เคยเห็นในละครเวลาคนตั้งท้องมักจะอยากกินของเปรี้ยว แถมประจำเดือนก็ขาดอีกแบบนี้ต้องท้องแน่! ใครที่มีอาการแบบนี้อยู่ต้องใจเย็นไว้ค่ะทุกคนและไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะอาการคนท้องไม่ได้มีแค่สองอย่างนี้เท่านั้นนะ ต้องมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยค่ะ วันนี้ Wongnai Beautyพามาเช็กอาการคนท้อง 1-4 สัปดาห์แรก แท้จริงคนท้องเค้ามีอาการยังไงกันบ้าง
พร้อมบอกวิธีการรับมือสำหรับคุณแม่มือใหม่ มาดูกันดีกว่าว่า #อาการแบบนี้ท้องไม่ท้อง
เช็กให้ชัวร์! อาการคนท้อง 1-2 สัปดาห์แรกมีอะไรบ้าง
คุณแม่มือใหม่อาจจะยังไม่รู้ตัว
แท้จริงแล้วเรากำลังตั้งท้องอยู่มั้ยนะ? แน่นอนว่าอาการของคนท้องในระยะเริ่มต้นประมาณ 1-2 สัปดาห์แรกจะมีอาการยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่มีอาการที่พอจะสังเกตได้ ดังนี้ค่ะ
- ประจำเดือนขาด : เป็นที่รู้กันว่าเกิดประจำเดือนขาดเมื่อไร เป็นอันต้องกังวลเป็นแน่ ส่วนใหญ่แล้วถ้าผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้วประจำเดือนเกิดขาดหายไปนานเกินกว่า 10 วันอาจจะเป็นสัญญาณแรกที่บอกว่ากำลังตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปนะคะเพราะบางทีอาจจะเกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น ความเครียด หรือโรคเกี่ยวกับรังไข่ เป็นต้น
- เต้านมและหัวนมมีการเปลี่ยนแปลง : หลังประจำเดือนขาด 1 อาทิตย์ อาการต่อมาก็เริ่มเจ็บแปลบที่หัวนมจะรู้สึกได้เมื่อสัมผัสโดนเสื้อชั้นใน เริ่มมีปุ่มเล็ก ๆ มากมายเกิดขึ้นบริเวณรอบหัวนมหรือเกิดอาการคัดเต้านม รวมถึงมีเส้นเลือดบริเวณเต้านมนูนขึ้นมาและมีสีเข้มขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปหลังการตั้งครรภ์ 3 เดือนค่ะ
- มีตกขาว (ไม่เป็นอันตราย) : สาว ๆ ที่กำลังเริ่มตั้งครรภ์ส่งผลให้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เกิดการตกขาวมากขึ้น ไม่ต้องตกใจไปค่ะ ลักษณะของตกขาวโดยทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย ก็จะเป็นของเหลวลักษณะเป็นมูกมีสีขาวขุ่นหรือสีครีม ถือว่าเป็นปกติ สิ่งสำคัญเลยต้องรักษาความสะอาดให้มากขึ้น แต่ถ้าเกิดมีการตกขาวสีเขียว สีเหลืองรวมถึงมีอาการคันร่วมด้วย ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นสาว ๆ ต้องรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูนะคะ
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ : อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกได้ว่าเริ่มเป็นคุณแม่มือใหม่นั่นคืออาการลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ นั่นเองค่ะ ด้วยความที่ตั้งครรภ์ใหม่ 1-2 สัปดาห์แรก ร่างกายจะสร้างของเหลวขึ้นมามากขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อย อาการแบบนี้จะเป็นอีกทีในช่วงใกล้คลอดค่ะ
- อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น : เนื่องจากร่างกายต้องเตรียมพร้อมสำหรับตัวอ่อนที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่นเองค่ะ ที่ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เพราะต้องเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้มากขึ้น เพื่อสร้างเนื้อเยื่อและออกซิเจนที่เพียงพอต่อเด็กในท้องนั่นเอง อาการนี้อาจทำให้คุณแม่มือใหม่รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนจะมีไข้ ก็ให้สบายใจได้ เพราะไม่ถือว่าผิดปกติค่ะ เพียงแต่ต้องดื่มเยอะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ อาการก็จะดีขึ้นเอง
- ปวดหลัง : ปวดหลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยจะปวดบริเวณหลังล่าง ร่วมถึงมีตะคริวร่วมด้วย ซึงมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของกล้ามเนื้อหลังส่วนกลาง แนะนำว่าให้ปรับท่านอน นอนตะแคงหรือใช้หมอนข้างสำหรับรองขา หากปวดจนทนไม่ไหว ไม่ควรซื้อยากินเองนะคะ ให้รีบพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ
- ปวดหัว เวียนหัว : ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือปวดหัวได้ อาการปวดศีรษะอาจจะปวดมากขึ้น ถ้ามีความเครียดหรือความวิตกกังวล วิธีการดูแลตัวเองง่าย ๆ ก็แค่กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนเยอะ ๆ รับออกซิเจนหรืออากาศบริสุทธิ์อย่างเพียงพอ ลดความเครียดลง งดจ้องจอนาน ๆ ก็จะช่วยให้อาการปวดหัวทุเลาลงได้
- มีเลือดออกกะปริดกระปรอย : หรือที่เรียกกันว่าเลือดล้างหน้าเด็ก เลือดนี้อาจจะคล้ายกับประจำเดือนและทำให้สับสนได้ เลือดล้างหน้าเด็ก เกิดจากตัวอ่อนที่ปฏิสนธิหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 10-14 วัน ฝังตัวเองลงไปที่โพรงมดลูก ทำให้หลอดเลือดบริเวณมดลูกแตกออก เกิดเป็นเลือดกะปริดกระปรอยออกมา เป็นระยะเวลา 1-2 วัน แต่อาการนี้อาจจะไม่ได้เป็นทุกคน
อาการคนท้อง ที่เพิ่มมาใน 2-4 สัปดาห์
- ปวดหน่วง ๆ ที่มดลูก : อาการนี้จะเป็นอาการคล้าย ๆ กับการเป็นประจำเดือน แต่อาการของคนท้อง จะเป็นอาการปวดเนื่องจากมดลูกที่การขยายตัว เพราะตัวอ่อน
- หายใจถี่กว่าปกติ : เพราะร่างกายต้องการออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะมากขึ้น และใช้ในกระบวนการ การผลิตและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย อาจจะทำให้คุณแม่หายใจถี่มากกว่าคนปกติ
- ท้องผูกหรือท้องอืดมากกว่าปกติ : รู้สึกไม่สบายท้องก็เป็นอีกหนึ่งอาการของคนท้อง เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเข้าสู่สภาวะการตั้งครรภ์ จะมีอาการอาหารย่อยยาก ย่อยได้ช้าลง มีลมในกระเพาะมาก และอาจจะทำให้ตัวเริ่มบวมขึ้น แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงก็จะช่วยได้ค่ะ
- เมื่อยล้าอ่อนเพลียง่าย เหนื่อย : จะรู้สึกเหนื่อยง่ายในขณะทำงาน ต้องใช้แรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงนี้ก็อาจจะลดกิจกรรมระหว่างวันไปก่อน ควรทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ
- อยากกินของเปรี้ยวหรืออยากกินของแปลก ๆ : หนึ่งในอาการคลาสสิกที่คนท้องมี บางคนอยากอาหารที่มีรสเปรี้ยวมากขึ้นหรืออยากกินของแปลกโดยบอกไม่ได้ว่าทำไมถึงอยากกิน อย่างบางคนอยากกินดิน อยากกินกระดาษ ทั้งนี้เป็นเพราะฮอร์โมนคนท้องนั่นเองค่ะ
- อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย : เป็นอาการที่กำลังเข้าสู่ช่วงสภาวะตั้งครรภ์ระยะแรก เมื่อผ่านพ้นระยะนี้ไปก็จะกลับสู่สภาวะปกติ ดังนั้นให้คุณแม่มือใหม่หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำ ก็จะให้ทั้งคนใกล้ตัวและคุณแม่เครียดลดลงค่ะ
- ไวต่อกลิ่น : อาการนี้เรียกว่า "Super Smell" จะมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ กลิ่นน้ำหอมที่เคยหอมอาจจะเหม็นเอาได้และจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนตามมาด้วยค่ะ
- ความต้องการทางเพศเปลี่ยนไป : บางรายอาจจะมีความต้องการทางเพศลดลง หรือบางรายอาจจะเพิ่มขึ้น จะเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในไตรมาสที่สอง
วิธีการดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์แล้ว ต้องทำยังไงดี
เมื่อสังเกตอาการเรียบร้อยแล้ว หากรู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นคุณแม่มือใหม่ อาจจะยังงง ๆ ทำอะไรไม่ถูก ไม่ต้องตกใจไปค่ะ วันนี้เราจะมีวิธีการรับมือและดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์กันมาฝากกันด้วย มาดูกันดีกว่าคนท้องต้องทำอะไรบ้างก่อน-หลัง
- เริ่มแรกเลยต้องไปฝากครรภ์ในโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้บ้านก่อนค่ะ และไปตามหมอนัดทุกครั้ง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุด รวมถึงเช็กความเสี่ยงที่จะเกิดต่อทั้งแม่และเด็กอีกด้วย
- ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้แข็งแรง เนื่องจากคนท้อง อาจจะมีความอ่อนไหวมากกว่าปกติ จึงต้องเอาใจใส่กับสุขภาพกายและสุขภาพจิตมากกว่าคนทั่วไป อาการหงุดหงิดง่ายของคนท้อง ทำให้คนรอบข้างหงุดหงิดไปด้วยได้ ถ้าไม่อยากให้บรรยากาศในบ้านแย่ลง ก็ต้องใจเย็น ๆ และมีสติ ตามอารมณ์ตัวเองให้ทัน พยายามไม่คิดมากหรือไม่เครียด
- เตรียมลิสต์รายชื่อสิ่งของที่จำเป็นไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถเตรียมตัวได้ทันที อย่างเวลาไปนอนโรงพยาบาล ก็ต้องเตรียมเสื้อผ้า เอกสาร หรือของที่จำเป็นไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- คนท้องก็สามารถออกกำลังกายได้ แต่ไม่ควรออกกำลังกายที่หนักและหักโหมเกินไป ควรเล่นอะไรเบา ๆ อย่างโยคะ เพื่อรักษาสุขภาพทั้งแม่และเด็กให้แข็งแรง
- เตรียมตัวให้พร้อม เพราะการเป็นแม่คน ไม่ใช่แค่การคลอดลูกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาระและบทบาทอันยิ่งใหญ่ ที่แตกต่างไปจากเดิมด้วย ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทางจิตใจ ที่ยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบที่มากขึ้น และการจัดสรรเกี่ยวกับชีวิต ค่าใช้จ่ายที่อาจจะท้าทายชีวิตมากกว่าเดิม
คนท้องห้ามกินอะไรบ้าง?
คุณแม่มือใหม่ที่กำลังตั้งท้อง ก็มักจะมีคำถามบ่อย ๆ ว่าอะไรกินได้บ้าง หรือมีอาหารอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงบ้าง? อาหารที่คนท้องกินไม่ได้ ก็มีดังนี้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะส่งผลต่อการเติบโตของเด็ก และส่งผลต่อระบบสมองของเด็กได้ อาจจะทำให้เด็กเกิดมามีสุขภาพที่อ่อนแอ และทำให้เสี่ยงต่อการแท้งได้
- อาหารรสจัด คุณแม่มือใหม่หลาย ๆ คน อาจจะอยากกินอาหารรสจัด อย่างยำมะม่วง ใส่พริกเยอะ ๆ ส้มตำปูปลาร้าแซ่บ ๆ แก้อาการเปรี้ยวปาก อาหารเหล่านี้สามารถกินได้ แต่ไม่ควรบ่อย เพราะมีโซเดียมสูง อาจจะทำให้ท้องอืดและไม่สบายตัวมากกว่าเดิมได้
- อาหารสำเร็จรูป ก็มีโซเดียมสูงเช่นกัน อาจจะทำให้ตัวบวมมากกว่าเดิม และทำให้รู้สึกอึดอัด
- ผักเครือเถา หรือผักที่มีสาร Purine สูง อย่างตำลึง ยอดบวบ ยอดฟักแม้ว ยอดมะระ ยอดใบชะพลู สามารถกินได้ แต่ไม่ควรกินเยอะเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคเก้าต์ได้ และจะยิ่งทรมาณมากขึ้น หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ผลไม้ที่ย่อยยากหรือรสหวานจัด อย่างทุเรียน ลำไย สับปะรด แตงโม มะม่วงสุก ผลไม้หมักดอง ผลไม้ดิบ พวกมะม่วงดิบ ฝรั่งดิบ กล้วยดิบ เป็นต้น เพราะทำให้ท้องอืด และความหวานของผลไม้ อาจจะทำให้เสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้
- ยาจีนหรือยาดอง อาจจะเป็นยาแผนโบราณที่ผู้ใหญ่ในบ้านเอามาให้กินเพื่อบำรุงครรภ์ แต่ยาบางชนิด ก็มีสารอันตรายต่อเด็กในครรภ์ ไม่ควรกินซี้ซั้ว เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า
- อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อย่างปลาดิบ ลาบเลือด ซอยจุ๊ ก็ให้งดไปก่อนในช่วงตั้งครรภ์อยู่ เนื่องจากเสี่ยงต่อพยาธิ เชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับอาหาร อาจจะทำให้ท้องเสีย และเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดได้
- อาหารแช่แข็ง ก็เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเช่นกัน เพราะเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน
- น้ำอัดลม อาจจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และเสี่ยงเบาหวานได้ ถึงจะเป็นสูตรน้ำตาลน้อย ก็อาจจะทำให้เกิดอาการติดหวานได้ และทำให้ไม่สบายตัว
- ถั่วลิสง เป็นอาหารที่ควรเลี่ยง เพราะอาจจะปนเปื้อนได้ และสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ต่อเด็กในครรภ์ได้ด้วย
อาหารที่มีประโยชน์สำหรับคนตั้งครรภ์
แน่นอนว่าสิ่งที่คุณแม่มือใหม่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คืออาหารนั่นเองค่ะ ต้องเลือกกินเป็นพิเศษเพราะอาหารเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยในท้อง เป็นส่วนช่วยที่สำคัญในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ อีกทั้งยังช่วยบำรุงให้คุณแม่แข็งแรงอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่าอาหารที่มีประโยชน์กับคุณแม่มือใหม่มีอะไรบ้าง
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ : ช่วยเรื่องการขับถ่าย สารอาหารในโยเกิร์ตจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้คุณแม่และลูก ควรเป็นโยเกิร์ตไขมันต่ำ
- อาหารที่มีโปรตีน : โปรตีนดีจำพวก เนื้อสัตว์ติดมัน เนื้อไก่ ไข่ และอาหารทะเล จะช่วยเสริมกล้ามเนื้อและป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย
- อาหารมีธาตุเหล็ก : จำเป็นมากค่ะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อ่อน ๆ ช่วยป้องกันโรคโลหิตจางได้เป็นอย่างดี พบได้ในจากตับ เลือด เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผักที่มีสีเขียวเข้มและขนมปังโฮลวีต
- ผักและสมุนไพร : สมุนไพรมีหลายชนิดมีสรรพคุณช่วยบำรุงคุณแม่มือใหม่ อย่างมะนาว ขิง ช่วยลดอาการคลื่นไส้ แพ้ท้อง หรือกระเทียมที่มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้
- ผักและผลไม้ : ขาดไม่ได้เลยสำหรับผักและผลไม้ เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยการบำรุงครรภ์และช่วยในการเจริญเติบโตของลูกน้อย ผลไม้ที่แนะนำจำพวก มะม่วง มะละกอ แอปเปิ้ล ส้ม ส่วนผักควรเป็นผักใบเขียว สามารนำไปปรุงเป็นอาหารหรือคั้นออกมาเป็นผักผลไม้ ควรกินผักผลไม้อย่างน้อย 3-5 ชนิด
- เมล็ดฟักทอง : ในเมล็ดฟักทองมีธาตุเหล็กเยอะ ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 20 เป็นต้นไปต้องการเสริมธาตุเหล็กเยอะเป็นพิเศษ
- พริกแดง : ประกอบด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงช่วยดูดซับธาตุเหล็กจากอาหารที่คุณแม่ทานเข้าไปอีกด้วย คุณแม่คนไหนอยากผิวดีพริกแดงสามารถช่วยได้ค่ะ
- ปลาซาร์ดีน : คนท้องให้กินปลา ในปลาซาร์ดีนนั้นมีวิตามินดีที่จะช่วยเสริมสร้างแคลเซียมในกระดูกซึ่งจำเป็นมากต่อพัฒนาการของเจ้าตัวเล็ก หากทานวิตามินดีไม่มากพอ จะทำให้กระดูกและฟันของลูกน้อยไม่แข็งแรง
- ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ : แน่นอนว่าน้ำเปล่าเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ตั้งท้องควรดื่มน้ำเปล่า 8-12 แก้วต่อวัน จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำไปจนถึงความไม่สบายตัวที่เกิดขึ้น อาจจะต้องทนลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยหน่อย
- อาหารครบ 5 หมู่ : สำคัญที่สุดคือการกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แบ่งปริมาณในการกินแต่ละมื้อให้พอดี กินให้ครบมื้อแต่ต้องไม่ให้อิ่มจนเกินไปที่สำคัญต้องระวังการกินเป็นอย่างมาก พยายามอย่ากินตามใจตัวเอง ไม่งั้นจะเสี่ยงกับภาวะกรดไหลย้อนเอาได้ค่ะ
คำถามที่พบบ่อย สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองตั้งครรภ์
Q1 : เมื่อไหร่ถึงจะตรวจได้ว่าท้อง ?
A : ถ้าต้องการตรวจด้วยการเจาะเลือด ให้ตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ 15 วัน หากต้องการตรวจด้วยชุดตรวจปัสสาวะ ให้ตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ 20 วันเป็นต้นไปค่ะ
Q2 : หากตรวจด้วยชุดตรวจปัสสาวะตรวจเวลาไหน เห็นผลชัดที่สุด ?
A : ควรใช้ปัสสาวะตอนเช้าหลังตื่นนอน เพราะปัสสาวะแรกจะมีฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เข้มข้นที่สุด
Q3 : ตรวจครรภ์กี่ขีด ถึงบอกว่าท้อง ?
A : หากตรวจแล้วขึ้น 1 ขีด หมายถึงยังไม่ตั้งครรภ์ หรืออาจจะตั้งครรภ์แต่ยังตรวจไม่พบ หากตรวจแล้วขึ้น 2 ขีด หรือ 2 ขีดจาง ๆ หมายถึงได้ผลบวก น่าจะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
Q4 : ประจำเดือนขาด = ท้อง ใช่ไหม? แล้วประจำเดือนขาดกี่วันถึงมีโอกาสตั้งท้อง ?
A : อาจจะไม่ได้แปลว่าท้องเสมอไป เพราะการที่ประจำเดือนขาด อาจจะหมายถึงความเครียด และฮอร์โมนผิดปกติเฉย ๆ ก็ได้ ควรตรวจซ้ำให้แน่ใจก่อน ถ้าตั้งท้องจริง ประจำเดือนจะขาดโดยประมาณ 10-14 วันหลังรอบเดือน อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่าประจำเดือนเรามาตรงรอบมั้ย ปกติผู้หญิงจะมีรอบเดือน 28 วัน/ 1 รอบ ซึ่งไข่จะตกประมาณวันที่ 14 หากเรามีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นไป 3 วัน โอกาสท้องจะมีสูงมาก หากไม่มีการตั้งครรภ์ ประจำเดือนจะมาในอีก 14 วัน ทั้งนี้ที่ประจำเดือนอาจจะเกิดจากฮอร์โมนแปรปรวนก็เป็นได้ค่ะ
Q5 : ตั้งครรภ์ มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม
A : สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติ จนถึงก่อนกำหนดคลอด 1 เดือน โดยไม่ได้ทำให้ได้ลูกแฝดแต่อย่างใด และควรหลีกเลี่ยงท่าที่มีการทับบริเวณท้อง แต่ส่วนใหญ่คนท้องจะมีอารมณ์ทางเพศที่ลดลง จึงควรขอความยินยอมก่อน
Q6 : ท้องไม่พร้อม รับมืออย่างไร
A : ก่อนอื่นเลย ควรปรึกษาคนที่ไว้ใจได้เพื่อหาทางออกร่วมกัน ว่าจะทำอย่างไร บางคนอาจจะมีความเชื่อที่อาจจะทำให้ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ได้ยาก แต่ถ้าหากปรึกษาแล้ว และคิดว่าไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ก็ขอยุติการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาล
Q7 : การขอยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยคืออายุครรภ์เท่าไหร่
A : ยิ่งเร็วยิ่งปลอดภัยต่อคุณแม่ อายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือนจะดีที่สุด