เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย โดยเฉพาะใกล้เข้าสู่เดือนเมษายนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนจัดที่สุด ซึ่งอาจส่งผลให้พบ “โรคลมแดด” ได้บ่อยขึ้น มาเรียนรู้กันว่าอาการของโรคลมแดดเป็นอย่างไร สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตมีอะไรบ้าง และจะสามารถป้องกันโรคลมแดดได้อย่างไร
- โรคลมแดดคืออะไร
- อาการของโรคลมแดด
- แนวทางการรักษาโรคลมแดด
- เคล็ดลับในการหลีกเลี่ยงโรคลมแดด
โรคลมแดดคืออะไร
โดยปกติร่างกายของมนุษย์จะมีการรักษาความสมดุลของอุณหภูมิระหว่างความร้อนจากร่างกายและสภาพแวดล้อม โดยอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง 36 ถึง 37.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งวัน ทั้งนี้การระบายเหงื่อถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความร้อนที่มากเกินไป
โรคลมแดดเกิดจากความล้มเหลวในการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ (thermoregulation) ส่งผลให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการต่างๆ ซึ่งหากอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
โรคลมแดดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1) โรคลมแดดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังกายหนัก (classical heatstroke or non-exertional heatstroke: NEHS) โรคลมแดดประเภทนี้เกิดจากความร้อนในสิ่งแวดล้อมที่มากเกินไป มักพบได้ บ่อยในผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังซึ่งทำให้ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนและการขาดน้ำได้
โรคลมแดดประเภทนี้ยังสามารถเกิดขึ้นกับคนในทุกๆ วัย โดยเกิดจากยารักษาโรคบางชนิด หรือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
2) โรคลมแดดที่เกิดจากการใช้กำลังกายหนัก (exertional heatstroke: EHS) เช่น การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป มักเกิดขึ้นกับคนอายุน้อย นักกีฬา และทหารเกณฑ์ที่ฝึกหนักในอากาศร้อนจัดและสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
อาการของโรคลมแดด
โรคลมแดดไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่สัมผัสกับอากาศร้อน แต่เกิดขึ้นจากการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดเป็นเวลานานหรือใช้กำลังกายในอุณหภูมิที่ร้อนสูง ซึ่งเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น อาจเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนแรงและคลื่นไส้ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น สับสน พูดไม่ชัดเจน กระสับกระส่าย หรือเห็นภาพหลอน หากรุนแรงมากอาจทำให้เกิดการชักเกร็งและมีอาการโคม่าได้ในที่สุด สังเกตได้ว่าเมื่อสัมผัสผู้ที่มีอาการจะพบตัวร้อนมากและมีผิวสีแดงกว่าปกติ (flushing)
แนวทางการรักษาโรคลมแดด
ผู้ป่วยโรคลมแดดควรได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเป้าหมายของการรักษาคือการลดอุณหภูมิภายในร่างกายของผู้ป่วย เช่น การใช้น้ำพรมตามร่างกายและใช้พัดลมเป่าให้น้ำระเหย หรือการใช้ถุงน้ำแข็งประคบตามรักแร้ คอ หลังและขาหนีบ
ทั้งนี้หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเกิดอาการที่รุนแรงและบางครั้งอาจไม่กลับมาเป็นปกติได้ ยิ่งผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษานานเท่าใด โอกาสในการเสียชีวิตจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เคล็ดลับในการหลีกเลี่ยงโรคลมแดด
หากอยู่ในที่อุณหภูมิสูง สามารถหลีกเลี่ยงโรคลมแดดได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายสามารถทำตัวให้เย็นลงได้ตามธรรมชาติผ่านทางเหงื่อ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากเพิ่มการขับน้ำทางปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากขึ้น
- สวมใส่เสื้อผ้าที่เบาบางและไม่รัดแน่นจนเกินไป ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่เย็นอย่างเหมาะสม
- อย่าใช้กำลังกายมากเกินไปในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน ให้ทำงานที่ใช้กำลังมากที่สุดในตอนเช้าหรือตอนเย็นเมื่ออุณหภูมิเย็นลง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีแดดจัด รวมถึงการนั่งในรถยนต์ที่จอดไว้ถึงแม้จะเปิดกระจกทิ้งไว้หรือจอดรถยนต์ไว้ในที่ร่มก็ตาม เพราะอุณหภูมิในรถยนต์สามารถร้อนจัดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เรียบเรียงโดย นพ.ชลทิตย์ จงบุญประเสริฐ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:- ศูนย์ฉุกเฉิน
Tel: 02 011 5222
โรคลมร้อน หรือ Heatstroke มักพบในช่วงหน้าร้อน โดยเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทันที โดยโรคนี้เมื่อเกิดอาการควรได้รับการรักษาทันทีเนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
บุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ที่จะเป็นโรคลมร้อน ได้แก่ ทหารที่ไม่ได้เตรียมร่างกายเพื่อเข้ารับการฝึก นักกีฬาที่ออกกำลัง และผู้ที่ทำงานในอากาศร้อนจัด
อาการของโรคลมร้อน
- มีไข้สูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ หน้ามืด เมื่อยล้า อ่อนเพลีย และอาจหมดสติได้
- มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ชัก เพ้อ เดินโซเซ ตอบสนองช้า พูดจาสับสน
- ไม่มีเหงื่อออก จากผลของต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติทำให้ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้น
- อาจพบปัสสาวะสีเข้มผิดปกติจากภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย และอาจเกิดภาวะไตวายตามมาได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
หลักการสำคัญที่สุดในการปฐมพยาบาล คือ การทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงให้เร็วที่สุดก่อนนำส่งโรงพยาบาล เช่น ย้ายผู้ป่วยมาในที่ร่ม จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนหงาย ยกขาสูง ถอดเสื้อผ้า แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณหลังคอ รักแร้ ขาหนีบ และนำพัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยรู้สึกตัวให้ดื่มน้ำเกลือให้มากที่สุดเพื่อทดแทนภาวะการขาดน้ำ จากนั้นรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
การป้องกันภาวะลมร้อน
- ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายและบาง อากาศถ่ายเทได้ดี
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
- หากเล่นกีฬาเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแดด ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด
ข้อมูลจาก : นพ. พีรวิชญ์ จีรทีปตานนท์
สอบถามช้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกผู้ป่วยฉุกเฉิน ชั้น 1 โซน A
โรคลมร้อน หรือ Heatstroke มักพบในช่วงหน้าร้อน โดยเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทันที โดยโรคนี้เมื่อเกิดอาการควรได้รับการรักษาทันทีเนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
บุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ที่จะเป็นโรคลมร้อน ได้แก่ ทหารที่ไม่ได้เตรียมร่างกายเพื่อเข้ารับการฝึก นักกีฬาที่ออกกำลัง และผู้ที่ทำงานในอากาศร้อนจัด
อาการของโรคลมร้อน
- มีไข้สูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ หน้ามืด เมื่อยล้า อ่อนเพลีย และอาจหมดสติได้
- มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ชัก เพ้อ เดินโซเซ ตอบสนองช้า พูดจาสับสน
- ไม่มีเหงื่อออก จากผลของต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติทำให้ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้น
- อาจพบปัสสาวะสีเข้มผิดปกติจากภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย และอาจเกิดภาวะไตวายตามมาได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
หลักการสำคัญที่สุดในการปฐมพยาบาล คือ การทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงให้เร็วที่สุดก่อนนำส่งโรงพยาบาล เช่น ย้ายผู้ป่วยมาในที่ร่ม จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนหงาย ยกขาสูง ถอดเสื้อผ้า แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณหลังคอ รักแร้ ขาหนีบ และนำพัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยรู้สึกตัวให้ดื่มน้ำเกลือให้มากที่สุดเพื่อทดแทนภาวะการขาดน้ำ จากนั้นรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
การป้องกันภาวะลมร้อน
- ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายและบาง อากาศถ่ายเทได้ดี
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
- หากเล่นกีฬาเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแดด ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด
ข้อมูลจาก : นพ. พีรวิชญ์ จีรทีปตานนท์
สอบถามช้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกผู้ป่วยฉุกเฉิน ชั้น 1 โซน A