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือคำพิพากษา โดยยังไม่ต้องชำระภาษีตามที่ถูกประเมิน ผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษี โดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรด้วยหลักทรัพย์ต่างๆ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของกรมสรรพากร
- ของดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีอากร
ผู้เสียภาษีที่มีหน้าที่ยื่นแบบฯ และชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย มิฉะนั้นต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย แต่หากการกระทำความผิดมีเหตุอันควรผ่อนผัน ผู้เสียภาษีอาจมีคำร้องเป็นหนังสือของดหรือลดเบี้ยปรับตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ สำหรับเงินเพิ่มงดหรือลดให้ไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาชำระหรือนำส่งภาษี และได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายแล้ว เงินเพิ่มจะลดลงมาเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง
- ขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีของตนเองได้
"หน้าที่ตามกฎหมาย" ของผู้เสียภาษีอากร
- การผ่อนชำระภาษี
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีจำนวนเกินกว่า 3,000 บาท สามารถแบ่งจ่ายงวดละเท่าๆ กัน ไม่เกิน 3 งวด โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
- ภาษีอากรที่ค้างชำระ โดยยื่นคำร้องขอผ่อนภายใต้หลักเกณฑ์การผ่อนชำระของกรมสรรพากร
- การยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี
กรณีผู้เสียภาษีถูกประเมินภาษีอากร และไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือ (แบบ ภ.ส.6) ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน และหากได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วยังไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หากไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา ผู้เสียภาษีไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใดๆ และต้องชำระภาษีพร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินให้ครบถ้วน
- ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง
หากต้องการรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือคำพิพากษา โดยยังไม่ต้องชำระภาษีตามที่ถูกประเมิน ผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษี โดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรด้วยหลักทรัพย์ต่างๆ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของกรมสรรพากร
- ของดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีอากร
ผู้เสียภาษีที่มีหน้าที่ยื่นแบบฯ และชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย มิฉะนั้นต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย แต่หากการกระทำความผิดมีเหตุอันควรผ่อนผัน ผู้เสียภาษีอาจมีคำร้องเป็นหนังสือของดหรือลดเบี้ยปรับตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ สำหรับเงินเพิ่มงดหรือลดให้ไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาชำระหรือนำส่งภาษี และได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายแล้ว เงินเพิ่มจะลดลงมาเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง
- ขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีของตนเองได้
"หน้าที่ตามกฎหมาย" ของผู้เสียภาษีอากร
- ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร และจดทะเบียนภาษีตามที่กฎหมายกำหนด แล้วแต่กรณี และหากมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ จะต้องแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง
- ยื่นแบบฯ และเสียภาษีอากรที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วน
- จัดทำเอกสารหลักฐาน และบัญชีใดๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ใบรับ ใบส่งของ ใบกำกับภาษี บัญชีรายได้ รายจ่าย งบการเงิน บัญชีพิเศษ ฯลฯ แล้วแต่กรณี
- ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานเมื่อถูกร้องขอในทุกกรณีอันเกี่ยวเนื่องกับการเสียภาษีอากร
- ชำระภาษีตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินภายในกำหนดเวลา หากมิได้ชำระภาษีหรือชำระไว้ไม่ครบถ้วน เจ้าพนักงานมีสิทธิยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร เพื่อนำไปชำระหนี้ภาษีได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล
- การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอากร ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
คือ ภาษีที่จัดเก็บเป็นรายปีจากบุคคลทั่วไป วิสาหกิจชุมชนที่ไม่ได้มีการรวมกลุ่มเป็นนิติบุคคล คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ที่ไม่ใช่นิติบุคคล) หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ และมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด
โดยปกติภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะจัดเก็บเป็นรายปี ซึ่งเมื่อมีรายได้เกิดขึ้นในปีใดๆ ผู้มีเงินได้นั้นมีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป
เงินได้ที่ต้องเสียภาษีนั้น ในทางกฎหมาย เรียกว่า " เงินได้พึงประเมิน " หมายถึง เงินได้ (รายได้) ของบุคคลใดๆ หรือ หน่วยภาษีใด ที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
- เงิน (ที่ได้รับจริง)
- ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (ที่ได้รับจริง)
- ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (ที่ได้รับจริง)
- เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ (ที่ได้รับจริง)
- เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด (ที่ได้รับจริง)
เงินได้ที่ต้องเสียภาษีนั้น ในทางกฎหมาย เรียกว่า " เงินได้พึงประเมิน " หมายถึง เงินได้ (รายได้) ของบุคคลใดๆ หรือ หน่วยภาษีใด ที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
- เงิน (ที่ได้รับจริง)
- ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (ที่ได้รับจริง)
- ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (ที่ได้รับจริง)
- เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ (ที่ได้รับจริง)
- เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด (ที่ได้รับจริง)
ดังนั้น ผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้
- ผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง ที่ได้รับในปีภาษี
- กรณีไม่มีคู่สมรส ต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 50,000 บาท
- กรณีที่มีคู่สมรส ไม่ว่าฝ่ายเดียวหรือทั้งสองฝ่ายต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 100,000 บาท
- ผู้มีเงินได้จากการทำธุรกิจการค้าทั่วไปที่ไม่ใช่เกิดจากการจ้างแรงงานที่ได้รับในปีภาษี
- กรณีไม่มีคู่สมรส ต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาท
- กรณีมีคู่สมรส ไม่ว่าฝ่ายเดียวหรือทั้งสองฝ่ายต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกันเกิน 60,000 บาท
- กองมรดกของผู้ตายที่ยังไม่แบ่งเกิน 30,000 บาท
- ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเกิน 30,000 บาท
ทั้งนี้ สามารถดูประเภทเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีได้ที่ คลิก
สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ การรับเหมา ธุรกิจการพาณิชย์ กฎหมายได้กำหนดให้ยื่นแบบฯ เสียภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก ภายในเดือนกันยายนของทุกปี เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีที่ต้องชำระ
และเงินได้พึงประเมินบางกรณีกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อให้มีการทยอยชำระภาษีขณะที่มีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นอีกด้วย
- ดูเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีเงินได้ทั่วไป (ภ.ง.ด.90) คลิก
- ดูเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ สำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (ภ.ง.ด.91) คลิก
- ดูเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ขอชำระภาษีล่วงหน้า (ภ.ง.ด.93) คลิก
- ดูเอกสารแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) คลิก
นอกจากนี้ ผู้มีเงินได้จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการหักลดหย่อนรายการต่างๆ ที่กฎหมายได้กำหนดให้หักได้เพิ่มขึ้นหลังจากได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี ก่อนนำเงินได้ที่เหลือ ซึ่งเรียกว่า เงินได้สุทธิ ไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย
ดูรายการที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ที่ คลิก
โอ๊ะ...โอ!!! ทำไงดีเกินกำหนดเสียภาษีแล้ว
- หากลืมจ่ายภาษีจนเลยกำหนดการจ่ายไปแล้ว คุณจะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (เศษของเดือนปัดเป็น 1 เดือน) ของเงินภาษีที่ต้องชำระนั้น นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการจนถึงวันชำระภาษี
- หากมีหมายเรียกให้เสียภาษีโดยที่คุณไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้ หรือยื่นแต่จ่ายภาษีไม่ครบ นอกจากจะต้องชำระเงินเพิ่มตามข้อ 1 แล้ว ยังต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1 หรือ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ (ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก)
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทั้งที่จดและไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กฎหมายต่างประเทศ มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้
ใคร? ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีดังนี้
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
- ก. บริษัท จำกัด
- ข. บริษัทมหาชน จำกัด
- ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
- ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ก. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น เข้ามากระทำกิจการในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร)
- ข. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
- ค. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย และกิจการที่กระทำนั้นเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศ (มาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร)
- ง. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย (มาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร)
- จ. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามมาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
- ฉ. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทำกิจการในประเทศไทยโดยตรง หากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
- กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไรโดย
- ก. รัฐบาลต่างประเทศ
- ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
- ค. นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
- กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไร
ระหว่างบุคคลดังต่อไปนี้คือ
- ก. บริษัทกับบริษัท
- ข. บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
- ค. ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
- ง. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
- จ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ฉ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
- ช. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
- มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
- นิติบุคคลที่อธิบดีกาหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นจะคิดจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ร้อยละ 20 และภาษีร้อยละ 10 จากกำไรสุทธิเฉพาะกรณีที่ได้จากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน 2535
ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีดังนี้
- การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบ: จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
- การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ: ระยะเวลาบัญชีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยการคำนวณจากฐานภาษีแบบอื่นอีก คือ
- คำนวณจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย คลิก
- เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย คลิก
- การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย คลิก
- ดูแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) คลิก
- ดูแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแบบครึ่งรอบ (ภ.ง.ด.51) คลิก
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล...ที่ไหน?
- กรุงเทพมหานคร
- สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต) ในท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่
- ธนาคารพาณิชย์ไทยในเขตกรุงเทพมหานคร
- จังหวัดอื่น
- ที่ว่าการอำเภอที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ในกรณีสำนักงานสรรพากรอำเภอมิได้ตั้งอยู่ ณ ที่ว่าการอำเภอให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรอำเภอ
- สำนักงานสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทยในเขตอำเภอที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล คลิก
ดูวิธีคำนวณภาษีเงินได้ คลิก
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ และต้องชำระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจต้องออกใบกำกับภาษีซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญ ให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้า บริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ
ใคร? ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
- ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
- ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 43) ฯ ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2536
- ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ขอรับ "แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม" (แบบ ภ.พ.01)
- กทม. ขอรับที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต/อำเภอ) หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่
- ต่างจังหวัด ขอรับที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (อำเภอ) ทุกแห่ง
- เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- คำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.01 จำนวน 3 ฉบับ
- สำเนาทะเบียนบ้านหรือหลักฐานแสดงการอยู่อาศัยจริง พร้อมภาพถ่ายสำเนา
- บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว
- สัญญาเช่าอาคารที่ตั้งสถานประกอบการ (กรณีเช่า) หรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ และหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น เป็นเจ้าบ้าน / สัญญาซื้อขาย / คำขอหมายเลขบ้าน / ใบโอนกรรมสิทธิ์ / สัญญาเช่าช่วง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านสถานประกอบการและภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว
- หนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วน พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล)
- หนังสือรับรองของนายทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัท พร้อมวัตถุประสงค์ หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับ และใบทะเบียนพาณิชย์พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นนิติบุคคล)
- บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้จัดการ หรือหุ้นส่วนผู้จัดการ และสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว
- แผนที่ซึ่งแสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขป และภาพถ่ายสถานประกอบการจำนวน 2 ชุด
- กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 10 บาท บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจพร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว โดยผู้รับมอบอำนาจต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
- กรณีผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กำหนด และประสงค์จะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ยื่นแบบคำขอแจ้งใช้สิทธิ์เพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร (ภ.พ.01.1) พร้อมกับการยื่น ภ.พ.01 หรือสามารถยื่นก่อนการยื่น ภ.พ.01 ไม่เกิน 30 วัน
- เมื่อยื่นขอจดทะเบียนแล้ว ผู้ประกอบการจะได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.20) ซึ่งแสดงว่าคุณได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนตามกฎหมาย
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม...เมื่อไร?
- ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ยกเว้น มีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เตรียมการเพื่อประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีการดำเนินการเพื่อเตรียมประกอบกิจการ ทำให้ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน การสร้างอาคารสำนักงานหรือการติดตั้งเครื่องจักร ให้ผู้ประกอบการยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ
- เมื่อมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- สถานประกอบการใน กทม. ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- สถานประกอบการนอก กทม. ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา(อำเภอ) ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- หากมีสถานประกอบการหลายแห่ง ยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว
- กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ยื่น ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้
หน้าที่เมื่อ...เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า พร้อมออกใบกำกับภาษีไว้เป็นหลักฐาน
- เรียกเก็บเพิ่มแยกจากราคาสินค้าหรือบริการ
- บวกรวมกับราคาสินค้าหรือบริการ
- จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด
- รายงานภาษีซื้อ
- รายงานภาษีขาย
- รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
- ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี (แบบ ภ.พ.30) พร้อมชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) เป็นรายเดือนทุกเดือนภาษี ไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือให้บริการในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม โดยให้ยื่นแบบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
กรณีนำเข้าสินค้า ต้องยื่นแบบใบขนสินค้าขาเข้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ณ ด่านศุลกากรที่มีการนำเข้าสินค้า อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
กรมสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรมอันดี มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ ได้แก่
พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตพ.ศ.2527 |
|
พระราชบัญญัติสุราพ.ศ.2493 |
|
พระราชบัญญัติยาสูบพ.ศ.2509 |
|
พระราชบัญญัติไพ่ พ.ศ.2486 |
|
ใคร...? มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิต (ภาษีตัวสินค้า)
- ผู้ประกอบอุตสาหกรรม
- ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ
- ผู้นำเข้าซึ่งสินค้า
- ผู้อื่นตามที่ พรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 กำหนด
- ผู้ดัดแปลงรถยนต์ ม.144 เบญจ
- เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน ม.42
- ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการอันตั้งขึ้นใหม่ โดยการควบเข้ากัน หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่รับโอนกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมเดิม ม.57
- ผู้ได้รับเอกสิทธิ์ตาม ม.102(3) สำหรับสินค้าที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับคืนหรือยกเว้นภาษี ม.12 วรรค 2(2)
- ผู้ได้รับสิทธิ์ยกเว้น หรือลดอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้า ม.11 วรรค 2(2), (3)
- ผู้โอนและผู้รับโอน ที่ได้รับเอกสิทธิตาม ม.102(3) ที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับคืน หรือยกเว้นภาษี ม.12 วรรค 2 (1)
- ผู้โอน และผู้รับโอนสินค้านำเข้าที่ได้รับยกเว้น หรือลดอัตราภาษี ม.11 วรรค 2(1)
- ผู้จัดการมรดก หรือทายาท ผู้ได้รับมรดกสินค้านำเข้าที่ได้รับการยกเว้น หรือลดอัตราภาษี ม.11 วรรค 2(4)
- ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ ม.56
- ผู้ชำระบัญชี และกรรมการผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันเลิกกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการเป็นนิติบุคคล และเลิกกิจการ โดยมีการชำระบัญชี ม.58
- ผู้กระทำความผิดตาม ม.161, ม.162
หน้าที่ของผู้เสียภาษี
จดทะเบียนสรรพสามิต
1. การจดทะเบียนสรรพสามิตโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่/พื้นที่สาขาที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ.01-04 2. สำเนาทะเบียนบ้านของสถานที่ตั้งโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ 3. แผนที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ 4. หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์ของสถานที่ที่ขอจดทะเบียนสรรพสามิตหรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ 5. สำเนาทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) 6. สำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ (ไม่เกิน 6 เดือน)กรณีผู้ยื่นเป็นนิติบุคคล 7. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ 8. สำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษึอากรและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | ยื่นแบบ ภษ.01-04 ภายใน 30 วัน ก่อนเริ่มผลิตสินค้าหรือบริการ โดยยื่นคำขอ 2 ชุด พร้อมเอกสารประกอบ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 20 นาทีนับแต่ได้รับเอกสารที่ครบถ้วน |
- ดูเอกสารคำขอจดทะเบียนสรรพสามิต แบบ ภษ.01-04 คลิก
2. การขอใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิต
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่ใบทะเบียนสรรพสามิตชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ. 01-05 จำนวน 4 ฉบับ 2. หนังสือแจ้งความใบทะเบียนสรรพสามิตหายหรือใบทะเบียนสรรพสามิตที่ชำรุดในสาระสำคัญ 3. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ 4. สำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ (ไม่เกิน 6 เดือน) 5. บัญชีรายละเอียดวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต สินค้าสำเร็จรูป และบัญชีรายการค้างชำระภาษี |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบถึงการชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 20 นาทีนับแต่ได้รับเอกสารที่ครบถ้วน |
- ดูเอกสารคำขอรับใบแทนใบทะเบียนสรรพสามิต แบบ ภษ.01-05 คลิก
3. การย้ายโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ. 01-05 จำนวน 4 ฉบับ 2. ใบทะเบียนสรรพสามิต 3. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ 4. สำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ (ไม่เกิน 6 เดือน) 5. บัญชีรายละเอียดวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต สินค้าสำเร็จรูป และบัญชีรายการค้างชำระภาษี 6. ใบทะเบียนสรรพสามิตที่ชำรุดในสาระสำคัญ |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1. ก่อนวันย้ายไม่น้อยกว่า 15 วัน ยื่นแบบ ภษ.01-04 เพื่อขอจดทะเบียนใหม่ภายใน 30 วันก่อนวันเริ่มผลิตสินค้าหรือบริการ และเมื่อได้รับใบทะเบียนสรรพสามิตฉบับใหม่แล้ว ให้คืนใบทะเบียนสรรพสามิต 2. นัดผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการเพื่อทำการตรวจเลิกกิจการ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 1 วันนับแต่วันที่ไปตรวจโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ |
4. การโอนกิจการโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ. 01-05 2. ใบทะเบียนสรรพสามิต 3. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ 4. สำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ (ไม่เกิน 6 เดือน) 5.บัญชีรายละเอียดวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต สินค้าสำเร็จรูป และบัญชีรายการค้างชำระภาษี |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | ก่อนวันโอนกิจการไม่น้อยกว่า 15 วัน และให้ผู้รับโอนยื่นจดทะเบียนสรรพสามิตภายใน 7 วันนับแต่วันที่รับโอนกิจการ และให้คืนใบทะเบียนสรรพสามิตแก่เจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่ได้แจ้งโอนกิจการภายใน15วันนับแต่วันหยุดกิจการ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 1 วันทำการ (ไม่รวมเวลาที่ผู้รับโอนกิจการยื่นจดทะเบียนใหม่) |
5. การเลิกกิจการโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1.แบบ ภษ. 01-05 จำนวน 4 ฉบับ 2.ใบทะเบียนสรรพสามิต 3.หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจ 4.สำเนาหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ (ไม่เกิน 6 เดือน) 5.บัญชีรายละเอียดวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต สินค้าสำเร็จรูป และบัญชีรายการค้างชำระภาษี |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | ก่อนวันเลิกกิจการไม่น้อยกว่า 15 วัน และให้คืนใบทะเบียนสรรพสามิต แก่เจ้าพนักงานสรรพสามิต ณ สถานที่ที่ได้แจ้งเลิกกิจการนั้นภายใน 15 วันนับแต่วันที่หยุดประกอบกิจการ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบสินค้าและภาษีค้างชำระ |
ขออนุญาตต่อกรมสรรพสามิต
1. การขออนุญาตซื้อเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่จดทะเบียนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีกับกรมสรรพสามิต(ภษ.01-18) |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | แบบคำขออนุญาต - แบบ ภษ.01-23 จำนวน 2 ฉบับและ ภษ.01-24 - กรณีชำระเป็นเงินสด - วางประกันด้วยหนังสือค้ำประกันของธนาคาร |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1. เจ้าพนักงานสรรพสามิตรับคำขออนุญาตซื้อเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน ภษ.01-23 และ ภษ.01-24 พร้อมสำเนาเอกสารประกอบ 2. เจ้าหน้าที่ตรวจแบบ ภษ.01-23 และ ภษ.01-24 และเอกสารแนบ 3. เจ้าพนักงานสรรพสามิตติดต่อให้ผู้ขอซื้อชำระภาษีเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน 4. เจ้าพนักงานสรรพสามิตทำบันทึกพร้อมแนบ ภษ.01-23 ภษ.01-24 ให้สรรพสามิตพื้นที่ลงนาม |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | ยังไม่มีการกำหนด |
- ดูเอกสารคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี แบบ ภษ.01-18 คลิก
- ดูเอกสารคำขอซื้อ และใบอนุญาตให้ซื้อเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน แบบ ภษ.01-23 คลิก
- ดูเอกสารคำขอขน และใบขนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน ภษ.01-24 คลิก
2. การขออนุญาตนำเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียนเข้ามาในราชอาณาจักร
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำเข้าเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีที่ตนจดทะเบียนไว้กับกรมสรรพสามิตแล้ว |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ |
3. ยื่นต่อ | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ครั้งละ 500 บาท |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | แบบคำขออนุญาต - แบบ ภษ.01-22 จำนวน 3 ฉบับ เอกสารประกอบ 1.สำเนาใบกำกับสินค้า 2.สำเนาใบสั่งซื้อ 3.สำเนาใบรายการบรรจุสินค้า 4.สำเนาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียน ภษ.01-18 จากผู้นำเข้า |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1. เจ้าหน้าที่รับคำขออนุญาตนำเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียนเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม ภษ.01-22 จำนวน 3 ฉบับ พร้อมสำเนาเอกสารประกอบ และรับรองสำเนาเอกสารด้วย 2. เจ้าหน้าที่ตรวจแบบ ภษ.01-22 และเอกสารแนบ 3. เจ้าหน้าที่ติดต่อให้ผู้นำเข้ามาชำระค่าธรรมเนียมนำเข้าและค่าภาษีเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี 4. เจ้าหน้าที่ทำบันทึกพร้อมแนบ ภษ.01-22 ให้สรรพสามิตพื้นที่ลงนามในหนังสืออนุญาตและในแบบ ภษ.01-22 |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 45 นาที |
- ดูเอกสารคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี แบบ ภษ.01-18 คลิก
- ดูเอกสารคำขออนุญาตนำเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจดทะเบียนเข้ามาในราชอาณาจักร แบบ ภษ.01-22 คลิก
3. การขออนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (แก้ไขตามคู่มือของกรมสรรพสามิตเมื่อ 20 ส.ค. 2553)
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ที่ประสงค์จะขอตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนตั้งอยู่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | - ใบอนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน ฉบับละ 20,000 บาท - ค่าธรรมเนียมคลังสินค้าทัณฑ์บนรายปี ฉบับละ 2,000 บาท (เว้นปีที่ออกใบอนุญาตปีแรกไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี) |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | แบบคำขออนุญาต - แบบ ภษ.01-08 จำนวน 2 ฉบับ เอกสารประกอบ 1. หลักฐานการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือเป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองสถานที่ หรืออาคารที่ตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชน ของผู้ยื่นแบบคำขออนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน 3. สำเนาหนังสือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล 4. สำเนารับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กระทรวงพาณิชย์ (ในกรณีที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) พร้อมทั้งสำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับ (ในกรณีที่เป็นบริษัทจำกัด) 5. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ 6. แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน ระยะทางเส้นทางคมนาคมระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บนกับสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาหรือกรมสรรพสามิต 7. แผนผังแสดงสถานที่ตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน พร้อมทั้งบริเวณและสถานที่ซึ่งเป็นอาณาเขตติดต่อกับคลังสินค้าทัณฑ์บน 8. แบบแปลนแผนผังแสดงบริเวณภายในคลังสินค้าทัณฑ์บน สถานที่เก็บสินค้า ช่องทางที่สินค้าจะเข้าหรือออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน 9. รายการสินค้าที่จะนำเข้าเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ |
|
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 20 วันทำการ |
- ดูกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ.2527) คลิก คลิก
- ดูเอกสารคำขออนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน แบบ ภษ.01-08 คลิก
- ดูเอกสารสัญญาคลังสินค้าทัณฑ์บน แบบ ภษ.04-03 คลิก
- ดูเอกสารใบอนุญาตตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน แบบ ภษ.02-05 คลิก
การแจ้งราคา
1. การแจ้งราคาขายสินค้า/บริการ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรรพสามิตพื้นที่ที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานบริการตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ.01-44 ,แบบ ภษ.01-44ก 2. แบบโครงสร้างต้นทุนการผลิต/บริการ 3. หลักฐานเอกสารประกอบ เช่น ใบกำกับภาษีซื้อ ใบขนสินค้าขาเข้า ใบสำคัญจ่าย เป็นต้น ซึ่งเป็นที่มาของโครงสร้างต้นทุนการผลิต/บริการ 4. รายละเอียดวิธีคำนวณค่าใช่จ่ายในการผลิต/บริการแต่ละรายการ 5. รูปแบบสินค้า/บริการ |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1.ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ยื่นแบบ ภษ.01-44 พร้อมเอกสารตามรายการที่ 5 ไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนการจำหน่ายหรือเปลี่ยนแปลงราคา 2.เจ้าหน้าที่พิจารณาโครงสร้างราคาขาย 3.หากพบข้อผิดพลาด แจ้งให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทบทวนแก้ไข 4.เสนอสรรพสามิตพื้นที่ทราบ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา |
- ดูเอกสารแบบแจ้งราคาขาย พร้อมโครงสร้างราคาขาย แบบ ภษ.01-44 คลิก
- ดูเอกสารแบบแจ้งราคาค่าบริการ พร้อมโครงสร้างราคาค่าบริการ แบบ ภษ.01-44ก คลิก
การชำระภาษีสรรพสามิต
1. การขยายเวลาชำระภาษี
- กรณีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ห้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษี ภายใน 10 วันนับแต่วันที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บน ในกรณีดังต่อไปนี้
- กรณีความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี เกิดขึ้นในเวลานำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บน
- กรณีความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดพร้อมความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กรณีเมื่อความรับผิดเกิดพร้อมกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษี ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บน ได้แก่สินค้าดังนี้
- เครื่องไฟฟ้านอกจากเครื่องปรับอากาศ
- แก้วและเครื่องแก้ว
- รถยนต์
- เรือ
- ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและเครื่องสำอาง
- สินค้าที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมอาจขอชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยมีหลักประกันดังนี้ ให้สินค้าดังต่อไปนี้เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมอาจขอชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมีหลักประกันได้ ได้แก่
- เครื่องดื่มที่ทำหรือบรรจุหรือได้จากเครื่องขายเครื่องดื่ม
- เครื่องไฟฟ้า นอกจากเครื่องปรับอากาศ
- แก้วและเครื่องแก้ว
- รถยนต์
- เรือ
- ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและเครื่องสำอาง
- พรมและสิ่งทอปูพื้นอื่นๆ
- รถจักรยานยนต์
- หินอ่อนและหินแกรนิต
- แบตเตอรี่
2. หลักเกณฑ์และวงเงินประกันค่าภาษี
ตามประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยื่นแบบรายการภาษี พร้อมกับการชำระภาษีภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยมีหลักประกัน ดังนี้
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรายใดประสงค์จะยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับการชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมีหลักประกัน ให้ปฏิบัติ ดังนี้
- ยื่นคำขอตามแบบ ภษ.01-15 ต่ออธิบดี หรือสรรพสามิตพื้นที่
- วางหลักประกันเป็นเงินสด พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรขององค์การรัฐบาล หนังสือค้ำประกันของธนาคาร โฉนดที่ดิน หรือวางหลักทรัพย์ หรือหลักประกันอื่นที่อธิบดีเห็นชอบ เป็นประกันค่าภาษีสำหรับสินค้าที่จะนำออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนล่วงหน้า 1 เดือน
- การกำหนดวงเงินประกันค่าภาษี ให้คิดเฉลี่ยจากยอดค่าภาษีในระยะ 6 เดือนที่ล่วงมาแล้ว ในกรณีที่ไม่เคยนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดวงเงินประกันค่าภาษีได้ตามความเหมาะสม และเมื่อครบ 6 เดือนแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว
- กำหนดในระยะประกันค่าภาษีมีเวลา 1 ปี นับแต่วันอนุมัติ
- อธิบดีมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงวงเงินประกันค่าภาษีได้ตามที่เห็นสมควร
3. สินค้าที่เสียภาษีโดยใช้แสตมป์สรรพสามิต หรือเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี ได้แก่
- เครื่องดื่ม เว้นแต่ เครื่องดื่มที่ทำหรือบรรจุหรือได้จากเครื่องขายเครื่องดื่ม
- เครื่องปรับอากาศ
4. การคำนวณภาษี
กรณีอัตราภาษีตามปริมาณ
ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า x อัตราภาษีสรรพสามิต
กรณีอัตราภาษีตามมูลค่า
ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า x อัตราภาษีสรรพสามิต
กรณีระบุอัตราภาษีทั้งตามปริมาณและตามมูลค่า ให้คำนวณค่าภาษีสรรพสามิตจากทั้ง 2 อัตราก่อน และให้ใช้อัตราที่คิดเป็นเงินสูงกว่า ตามมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.พิกัดภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 โดยรายรับของสถานบริการ ได้แก่
- กรณีรายรับของสนามม้า คือ
- ค่าผ่านประตู 2. รายรับที่หักไว้จากผู้เล่นการพนันแข่งม้า
- กรณีรายรับของสนามกอล์ฟ คือ 1.ค่าสมาชิก 2.ค่าใช้บริการสนามกอล์ฟ ทั้งนี้ ตามหนังสือกรมสรรพสามิต ที่ กค. 0701/ ว 560 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2540 ได้ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับค่าสมาชิก และค่าใช้บริการสนามกอล์ฟไว้ ดังนี้ ค่าสมาชิก ได้แก่
- รายรับจากค่าสมาชิก รวมถึงค่าสมัครสมาชิกด้วย
- รายรับจากค่าสมาชิกที่ผ่อนชำระเป็นงวดๆ ที่ได้รับตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป
- รายรับจากค่าธรรมเนียมการโอนค่าสมาชิก เฉพาะส่วนที่เป็นรายได้ของสนามกอล์ฟ
- รายรับอื่นใดที่เรียกเก็บจากสมาชิก เช่น ค่าบำรุงสนามที่เก็บเป็นรายปี หรือรายเดือน เป็นต้น
กรณีสินค้านำเข้า
มูลค่า = ราคา ซี.ไอ.เอฟ. ของสินค้า + อากรขาเข้า + ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน + ภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะได้กำหนดใน พ.ร.บ. (แต่ไม่รวมถึง VAT) + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย
ดังนั้น
ภาษีสรรพสามิต = (มูลค่าดังกล่าว) x อัตราภาษีสรรพสามิต
หรือ
ภาษีสรรพสามิต = {(C.I.F + อากรขาเข้า + ค่าธรรมเนียมอื่นไม่รวม VAT) x อัตราภาษีสรรพสามิต) หารด้วย (1-(1.1 x อัตราภาษีสรรพสามิต)}
5. การชำระภาษีสถานบริการ
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรรพสามิตพื้นที่หรือพื้นที่สาขาแห่งท้องที่ที่สถานบริการนั้นตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | เจ้าพนักงานสรรพสามิต |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | แบบรายการชำระภาษีสรรพสามิต ภษ. 01-12ก. พร้อมรายละเอียดสินค้า |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | เจ้าพนักงานสรรพสามิต |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1.ยื่นแบบรายการภาษีสรรพสามิต (ภษ. 01-12ก) พร้อมรายละเอียดของการบริการ งบเดือนแสดงรายการรายรับของสถานบริการ(ภษ.01-42ก) พร้อมด้วยเงินค่าภาษีที่ต้องชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่ความรับผิดในการเสียภาษีเกิดขึ้น 2.การชำระภาษีสามารถชำระด้วย -เงินสด -แคชเชียร์เช็ค -บัตรภาษี -เช็คประเภท ง. (เช็คที่ผู้มีหน้าที่ชำระเงินผลประโยชน์เป็นผู้สั่งจ่ายและใช้ชำระโดยตรง กรณีนี้ต้องขออนุมัติกรมสรรพสามิตก่อน) 3.เจ้าพนักงานสรรพสามิตตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและจำนวนเงินภาษีที่นำมาชำระ 4.รับชำระภาษีและออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้ชำระภาษี |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 10 นาที/1 แบบรายการ |
- ดูเอกสารแบบรายการภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา 48 แบบ ภษ.01-12ก คลิก
- ดูเอกสารแบบรายการภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา 48(2) แบบ ภษ.01-12 คลิก
การยกเว้นหรือคืนภาษี
1. การยกเว้นหรือคืนภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | 1. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิตมีสิทธิขอยกเว้นหรือคืนภาษีได้ 2. ผู้ซื้อหรือได้รับสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือ นำเข้าไปในเขตปลอดอากรและได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมนั้นให้ดำเนินการขอยกเว้นหรือ คืนภาษีมีสิทธิขอยกเว้นหรือคืนภาษีได้ 3. นิติบุคคลที่ไม่ใช่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งได้ซื้อ หรือได้รับสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบ อุตสาหกรรมเป็นทอดแรกเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากรโดยไม่ได้รับ มอบอำนาจจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมให้ใช้วิธีการคืนภาษี 4. บุคคลอื่นที่มิได้ซื้อหรือได้รับสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมเป็นทอดแรก ให้ใช้วิธีการคืนภาษี |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรรพสามิตพื้นที่แห่งท้องที่ที่โรงงานอุตสาหกรรมนั้นตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | - สรรพสามิตพื้นที่ โดยส่งทางโทรสาร นำส่งเอง หรือ - ยื่นผ่านอินเตอร์เน็ต ที่เว็บไซต์กรมสรรพสามิต //www.excise.go.th |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. แบบ ภษ.01-28 2. คู่ฉบับใบขนสินค้าขาออกฉบับมุมน้ำเงิน 3. เอกสารการสั่งซื้อสินค้า 4. ใบแสดงรายการและราคาสินค้า 5. สำเนาหลักฐานที่แสดงว่าจะมีการชำระราคาสินค้า 6. กรณีขอคืนภาษีจะต้องมีหลักฐานแสดงการเสียภาษีมาด้วยได้แก่ แบบรายการภาษีสรรพสามิต (ภษ.01-12) และใบเสร็จรับเงินค่าภาษีสรรพสามิต |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | 1. สรรพสามิตพื้นที่ในกรณี - น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันไม่เกิน 100 ล้านบาท - รถยนต์ไม่เกิน 50 ล้านบาท - สินค้าอื่นๆ ไม่เกิน 10 ล้านบาทและบริการไม่เกิน 1 ล้านบาท 2. ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคกรณีเกินอำนาจสรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1. ผู้ส่งออกยื่นแบบ ภษ.01-28 จำนวน 2 ชุด พร้อมเอกสารประกอบก่อนนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม คลังสินค้าทัณฑ์บน หรือสถานที่เก็บสินค้า 2. เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนรับ พร้อมส่งคืนแบบ ภษ. 01-28 ให้ผู้ส่งออก 1 ชุด 3. ผู้ส่งออกนำแบบ ภษ.01-28 กำกับไปกับสินค้าที่จะส่งออกไปทำพิธีการทางศุลกากร (เจ้าพนักงานศุลกากรตรวจสอบสินค้าและลงนามรับรองการส่งออก) 4. เมื่อส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากรแล้วผู้ส่งออกทำหนังสือ ขอคืนหรือยกเว้นภาษี พร้อมแบบ ภษ.01-28 ที่ผ่านพิธีการศุลกากรเรียบร้อยแล้วพร้อมเอกสารที่ เกี่ยวข้องคืนสำนักงานสรรพสามิตที่แห่งท้องที่ที่ขอส่งออกภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร หรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร 5. เจ้าพนักงานสรรพสามิตตรวจสอบเอกสารแล้วทำหนังสือเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติยกเว้นหรือคืนภาษีแล้วแจ้งให้ผู้ส่งออกทราบ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | เอกสารครบถ้วนตามข้อ5 2 ชั่วโมง ต่อ 1 คำขอ |
- ดูเอกสารแบบคำขอยกเว้นภาษี สำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราขอาณาจักร หรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร แบบ ภษ.01-28 คลิก
2. การขอยกเว้นสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยจะนำไปเก็บพักไว้ที่สถานที่เก็บสินค้า
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | 1. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 2. ผู้ซื้อหรือได้รับสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร หรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากรและได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบอุตสาหกรรม |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | แบบคำขอ ภษ.01-28/1 |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1. ผู้ประกอบการยื่นแบบคำขอยกเว้นภาษี ภษ. 01-28/1 จำนวน 3 ฉบับพร้อมเอกสาร ด้วยตนเอง หรือโทรสาร หรือ Internet ต่อสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เพื่อลงรับพร้อมคืนแบบ ภษ.01-28/1 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม/ผู้ส่งออก 2 ชุด เพื่อ กำกับไปกับสินค้าที่จะนำไปเก็บไว้ที่สถานที่เก็บสินค้าเพื่อรอการส่งออก 2. สรรพสามิตพื้นที่สั่งให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตไปดำเนินการตรวจสอบสินค้าที่จะออกจากโรงอุตสาหกรรม 3. เจ้าพนักงานสรรพสามิตผู้รับผิดชอบไปดำเนินการตรวจนับสินค้าที่โรงอุตสาหกรรมและลงนามในแบบคำขอข้อ 7 4. ส่งแบบคำขอไปยังสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่สถานที่เก็บสินค้าตั้งอยู่ (ซึ่งได้รับอนุมัติให้เป็นสถานที่ที่เก็บสินค้าจากเจ้าพนักงานสรรพสามิตแล้ว) 5. ผู้ประกอบกิจการหรือผู้ส่งออกแจ้งให้สรรพสามิตพื้นที่ที่สถานที่เก็บสินค้านั้นตั้งอยู่ทราบเพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตมาตรวจสอบสินค้า 6. สรรพสามิตพื้นที่ที่สถานที่เก็บสินค้าตั้งอยู่สั่งเจ้าพนักงานสรรพสามิตให้ไปตรวจสอบนับสินค้าที่สถานที่เก็บสินค้า และลงนามในแบบคำขอ ข้อ 8 7.ผู้ส่งออกส่งแบบ ภษ. 01-28/1 ไปยังสำนักสรรพสามิตพื้นที่ที่ได้ยื่นคำขอไว้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแบบคำขอดังกล่าวแล้วคืนให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ส่งออก |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | 30 นาที |
- ดูเอกสารแบบคำขอยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราขอาณาจักร หรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยจะนำไปเก็บพักไว้ที่สถานที่เก็บสินค้า แบบ ภษ.01-28/1 คลิก
3. การลดหย่อนภาษีสรรพสามิต
1. ผู้มีสิทธิ์ยื่น | ผู้ประกอบอุตสาหกรรม |
2. สถานที่ยื่น | สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่โรงอุตสาหกรรมตั้งอยู่ |
3. ยื่นต่อ | สรรพสามิตพื้นที่ |
4. อัตราค่าธรรมเนียม | ไม่มีอัตราค่าธรรมเนียม |
5. แบบคำขอ+เอกสารประกอบ | 1. หนังสือแจ้งความประสงค์ขอลดหย่อนภาษี 2. แบบ ภษ.01-29 3. แบบ ภษ.01-30 4. โครงสร้างต้นทุน 5. สูตรการผลิต 6. ใบกำกับภาษีซื้อ 7. บัญชีรับจ่ายสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต 8. แบบแจ้งราคาขาย |
6. ผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต | สรรพสามิตพื้นที่ |
7. ขั้นตอนการดำเนินการ | 1.ยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลดหย่อนภาษีพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นท 2.พิจารณาตรวจสอบ วิเคราะห์ฯ อนุมัติและแจ้งให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมทราบ |
8. ระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา | ขึ้นอยู่กับเอกสารประกอบการพิจารณา ประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 5 วัน เว้นแต่หน่วยงานของกรมฯ ไม่มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ต้องใช้หน่วยงานภายนอกอาจใช้เวลามากกว่า 1 เดือน |
- ดูเอกสารแบบรายการวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าที่จะขอลดหย่อนภาษีสรรพสามิต แบบ ภษ.01-29 คลิก
- ดูเอกสารแบบคำขอหักลดหย่อนภาษีสรรพสามิต สำหรับวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้า แบบ ภษ.01-30 คลิก
บทกำหนดโทษ
- ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการไม่ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิต รวมถึงไม่แจ้งย้าย เลิกโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการภายในเวลาที่กำหนดมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
- ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการไม่แสดงใบทะเบียนสรรพสามิตไว้ในที่เปิดเผย หรือใบทะเบียนชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหายแล้วไม่ยื่นคำขอรับใบแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบ และภายใน 15 วัน ในกรณีใบอนุญาตคลังสินค้าทัณฑ์บนชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท
- ผู้ใดไม่แจ้งราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม หรือราคาค่าบริการ ตามเวลาที่กำหนดมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
- กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ได้ยื่นแบบรายการภาษีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดต้องเสียค่าปรับอีก 2 เท่าของค่าภาษี กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้อง ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียขาดไป ต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของภาษีที่ขาดไป
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ชำระภาษีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับ โดยการคำนวณเพิ่มมิให้คิดทบต้นและไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับ
- ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตอบคำถามถ้อยคำอันเป็นเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดงหรือยื่นบัญชีหรือเอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 300,000 บาท
ข้อมูลกรมสรรพสามิตเพิ่มเติม
ภาษีศุลกากร
คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ หรือส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร ในกรณีนำเข้าเรียกว่า "อากรขาเข้า" และในกรณีส่งออกเรียกว่า "อากรขาออก" โดยจะจัดเก็บตามราคาหรือร้อยละของมูลค่าสินค้า และจัดเก็บตามสภาพของสินค้า ตามปริมาณ น้ำหนัก ความยาว หรือปริมาตร เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีสินค้าที่จะต้อง "ชำระอากรขาออก" เพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ ไม้ และหนังโค-กระบือ นอกนั้นอัตราอากรเป็น 0% ทั้งหมด ส่วน "อากรขาเข้า" จัดเก็บตามพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งกรมศุลกากรได้นำระบบฮาร์โมไนซ์มาใช้ในการจัดหมวดหมู่ของสินค้า โดยแบ่งย่อยเป็นหมวด ตอน ประเภท และประเภทย่อย คือแบ่งเป็น 21 หมวด 91 ตอน แต่ละตอนจะประกอบด้วยประเภทและประเภทย่อยแตกต่างกัน ซึ่งการระบุสินค้าตามระบบฮาร์โมไนซ์จะกำหนดเป็นเลข 10 หลัก โดยที่ 7 หลักแรกจะเป็นเลขที่กำหนดโดยองค์การการค้าโลก ส่วนเลข 3 หลักหลัง
เป็นรหัสสถิติที่กำหนดโดยแต่ละประเทศ
ดังนั้น เมื่อจะนำสินค้าใดเข้าหรือส่งสินค้าใดออก คุณต้องตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจนก่อนว่าสินค้านั้นๆ จัดอยู่ในพิกัดใด อัตราอากรเท่าใด เพื่อที่จะนำไปคิดคำนวณภาษีอากรที่คุณต้องจ่ายนั่นเอง อีกทั้งคุณต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนตามกฎหมายศุลกากร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกให้ครบถ้วน ดังนี้
1. ลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกผู้ผ่านพิธีการศุลกากร
ผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกจะต้องไปแสดงตนขอลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกผู้ผ่านพิธีการศุลกากร สียก่อน ซึ่งจะเป็นการลงทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ เพราะระบบจะจดจำว่าคุณได้ขอเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ก็สามารถขออนุญาตนำเข้า-ส่งออกสินค้าได้
- ดูแบบคำขอลงทะเบียนผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ประเภทบุคคลธรรมดา คลิก
- ดูแบบคำขอลงทะเบียนผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ประเภทนิติบุคคล คลิก
1.1 กรณีการขออนุญาตเป็นตัวแทนออกของ
ตัวแทนออกของ (customs broker) คือ นิติบุคคลที่ทำหน้าที่ในการเป็นผู้ติดต่อกับกรมศุลกากรแทนผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออก หรือเป็นนายหน้าในการจัดการผ่านพิธีการศุลกากรนั่นเอง
- ดูเอกสารแบบลงทะเบียนเป็นตัวแทนออกของ คลิก
2. พิธีการศุลกากรนำเข้าและส่งออก
การจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้าใดๆ ก็ตาม ผู้นำเข้าส่งออก (หรือตัวแทนออกของ) จะต้องทำพิธีการศุลกากรนำเข้าและส่งออกด้วย ซึ่งช่องทางสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า ได้แก่ ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ และทางไปรษณีย์
ทั้งนี้ การจัดเตรียมเอกสารและปฏิบัติตามขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้า มีดังนี้
2.1 พิธีการนำเข้า
ประเภทใบขนสินค้าขาเข้า
เป็นแบบพิมพ์ที่กรมศุลกากรกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องยื่นต่อกรมศุลกากรในการนำเข้าสินค้า ซึ่งจำแนกออกเป็น 9 ประเภท ตามลักษณะการนำเข้า
(1) แบบ กศก. 99/1 ใบขนสินค้าขาเข้า พร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าทั่วไปทุกประเภทที่กรมศุลกากรไม่ได้กำหนดให้ใช้ใบขนสินค้าประเภทอื่น
(2) แบบ กศก. 102 ใบขนสินค้าขาเข้าพิเศษ พร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าทางอากาศยานหรือพิธีการอื่นที่กรมศุลกากรกำหนด สำหรับของที่นำเข้าในลักษณะเฉพาะ เช่น การนำเข้าสัตว์เลี้ยงมีชีวิต เป็นต้น
(3) แบบ กศก. 103 คำร้องขอผ่อนผันรับของ/ส่งของออกไปก่อน ใช้สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าก่อนปฏิบัติพิธีการครบถ้วนตามที่กรมศุลกากรกำหนด
(4) แบบ A.T.A. Carnet ใบขนสินค้าสำหรับนำของเข้าหรือส่งของออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าชั่วคราวประเภทต่างๆ ตามที่ระบุในอนุสัญญา
(5) แบบ JDA (Joint Development Area) ใบขนสินค้าสำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ใช้สำหรับการนำเข้าสินค้าในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
(6) แบบใบแนบ 9 ใบขนสินค้าถ่ายลำ ใช้สำหรับพิธีการสินค้าถ่ายลำ
(7) แบบที่ 448 ใบขนสินค้าผ่านแดน ใช้สำหรับพิธีการสินค้าผ่านแดน
(8) ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำรถยนต์และจักรยานยนต์เข้ามาในประเทศหรือส่งออกชั่วคราว
(9) ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับเรือสำราญและกีฬาที่นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการนำเรือสำราญและกีฬาเข้ามาในประเทศหรือส่งออกชั่วคราว
เอกสารที่ควรจัดเตรียมในการนำเข้าสินค้า
- สำหรับพิธีการชำระอากร พิธีการวางประกัน พิธีการขนถ่ายข้างลำ พิธีการคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร ต้องมีเอกสารประกอบ ได้แก่
- ต้นฉบับใบขนสินค้าขาเข้า (กศก. 99/1) พร้อมสำเนา 1 ฉบับ เว้นแต่กรณีที่กรมศุลกากรกำหนดให้มีการจัดทำคู่ฉบับเพิ่ม เช่น สำหรับการนำเข้าอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน กรณีดังกล่าวต้องมีสำเนาใบขนสินค้าขาเข้า 2 ฉบับ
- ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading or Air Waybill)
- บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
- แบบธุรกิจต่างประเทศ (ธ.ต.2) (Foreign Transaction Form) กรณีมูลค่าของนำเข้าเกินกว่า 500,000 บาท
- แบบแสดงรายละเอียดราคาศุลกากร (กศก. 170)
- ใบสั่งปล่อยสินค้า (กศก.100/1)
- บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List)
- ใบแจ้งยอดเบี้ยประกัน (Insurance Premium Invoice)
- ใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการนำเข้า
- ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) กรณีขอลดอัตราอากร
- เอกสารอื่นๆ เช่น เอกสารแสดงส่วนผสม คุณลักษณะและการใช้งานของสินค้า แค็ตตาล็อก เป็นต้น
- พิธีการหลายเที่ยวเรือ ต้องเพิ่มพิมพ์เขียว (BLUE PRINT) แบบแปลน แบบพิมพ์ หรือเอกสารประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ทำใบขนสินค้าหลายเที่ยวเรือ
- พิธีการขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ ต้องเพิ่มสำเนาใบขนสินค้าขาเข้า (กศก.99/1) อีก 1 ฉบับ
- พิธีการส่งเสริมการลงทุนต้องเพิ่มหนังสืออนุมัติให้ยกเว้นหรือลดหย่อนอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
- พิธีการคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไป ต้องเพิ่มเอกสาร ดังนี้
- คำขออนุญาตนำของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไป (แบบที่ 369)
- คำขออนุญาตนำของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไป ตามแบบที่กรมศุลกากรกำหนด
- พิธีการคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้า กรณีนำเข้าโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้รับอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้า ต้องเพิ่มคำขออนุญาตนำของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้า
- พิธีการสินค้าส่งกลับ (RE-EXPORT) กรณีอยู่ในอารักขาของศุลกากร
ต้องเพิ่มเอกสารดังนี้ คือ
- คำร้องขอผ่อนผันทำใบขนสินค้าส่งกลับ (RE-EXPORT) ชำระอากร 1 ใน 10
- ใบขนสินค้าขาออก (กศก.101/1) พร้อมเอกสารประกอบ
- พิธีการนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก (EPZ) ต้องเพิ่มเอกสารดังนี้
- แบบ กนอ.02-1 กรณีสินค้านำเข้าเป็นวัตถุดิบ
- แบบ กนอ.02-1 และ กนอ.101 กรณีสินค้านำเข้าเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสินค้าดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือการค้าเพื่อส่งออก
ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการนำเข้าสินค้า
1. ผู้นำเข้าหรือตัวแทนบันทึกข้อมูลบัญชีราคาสินค้า (Invoice) ทุกรายการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองหรือผ่าน Service Counter โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะแปลงข้อมูลบัญชีราคาสินค้าให้เป็นข้อมูลใบขนสินค้าโดยอัตโนมัติ และให้ผู้นำเข้าหรือตัวแทนส่งเฉพาะข้อมูลใบขนสินค้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร
2. เครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรจะตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นในใบขนสินค้าที่ส่งเข้ามา เช่น ชื่อและที่อยู่ผู้นำของเข้า เลขประจำตัวผู้เสียภาษี พิกัดอัตราศุลกากร ราคา เป็นต้น ถ้าพบว่าข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้าที่ส่งมาไม่ถูกต้อง เครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรจะแจ้งกลับไปยังผู้นำเข้าหรือตัวแทนเพื่อให้แก้ไขให้ถูกต้อง
3. เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรตรวจสอบข้อมูลในใบขนสินค้าที่ส่งมาถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะออกเลขที่ใบขนสินค้าขาเข้า พร้อมกับตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ ที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ เพื่อจัดกลุ่มใบขนสินค้าขาเข้าในขั้นตอนการตรวจสอบพิธีการเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้ แล้วแจ้งกลับไปยังผู้นำเข้าหรือตัวแทน เพื่อจัดพิมพ์ใบขนสินค้า ใบขนสินค้าขาเข้าที่ไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์จะสั่งการตรวจ หลังจากนั้น ผู้นำเข้าหรือตัวแทนสามารถนำใบขนสินค้าขาเข้าไปชำระค่าภาษีอากรและรับการตรวจปล่อยสินค้าได้ ใบขนสินค้าขาเข้าที่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ ผู้นำเข้าหรือตัวแทนต้องนำใบขนสินค้าไปติดต่อกับหน่วยงานประเมินอากรของท่าที่นำของเข้า
4. ผู้นำเข้าหรือตัวแทนต้องจัดเก็บข้อมูลบัญชีราคาสินค้าตามวรรคแรกในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์เป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 6 เดือน เพื่อใช้สำหรับการตรวจสอบใบขนสินค้าหลังการตรวจปล่อย โดยให้สามารถจัดพิมพ์เป็นรายงานเมื่อกรมศุลกากรร้องขอ ดังนี้
4.1 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST BY DECLARATION ITEM
4.2 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST BY INVOICE ITEM
4.3 IMPORT/EXPORT INVOICE LIST
2.2 พิธีการส่งออก
ในการส่งออกสินค้า ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่กรมศุลกากรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกกำหนดไว้ให้ครบถ้วน เช่นเดียวกับการนำเข้า
ประเภทใบขนสินค้าขาออก
เป็นแบบพิมพ์ที่กรมศุลกากรกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นต่อกรมศุลกากรในการส่งออกสินค้า ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ประเภท ตามลักษณะการส่งออก ดังนี้
1. แบบ กศก.101/1 ใบขนสินค้าขาออก ใช้สำหรับการส่งออกในกรณี ดังต่อไปนี้
- การส่งออกสินค้าทั่วไป
- การส่งออกของส่วนบุคคลและเอกสิทธิ์
- การส่งออกสินค้าประเภทส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- การส่งออกสินค้าจากคลังสินค้าทัณฑ์บน
- การส่งออกสินค้าที่ขอชดเชยค่าภาษีอากร
- การส่งออกสินค้าที่ขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ
- การส่งออกสินค้าที่ต้องการใบสุทธินำกลับ
- การส่งสินค้ากลับออกไป (RE-EXPORT)
2. แบบ กศก.103 คำร้องขอผ่อนผันรับของ/ส่งของออกไปก่อน ใช้สำหรับการขอส่งสินค้าออกไปก่อนปฏิบัติพิธีการใบขนสินค้าขาออกในลักษณะที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ในประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ.2544
3. แบบ A.T.A. Carnet ใบขนสินค้าสำหรับนำของเข้าหรือส่งของออกชั่วคราว ใช้สำหรับพิธีการส่งของออกชั่วคราวในลักษณะที่กำหนดในอนุสัญญา
4. ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการส่งออกรถยนต์และจักรยานยนต์ชั่วคราว
เอกสารที่ผู้ส่งออกควรจัดเตรียมในการส่งออกสินค้า
- ใบขนสินค้าขาออก ประกอบด้วยต้นฉบับและสำเนา 1 ฉบับ
- บัญชีราคาสินค้า (Invoice) 2 ฉบับ
- แบบธุรกิจต่างประเทศ (Foreign Transaction Form): ธต.1 จำนวน 2 ฉบับ กรณีสินค้าส่งออกมีราคา FOB เกิน 500,000 บาท
- ใบอนุญาตส่งออกหรือเอกสารอื่นใดสำหรับสินค้าควบคุมการส่งออก
- เอกสารอื่นๆ (ถ้ามี)
ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการส่งออกสินค้า
- ผู้ส่งออกหรือตัวแทนส่งข้อมูลใบขนสินค้าขาออกและบัญชีราคาสินค้า (Invoice) ทุกรายการจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ส่งออกหรือตัวแทนมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร โดยผ่านบริษัทผู้ให้บริการระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์
- เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรตรวจสอบข้อมูลในใบขนสินค้าขาออกส่งมาถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะออกเลขที่ใบขนสินค้าขาออกและตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ เพื่อจัดกลุ่มใบขนสินค้าขาออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้และแจ้งกลับไปยังผู้ส่งออกหรือตัวแทน เพื่อจัดพิมพ์ใบขนสินค้า
ใบขนสินค้าขาออกที่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line) สำหรับใบขนสินค้าประเภทนี้ ผู้ส่งออกหรือตัวแทนต้องนำใบขนสินค้าไปติดต่อกับหน่วยงานประเมินอากรของท่าที่ผ่านพิธีการ
ใบขนสินค้าขาออกที่ไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line) สำหรับใบขนสินค้าขาออกประเภทนี้ ผู้ส่งออกสามารถชำระค่าอากร (ถ้ามี) และดำเนินการนำสินค้าไปตรวจปล่อยเพื่อส่งออกได้เลยโดยไม่ต้องไปพบเจ้าหน้าที่ประเมินอากร
น่ารู้...เรื่องการส่งออกสินค้า
- ถ้าสินค้าที่ส่งออกเป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกประสงค์จะนำกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกภายในหนึ่งปีโดยขอยกเว้นอากรขาเข้า ให้เพิ่มคู่ฉบับใบขนสินค้าขาออกอีกหนึ่งฉบับเพื่อใช้เป็นหลักฐานที่เรียกว่า ‘ใบสุทธินำกลับ’ เพื่อเป็นหลักฐานในการนำสินค้ากลับเข้ามา
- การส่งน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ผลิตในราชอาณาจักรไปจำหน่ายยังต่างประเทศและผู้ส่งออกต้องการขอคืนภาษีน้ำมันของกรมสรรพสามิต ให้เพิ่มคู่ฉบับใบขนสินค้าขาออกอีกหนึ่งฉบับและเขียนหรือประทับตรายางมีข้อความว่า ‘ขอคืนภาษีน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์น้ำมัน’ ไว้ตอนบนใบขนสินค้าขาออกและคู่ฉบับ
- สำหรับท่ากรุงเทพ การส่งสินค้า Re-Export ไปยังประเทศ สปป.ลาว และประสงค์จะขอคืนอากรขาเข้า ให้เพิ่มคู่ฉบับใบขนสินค้าขาออกอีก 1 ฉบับ แนบติดกับต้นฉบับใบขนสินค้าขาออกด้วย
- การส่งออกที่ผู้ส่งออกประสงค์จะได้เอกสารส่งออกจากกรมศุลกากรเพื่อขอรับเงินชดเชยอากร จะต้องยื่นคู่ฉบับใบขนสินค้าขาออกอีก 1 ฉบับ ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ มีสีน้ำเงินที่มุมทั้ง 4 มุม
- สินค้าส่งออกที่ขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ จะต้องยื่นใบแนบใบขนสินค้าขาออก เพื่อขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ
- สถานที่สำหรับตรวจสินค้าขาออก มีดังนี้
- ท่าศุลกสถาน (สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าขาออก) หรือ ณ ทำเนียบท่าเรือที่ได้รับอนุมัติสำหรับการนำเข้า-ส่งออก
- งานตรวจคอนเทนเนอร์และสถานีตรวจสอบขาออก (Main Gate) ฝ่ายตรวจสินค้าที่ 2 ภายในบริเวณท่าเรือกรุงเทพ
- สถานีตรวจและบรรจุสินค้าเข้าคอนเทนเนอร์ เพื่อการส่งออก (สตส. LCY.)
- สำหรับข้าว แร่ ยาง ณ โรงเก็บข้าว โรงสีข้าว โรงเก็บแร่ โรงเก็บ ยาง อันได้รับอนุมัติตามมาตรา 7(4) แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469
- โรงพักสินค้าสำหรับตรวจของขาเข้า และบรรจุของขาออกที่ ขนส่งโดยระบบคอนเทนเนอร์ นอกเขตท่าทำเนียบท่าเรือ (รพท. หรือ I.C.D./INLAND CONTAINER DEPOT)
- ทำเนียบท่าเรือเอกชน
- เขตอุตสาหกรรมส่งออกต่างๆ
- โรงงานหรือสถานประกอบการของผู้ส่งออก
- ด่านศุลกากรภูมิภาคต่างๆ
ดูเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
- พิธีการศุลกากรทางอากาศยาน คลิก
- พิธีการศุลกากรทางเรือ คลิก
- พิธีการศุลกากรทางบก คลิก
- พิธีการศุลกากรทางไปรษณีย์ คลิก
- ตัวอย่างใบแจ้งรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ คลิก
- ตัวอย่างคำร้องขออุทธรณ์การประเมินราคา/ภาษีอากร คลิก