ช่วงการปกครองในสมัยรัชการเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจากตะตกเริ่มเข้ามามอิทธิพลในประเทศ ดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองในด้านต่าง ๆ
การปฏิรูปบ้านเมืองใน สมัยรัชกาลที่๕ แบ่งเป็นกี่ระยะอะไรบ้าง
แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิรูประยะแรก และการปฏิรูประยะหลัง
การปฏิรูปประเทศระยะแรก
การปฏิรูปประเทศในระยะแรก รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ซึ่งศภาทั้งสองนี้มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมไปถึงยกเลิกประเพณีโบราณต่าง ๆ ไม่เห็นว่าไม่เหมาะกับสังคมสังคมในสมัยนั้น แต่สภาทั้ง 2 ปฏิบัติงานได้ไม่นานก็ต้องยุติหน้าที่ลงเนื่องจากวิกฤติการณ์วังหน้า
การปฏิรูปประเทศระยะหลัง
รัชกาลที่ 5 ได้ทรงตระหนักถึงภยันอันตรายของจากล่าอาณานิคมของประเทศโลกตะวันตก และทรงเห็นว่าการปกครองในแบบเดิมของไทยนั้นมีความล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญของบ้านเมือง จึงส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการปกครอง 2435 โดยใน พ.ศ. 2430 ได้มีการเริ่มแผนการปฏิรูปการปกครองขึ้นตามแบบแผนของตะวันตก ในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ต่อได้เปลี่ยนมาใช้คำว่ากระทรวงแทนโดยสถาปนาขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2435 และยังได้มีการประกาศแต่งตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงแต่ละกระทรวงขึ้น และยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่งต่อจากนั้นก็ได้มีการยุบกระทรวงเหลือเพียง 10 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระกรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัง กระทรวงเมือง(นครบาล) กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ
การปฏิรูปบ้านเมืองสมัย ร.๕ ด้านเศรษฐกิจ
การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง จนส่งผลให้เกิดการปฏิรูปทางด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
- มีการปรับตัวให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก เพื่อให้หลุดพ้นจากการคุกคามจากประเทศตะวันตกด้วยเหตุผลว่าเป็นประเทศที่มีความล้าหลัง ดังนั้นในการปฏิรูปบ้านเมืองให้มีความทันสมัยนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้เงินทุนอย่างมาก
- มีการปฏิรูปการคลัง เนื่องด้วยปัญหาทางด้านการคลังที่จะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปทางด้านอื่น ๆ และปัญหาในเรื่องความล้าสมัยไม่สามารถตรวจสอบได้ของการคลัง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปโดยมีการจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมพระราชทรัพย์ เป็นที่รวมงานการเก็บภาษีอากรและแจกจ่ายภาษีนั้นไปยังกรมกองต่าง ๆ มีการจัดทำงบประมาณ มีการแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และส่วนของแผ่นดิน และมีการปฏิรูประบบเงินตรา
การปฏิรูปบ้านเมืองสมัย ร.๕ ด้านสังคม
เนื่องในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปทางด้านต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยขึ้น จึงผลให้เกิดการปฏิรูปทางด้านสังคมด้วยเช่นกันคือการยกเลิกทาส โดยแผนการปฏิรูปสังคมในเรื่องของการเลิกทาสนั้นก็ได้มีการออกประกาศพระราชบัญญัติต่าง ๆ ในการยกเลิกทาส เช่น การมีธงประจำชาติครั้งแรก การออกประกาศพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรอายุลูกทาสไทย นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องขนบประเพณีในบางเรื่องอีกด้วย เช่น ประเพณีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเดิมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการจะเป็นผู้ถือน้ำและสาบานตน เปลี่ยนเป็นพระมหากษัตริย์เป็นผู้เสวยน้ำและสาบาน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ พัฒนาการด้านสังคม พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง
“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” (รัชกาล 4) ทรงเห็นว่าการเปิดให้ค้าข้าวกับชาติตะวันตกได้อย่างเสรีจะสร้างประโยชน์แก่บ้านเมืองมหาศาล และสามารถหลีกเลี่ยงภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยมที่เข้ามารุกรานประเทศได้ รัฐบาลอังกฤษจึงได้ส่ง “เซอร์จอห์น เบาว์ริง” ราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียเข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศอังกฤษกับประเทศสยาม โดยใช้ชื่อว่า “หนังสือสัญญาเซอยอนโบวริง” หรือที่มักเรียกกันทั่วไปว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริง
การปฏิรูปประเทศสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
– พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาทรงมีความทันสมัย รู้ทันความเปลี่ยนปลงของโลก และเห็นความสำคัญของการปฏิรูปประเทศ
– ประเทศไทยเป็นรัฐที่อยู่ตรงกลางระหว่างเขตอำนาจ ของอังกฤษในพม่า มลายู และเขตอำนาจของฝรั่งเศสใน เวียดนาม กัมพูชา และลาว
– ไทยเปรียบเสมือนรัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ทั้งสองชาติไม่ใช้ กำลังหักหาญยึดครองไทย เพราะเกรงว่าอาจต้องปะทะกับอีกฝ่าย
– รัฐบาลดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะที่เป็นมิตร โอนอ่อนผ่อนตาม รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรเช่น รัสเซียเพื่อมาคานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศส
– ยกเลิกธรรมเนียมที่ล้าสมัย เช่น การหมอบคลานเมื่อเข้าเฝ้าเปลี่ยนเป็นการเดิน
การหมอบกราบเปลี่ยนเป็นก้มศีรษะ ถวายคำนับ เป็นต้น
– ปฏิรูปกฎหมายและการศาล เพื่อไม่ให้ชาติตะวันตกใช้เป็นข้ออ้างแทรกแซงและยึดครองไทย
– สมัยรัชกาลที่ 4 อำนาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับตระกูลบุนนาค
– สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพยายามลดอำนาจขุนนางตระกูลบุนนาค ทำให้อำนาจของพระองค์มากขึ้น
– สมัยรัชกาลที่ 4
ทรงเริ่มเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมที่ล้าสมัย รวมทั้งการติดต่อกับชาต่างชาติ
– สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสภาที่ปรึกษา 2 สภา คือ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินกับสภาที่ปรึกษาในพระองค์
– ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง โดยเพิ่มหน่วยงานจาก 6 กรม เป็น 12 กรม ต่อมาทั้ง 12 กรม เปลี่ยนเป็น 12กระทรวง ซึ่งเป็นรากฐานของกระทรวงต่างๆ ในปัจจุบัน
– การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค ทรงยกเลิกระบบกินเมือง เมืองทั้งหลายรวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล
– การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น ทรงนำระบบการปกครองแบบสุขาภิบาลมาใช้ แต่งตั้งกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน
– ทรงตั้งเสนาบดีสภา องคมนตรีสภา และรัฐมนตรีสภา
– สมัยรัชกาลที่ 6 กลุ่มยังเติร์ก พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแต่ไม่สำเร็จ
– ทรงให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก
– สมัยรัชกาลที่ 7 ทรงเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่มีผู้ถวายความเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อม เพราะการศึกษาไม่แพร่หลายทรงวางรากฐานการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาล เพื่อให้ราษฎรรู้จักปกครองตนเอง
–
กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อการซื้อขาย
– ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์และกระทรวงการคลังในเวลาต่อมา
– บุกเบิกที่ดินเพื่อการเพาะปลูก มีการขุดคลองเพิ่ม
– มีการตั้งโรงสี และมีการส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว ส่งเสริมการเลี้ยงไหม
– เกิดโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น
– เศรษฐกิจขยายตัว และผูกพันกับเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น
–
รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการเลิกทาสใน พ.ศ. 2417 แต่ให้มีผลย้อนหลังไปถึง พ.ศ.2411
– พ.ศ.2488 ทรงประกาศยกเลิกระบบทาสในไทย ห้ามผู้เป็นไทขายตัวเป็นทาสอีกต่อไป
– ส่วนผู้เป็นทาสให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนหมดค่าตัวหรือหมดหนี้
– รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกไพร่โดยเริ่มจากการกำหนดว่าชายฉกรรจ์ที่ถูกสักขึ้นทะเบียนต้องมีอายุ 18 ปี
– ห้ามเกณฑ์แรงงานราษฎร เปลี่ยนเป็นให้จ้างแทน
– กำหนดให้ผู้ชายอายุ 18 ปี เป็นทหาร 2 ปี แล้วไม่ต้องรับราชการ (เข้าเดือน) อีกต่อไป
–
ผู้ที่ไม่เป็นทหารให้เสียเงินค่าราชการไม่เกิน 6 บาทต่อปี
– ระบบไพร่สิ้นสุดลง ไพร่มีสถานะเป็นราษฎรที่มีอิสระในการตั้งถิ่นฐานและประกอบอาชีพ
– รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอนหนังสือขึ้น
– ทรงตั้งกระทรวงธรรมการ
– รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้มีการศึกษาภาคบังคบ 4 ปี
– รัชกาลที่ 4
ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องยอมแก้ไขและทำสนธิสัญญาใหม่กับชาติตะวันตก
– รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง เพื่อเจรจาและหาพันธมิตรที่จะช่วยสนับสนุนไทย
– ทำให้ยกเลิกการมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับของต่างชาติ
– การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากแบบยังชีพเป็นระบบเศรษฐกิจการตลาด
– การเปลี่ยนแปลงประเภทสินค้าหลักของประเทศทำให้ข้าวกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญมาจนถึงปัจจุบัน
– การขยายตัวของการค้าภายในประเทศ ประกอบกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทำให้การค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว
– การพัฒนาอุตสาหกรรม และรัฐได้ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
– การปฏิรูประบบภาษีอากรและการคลัง จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์
และมีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก
– ผ่อนคลายแรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก และเป็นการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับนานาชาติ
– สิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนในบังคับ ถือเป็นความเสียเปรียบในระยะยาวมาก ซึ่งไทยก็เริ่มเจรจาเพื่อจำกัดปัญหานี้
– การเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจ พ่อค้าและนายทุนชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายและลงทุนทำธุรกิจแข่งขันกับนายทุนชาวจีน
– การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
สินค้าของตะวันตกซึ่งเป็นสินค้าแปลกใหม่ กระจายไปยังประชาชนทั้งในเมืองและชนบท ทำให้ประชาชนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตราหาซื้อสิ่งของแทนที่วิถีชีวิตแบบเดิม
การปฏิรูปประเทศสมัยรัชกาลที่ 5
- การปฏิรูปประเทศระยะแรก
– ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์
– ทรงเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการเข้าเฝ้า
– ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ - การปฏิรูปประเทศระยะที่
2
– ทดลองขยายการปกครองจาก 6 กรม เป็น 12 กรม
– พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางได้รับการศึกษาแบบใหม่มาช่วยราชการ
– ทรงจ้างชาวต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาและทำงาน
ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน
ทรงปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 หลังจากทรงทดลองมา 4 ปี โดยแบ่งเป็น 12 กระทรวง ได้แก่
- กระทรวงมหาดไทย
- กระทรวงนครบาล
- กระทรวงโยธาธิการ
- กระทรวงธรรมการ
- กระทรวงเกษตรพานิชการ
- กระทรวงยุติธรรม
- กระทรวงมุรธาธร
- กระทรวงยุทธนาธิการ
- กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
- กระทรวงการต่างประเทศ
- กระทรวงกลาโหม
- กระทรวงวัง
ด้านกฎหมายและศาล
- ปฏิรูปกฎหมายและการศาลให้เป็นแบบตะวันตก เพื่อยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
- ตั้งกระทรวงยุติธรรมเพื่อดูแลงานด้านการศาล
- ตั้งโรงเรียนกฎหมาย จ้างนักกฎหมายชาวต่างชาติมาช่วยร่างประมวลกฎหมายตามแบบตะวันตก
- พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เป็นแกนนำสำคัญในการปฏิรูปกฎหมาย
ด้านสังคม
- ทรงเลิกทาสและระบบไพร่
- ประชาชนมีอิสระในการประกอบอาชีพ ตั้งถิ่นฐาน และศึกษาเล่าเรียน
ด้านการศึกษา
- ทรงจัดระบบการศึกษาแผนใหม่แบบตะวันตก
- ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับลูกขุนนาง และราษฎร
- ตั้งกระทรวงธรรมการดูแลเรื่องศาสนาและการศึกษา
ด้านเศรษฐกิจและการคลัง
- จัดระบบเงินตราโดยใช้มาตรฐานทองคำแทนมาตรฐานเงิน
- ตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ดูแลด้านการคลังของแผ่นดิน
ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร
- มีการสร้างถนน ทางรถไฟ รถราง
- มีการขุดคูคลอง
- จัดระบบไปรษณีย์โทรเลข ไฟฟ้า ประปา และโรงพยาบาล
เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
รัชกาลที่ 6 ไม่ได้รีบร้อนทรงรอเวลาที่เหมาะสม และในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 จึงได้ทรงประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง
- ผลดีของการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
– ได้ยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี
– ต่างชาติรู้จักไทยดีขึ้น ได้รับการยกย่องให้มีฐานะเท่าเทียมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
– ได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ
– ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตก
บทบาทของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีต่อความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองของชาติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านการต่างประเทศ
–
ทรงส่งคณะราชทูตไปอังกฤษและฝรั่งเศสเพื่อเจริญพระราชไมตรี
ด้านการปรับปรุงประเทศ
– ทรงยกเลิกประเพณีเก่าๆ ที่ล้าสมัย และทรงนำความรู้ของตะวันตก มาปรับปรุงบ้านเมือง
ด้านเศรษฐกิจ
– ทรงทำสนธิสัญญากับต่างชาติ และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงกษาปณ์ผลิตเงิน
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
– ทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย และโปรดเกล้าฯ ให้ชำระและเขียนพงศาวดารขึ้นใหม่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านการปฏิรูปประเทศ
– ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล
– ทรงเลิกทาส และทรงเลิกระบบไพร่ และทรงปฏิรูปการศึกษา
ด้านการรักษาเอกราชของชาติ
– ใช้วิธีทางการทูต การทหาร และการแสวงหาความช่วยเหลือจากมหาอำนาจอื่น
– ทรงพยายามดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างอดทน และผ่อนปรน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านการสร้างชาตินิยม
– ทรงใช้วิธีการสร้างสัญลักษณ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมใจให้เกิดความรัก ความสามัคคี สำนึกในหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ และสำนึกในความเสียสละของบรรพบุรุษ
ด้านการสร้างความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม
– ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านอักษรศาสตร์ ทรงมีบทพระราชนิพนธ์มากมาย จนได้รับการถวายพระราชมัญญาว่า “พระมหาธีรราชเจ้า”
ด้านการสร้างความเป็นสากลและนำไทยเข้าสู่สังคมนานาชาติ
– ทรงกำหนดให้คนไทยมีนามสกุลใช้ ทรงเปลี่ยนธงชาติใหม่
และการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านการวางรากฐานประชาธิปไตย
– ทรงเตรียมการหลายประการเพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมีสำนึกทางการเมือง พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงทรงเต็มพระราชหฤทัย สละพระราชอำนาจของพระองค์
ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว
–
ทรงยอมลดค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์
ในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ