ประกันสังคม หลักการสร้างความคุ้มครองของผู้คนที่เลือกทำประกันตน โดยมีหน้าที่ในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม และ จะได้รับการรักษาหากเกิดการเจ็บป่วย หรือ อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ หรือ การคลอดบุตร และการว่างงาน เฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และมีรายได้อย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอน ในเรื่องของความคุ้มครอง รู้เพียงแต่ว่าต้องจ่ายค่าประกันสังคมทุกๆเดือน 5% ของเงินเดือน และยังได้รับสิทธิ์อะไรจากประกันสังคมบ้าง อีกทั้งประกันสังคมแต่ละประเภทนั้นต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะ ประกันสังคมมาตรา 39 กับ 40 ที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ
ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ มาตรา 39
ผู้ประกันตน คือ ผู้ใดที่เคยเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ซึ่งจ่ายเป็นเงินสมทบไม่น้อยกว่า สิบสองเดือน และต่อมาความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง สำหรับผู้ประกันตนในมาตรา 39 เป็นการประกันตนภาคสมัครใจ กรณีที่เคยทำงานในบริษัทและผู้ประกันตนในมาตรา 33 มาก่อน แต่เกิดตกงานหรือลาออก และมีความต้องการในการรับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมและจะได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และ กรณีชราภาพ
ผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 40
คือ การขยายการทำประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ และผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ทั้งกลุ่มของพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร รวมไปถึงผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ และพนักงานอิสระ เพื่อสร้างหลักและความมั่นคงในชีวิตได้ โดยผู้ที่สมัครได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 – 60 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนตามประกันสังคมมาตรา 33 และจะได้รับสิทธิประโยชน์ จากเงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อนอนโรงพยาบาล หรือ เจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพ เงินบำเหน็จชราภาพ ค่าทำศพ เงินสงเคราะห์บุตร
ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้แตกต่างกันที่ผู้ประกัน ที่จะแตกต่างกันในส่วของการได้รับผลประโยชน์ สำหรับประกันสังคมมาตราที่ 40 จะไม่ได้ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล แต่สามารถใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรคในการรักษาการเจ็บป่วยได้ แต่ผู้ที่ยื่นประกันตน มาตรา 39 นั้นจะได้ครบทั้งในส่วนของค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ ตามเงื่อนไขประกันสังคม
READ MORE :
- วิธีเบิกเงินสงเคราะห์บุตรประกันสังคม 2562
- วิธีเช็คเงินชดเชยประกันสังคมกรณีลาออก
- วิธีเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคม 2562 ออนไลน์
- ขั้นตอนการเบิกสิทธิประโยชน์ประกันสังคม-2562
HIGHLIGHTS
โดยหลักๆแล้วที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ 1️⃣ มาตรา 33 (ภาคบังคับ) สำหรับพนักงานเอกชนทั่วไป 2️⃣ มาตรา 39 (ภาคสมัครใจ) สำหรับผู้ที่ ไม่ทำงานประจำแล้ว อยากส่งเองต่อ 3️⃣ มาตา 40 (ภาคสมัครใจ) สำหรับแรงงานนอกระบบ, อาชีพอิสระ
โดยหลักๆแล้วที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ
สำหรับใคร : สำหรับพนักงานเอกชนทั่วไป
การให้ความคุ้มครอง : 7 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ตาย ว่างงาน คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ
คุณสมบัติของผู้ประกันตน : ลูกจ้างซึ่งทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
เงินสมทบของผู้ประกันตน : เงินสมทบ คือ 5% ของฐานเงินเดือน (สูงสุด 750 บาท/เดือน)
ฐานเงินที่ไว้คำนวน คือ เงินเดือนจริงที่ได้รับหรือ 15,000 โดยดูว่าจำนวนใดน้อยกว่า
สำหรับใคร : ผู้ที่เคยเป็นพนักงานเอกชนแล้วลาออก
การให้ความคุ้มครอง : 6 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ตาย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ
คุณสมบัติของผู้ประกันตน :
- เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนและออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน
- ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม
การส่งเงินสมทบ :
- เงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ คือ เดือนละ 4,800 บาท เท่ากันทุกคน
- คิดจากอัตราเงินสมทบ 9% (4,800 x 9% = 432 บาทต่อเดือน)
สำหรับใคร : ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระทุกอาชีพ
การให้ความคุ้มครอง : 3-4-5 กรณี (ขึ้นอยู่กับทางเลือกในการสมทบ)
คุณสมบัติของผู้ประกันตน :
- อายุ15 ปีเป็นต้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ (ผู้ที่มีอายุ 60-65 ปี เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. 2563)
- ทำงานแบบไม่มีนายจ้าง