บทร้อยกรอง
ร้อยกรองคืออะไร
“ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ให้ความหมายไว้ว่า คือ การสอดผูกให้ติดกัน ประดิษฐ์คำ แต่งหนังสือดีให้มีความไพเราะ ร้อยและเย็บดอกไม้ให้เป็นรูปต่างๆ ” ซึ่งร้อยกรองเป็นงานเขียนที่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกภาษาแล้วจัดวางตำแหน่งถ้อยคำให้เหมาะสม ประกอบกับการฝึกบ่อยจนเกิดทักษะ ทั้งนี้เนื่องจากการเขียนร้อยกรองนั้นใช้คำได้เท่าที่ฉันทลักษณ์กำหนด ทั้งยังอาจเลยไปถึงการกำหนดคำตามเสียง / รูปวรรณยุกต์ และการกำหนดสัมผัสจึงเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนักเขียนมือใหม่ แต่ขอบอกไว้ว่า เมื่อลองเขียนคำประพันธ์ชนิดใดก็ตามได้ด้วยตนเองสักบทหนึ่ง จะพบว่าร้อยกรองเป็นเรื่องไม่ยากและงดงามกว่า ให้ความหมายกว้างและลึกซึ้งกว่าการเขียนร้อยแก้วมากมายนัก
สิ่งสำคัญที่สุดของคำประพันธ์ คือ การวางสัมผัสมารู้จักกันก่อนว่าสัมผัส มีด้วยกัน ๒ ชนิด คือ
- สัมผัสใน ทำได้โดยสัมผัสสระ เป็นการใช้สระที่เหมือนๆ กันมาสัมผัสกัน เช่น ใจ ไป อะไร ทำไม ....กลาย สาย เป็นต้น
- สัมผัสอักษร เป็นการเลือกพยัญชนะตัวสะกดเสียงเดียวกันมาสัมผัสกัน เช่น กาด ขาด คลาด......อนันต์ ฝัน จันทร เป็นต้น
- สัมผัสนอก สัมผัสนอกเป็นการแสดงความสามารถในการสร้างความงดงาม ของผู้เขียนคำประพันธ์ให้ได้สีสันทางภาษา ....
ความหมายของร้อยกรอง
คำว่า ร้อยกรอง ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Poetry บางครั้งก็เรียก บทกวี บทประพันธ์ หรือ กวีนิพนธ์ คำว่าร้อยกรอง เป็นคำที่สำนักวัฒนธรรมทางวรรณกรรม กำหนดขึ้นใช้เรียกวรรณกรรมที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง เพื่อให้เข้าคู่กับคำว่า "ร้อยแก้ว" ซึ่งเดิมบทประพันธ์ประเภทนี้ เรียกกันหลายอย่าง เช่น กลอน กาพย์ ร่าย ฉันท์ มีถ้อยคำมาประกอบประพันธ์กัน มีขนาดมาตราเสียงสูงต่ำ หนักเบาและสั้นยาวตามรูปแบบที่กำหนดไว้
คำว่าร้อยกรอง เราสามารถแยกศัพท์ได้เป็น ๒ คำ คือคำว่า "ร้อย" กับคำว่า "กรอง" ร้อยเป็นคำกริยา หมายถึงการเรียงร้อย หรือการเรียบเรียงถ้อยคำหรืออาจจะเป็นดอกไม้ก็ได้ เช่น ร้อยดอกไม้ คำว่ากรองเป็นคำกริยา หมายถึงการเรียงร้อยกรอง เมื่อรวมกัน หมายถึง การกลั่นกรองหรือเรียบเรียงถ้อยคำ เช่นเดียวกับที่เรานำดอกไม้มาร้อยเป็นพวงมาลัยจะมีความงดงามแล้วก็อ่อนหวานไพเราะ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่เอาถ้อยคำมาเรียงต่อกันเท่านั้น
คำที่น่าสังเกต คือคำว่า กวีนิพนธ์ นักวิชาการบางท่าน ให้ความหมายแตกต่างไป จากร้อยกรอง คือ ร้อยกรองอาจจะเป็นคำประพันธ์ที่นำมาเรียงร้อยให้มีสัมผัสเท่านั้น แต่ว่า กวีนิพนธ์ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้กล่าวไว้ว่ากวีนิพนธ์นั้น เป็นการย่อยกรองถ้อยคำ เรียงถ้อยคำตามระเบียบข้อบังคับ ซึ่งได้แก่มาตราฉันทลักษณะ นั่นคือร้อยกรองทั่วไป กวีนิพนธ์โดยแท้จะต้องแสดงความรู้สึกนึกคิดที่เป็นภาพอันงามด้วยกวีนิพนธ์เป็นสิ่งวอนใจเรารู้สึกนึกคิด ทำให้เราสมใจในรสของภาษาและเห็นภาพความคิดต่าง ๆ กระจ่างขึ้น กวีนิพนธ์เป็นลักษณะยอดเยี่ยมของวรรณคดี คำร้อยกรองนั้นเป็นเพียงเครื่องประดับประกอบของกวีนิพนธ์เท่านั้น เพราะฉะนั้นตามความหมายอันนี้ ก็จะได้ว่าร้อยกรอง คือคำประพันธ์ทั่ว ๆ ไป ที่มีฉันทลักษณ์แต่ถ้ากวีนิพนธ์จะต้องเป็นร้อยกรองที่มีลักษณะยอดเยี่ยม
//docs.google.com/document/preview?hgd=1&id=1mJg1ghdUoKtddMzeWem3ASkkvtte7h4YBrsloDl3x_๐
//2remind.blogspot.com/2005/11/blog-post.html
เมื่อเห็น บทเสภาสามัคคีเสวก ครั้งแรก เชื่อว่าต้องมีน้อง ๆ หลายคนต้องเผลออ่านคำว่า เสวก เป็น (สะ-เหวก) แน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ แต่ที่จริงแล้วคำว่าเสวกนั้นต้องอ่านให้ถูกต้องว่า (เส-วก) ที่มีความหมายถึงผู้ใกล้ชิด เป็นยศของข้าราชการในราชสำนักนั่นเองค่ะ บทเรียนภาษาไทยในวันนี้ไม่เพียงแต่จะสอนอ่านให้ถูกต้อง แต่จะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเรื่องย่อวรรณคดีไทยอย่างบทเสภาสามัคคีเสวกกันอีกด้วย โดยจะเป็นเรื่องราวแบบไหน มีลักษณะคำประพันธ์และเรื่องย่ออย่างไรบ้าง เราไปศึกษาเรื่องนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ
บทเสภาสามัคคีเสวกและประวัติความเป็นมา
บทเสภาสามัคคีเสวก มีที่มาจากที่ในสมัยก่อน ทุกวันเสาร์ ข้าราชการในราชสำนักจะจัดงานเลี้ยงที่พระราชวังสนามจันทร์ซึ่งในงานเลี้ยง จะมีการแสดงเพื่อความบันเทิง และในครั้งที่เจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี หรือ หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยง ก็ได้ทูลขอให้พระบาทสมเด็จเพราะมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคิดการละเล่นขึ้นมาอย่างหนึ่ง พระองค์จึงได้ผูกระบำสามัคคีเสวกขึ้น ซึ่งเป็นระบำที่ไม่มีบทร้อง มีเพียงดนตรีของวงพิณพาทย์บรรเลง โดยในระหว่างที่ให้วงพิณพาทย์พักเหนื่อย พระองค์ก็ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาขึ้นมาสำหรับขับร้องระหว่างตอน
ลักษณะคำประพันธ์
กลอนเสภาที่มีฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ
เรื่องย่อของบทเสภาสามัคคีเสวก
บทเสภาสามัคคีเสวกมีด้วยกันทั้งหมด 4 ตอน ได้แก่
1. กิจการแห่งพระนนที เป็นบทกล่าวสรรเสริญพระนนทีว่าเป็นเทพเสวกที่ดี รับใช้พระอิศวรอย่างซื่อสัตย์
2. กรีนิรมิต เป็นบทกล่าวสรรเสริญพระคเณศ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา
3. วิศวกรรมา เป็นบทกล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรมเทพ ผู้ให้กำเนิดการก่อสร้างและช่างต่าง ๆ
4. สามัคคีเสวก เป็นบทกล่าวถึงความสามัคคีในหมู่ราชการ ให้มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ และขยันทำงาน
ตอนที่เราจะศึกษากันในวันนี้มีด้วยกัน 2 ตอน คือ วิศวกรรมาและสามัคคีเสวกค่ะ
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
บทวิศวกรรมา มีทั้งหมด 13 บท เป็นบทที่กล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรมผู้เป็นเทพแห่งการสร้าง การช่าง นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของศิลปะ
บทประพันธ์เด่น
แม้ผู้ใดไม่นิยมชมสิ่งงาม
เมื่อถึงยามเศร้าอุราน่าสงสาร
เพราะขาดเครื่องระงับดับรำคาญ
โอสถใดจะสมานซึ่งดวงใจ
ถอดความ คนที่ไม่สนใจในศิลปะ เมื่อถึงเวลาที่เศร้าก็จะไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจไม่สามารถใช้ยาช่วยได้
อันชาติใดไร้ช่างชำนาญศิลป์
เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า
ใครใครเห็นไม่เป็นที่จำเริญตา
เขาจะพากันเย้ยให้อับอาย
ถอดความ ชาติใดก็ตามที่ไม่มีช่างฝีมือด้านศิลปะ ก็เหมือนผู้หญิงที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่สวย ใครเห็นก็รู้สึกไม่ชอบและพากันดูถูกได้ว่าเป็นเมืองที่ไร้ศิลปะ
สรุปแนวคิดในตอนวิศวกรรมา
เป็นบทที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของงานฝีมือและศิลปะว่ามีความสำคัญมาก เพราะศิลปะจะช่วยเยียวยาจิตใจ ให้ความเพลิดเพลิน บำรุงประเทศให้งดงาม และนอกจากนี้ยังส่งเสริมให้คนไทยภาคภูมิใจและสนับสนุนงานศิลปะ เพราะนอกจากจะช่วยพัฒนาฝีมือช่างไทยแล้วยังเป็นการพัฒนาชาติให้เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
มีทั้งหมด 9 บท มุ่งเน้นที่จะสอนข้าราชการให้จงรักภักดีและทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้า
บทประพันธ์เด่น
ประการหนึ่งพึงคิดในจิตมั่น
ว่าทรงธรรม์เหมือนบิดาบังเกิดหัว
ควรเคารพยำเยงและเกรงกลัว
ประโยชน์ตัวนึกน้อยหน่อยจะดี
ควรนึกว่าบรรดาข้าพระบาท
ล้วนเป็นราชบริพารพระทรงศรี
เหมือนลูกเรืออยู่ในกลางหว่างวารี
จำต้องมีมิตรจิตรสนิทกัน
ถอดความ พระมหากษัตริย์เปรียบเหมือนบิดาที่ควรเคารพ และสอนให้ข้าราชการนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนอีกด้วยว่าข้าราชการเหมือนลูกเรือกะลาสี เรือเปรียบเหมือนประเทศชาติ
แม้ลูกเรือเชื่อถือผู้เป็นนาย
ต้องมุ่งหมายช่วยแรงโดยแข็งขัน
คอยตั้งใจฟังบังคับกัปปิตัน
นาวานั้นจึ่งจะรอดตลอดทะเล
ถอดความ ข้าราชการที่เหมือนลูกเรือ ต้องสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ และตั้งใจฟังกัปตันหรือก็คือพระมหากษัตริย์เพื่อพาประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่งได้
แม้ต่างคนต่างเถียงเกี่ยงแก่งแย่ง
นายเรือจะเอาแรงมาแต่ไหน
แม้ไม่ถือเคร่งคงตรงวินัย
เมื่อถึงคราวพายุใหญ่จะครวญคราง
ถอดความ สื่อถึงว่าหากลูกเรือหรือบรรดาข้าราชการแตกคอกัน แม้แต่พระมหากษัตริย์เองก็สู้ไม่ไหว และถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีก็อาจจะทำให้ประเทศเดือดร้อนได้
ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชัง
สามัคคีเป็นกำลังพลังศรี
ควรปรองดองในหมู่ราชเสวี
ให้สมที่ร่วมพระเจ้าเราองค์เดียว
ถอดความ เป็นการสอนให้ข้าราชการไม่ลำเอียง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง วางตัวเป็นกลาง และควรปรองดองกันในหมู่ราชการ สามัคคีกัน
สรุปแนวคิดที่ในตอนสามัคคีเสวก
เป็นบทที่มุ่งเน้นสอนข้าราชการเกี่ยวกับการทำงาน ความซื่อสัตย์ ให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม เคร่งครัดในระเบียบวินัย มีความจงรักภักดีและสามัคคีปรองดองกัน
สิ่งที่ทำให้กลอนเสภาเรื่องนี้แตกต่างจากบทเสภาทั่วไป คือการอัดแน่นไปด้วยแนวคิดมากกว่าจะเล่าเรื่องราว เรียกได้ว่าเป็นวรรณคดีที่เปี่ยมไปด้วยความรู้และข้อคิดมากมายเลยค่ะ และเพื่อให้น้อง ๆ ได้ทำความเข้าใจกันมากขึ้น ก็สามารถตามไปดูคลิปการสอนย้อนหลังของครูอุ้ม ในคลิปครูอุ้มจะอธิบายตัวบทเด่น ๆ และยังมีคำศัพท์น่ารู้อีกมากมายเลยค่ะ ไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ตอน สามัคคีเสวก
อย่าพลาดการติดตามบทความภาษาไทยใหม่ๆ ได้ใน nockacademy
NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
มากไปกว่านั้น เรายังมีคอร์สเรียนออนไลน์ การสอนพิเศษ การติวนอกสถานที่โดยติวเตอร์ที่แน่นไปด้วยความรู้ อีกด้วย
แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้
สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ
ดูคลิป
แนะนำ
แชร์
การใช้ Imperative for Advice
สวัสดีค่ะนักเรียนชั้น ม.2 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาเรียนรู้เกี่ยวกับ “การใช้ Imperative for Advice หรือ การใช้ประโยคแนะนำในภาษาอังกฤษ”กันค่ะ พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจร้า ประโยคแนะนำที่เจอบ่อย (Imperative for advice) คำศัพท์น่าสนใจ Advice (Noun): คำแนะนำ Advise (Verb): แนะนำ ประโยคคำแนะนำ ส่วนใหญ่แล้วจะเจอในรูปแบบของประโยคบอกเล่า ซึ่งจะมีความหมายในทางเสนอแนะ
Finite and Non- Finite Verb
Hi guys! สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม.6 ทุกคน วันนี้ครูจะพาไปทบทวนการใช้ “Finite and Non- Finite Verb” ในภาษาอังกฤษกันจร้า ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันโลดจร้า คำเตือน: การเรียนเรื่องนี้จะทำให้นักเรียนมึนงงได้หากว่าพื้นฐานเรื่อง Part of speech, Subject , Tense, Voice และ Mood ของเราไม่แน่น
โจทย์ปัญหาการวัด ม.2
ในบทความนี้เราจะได้เรียนรู้ตัวอย่างโจทย์การแปลงหน่วย และหาพื้นที่ของรูปเรขาคณิตต่างๆ พร้อมทั้งเรียนรู้การใช้สูตรที่เร็วขึ้น
สามเหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการแบบ ด้าน-ด้าน-ด้าน
ในบทความนี้จะกล่าวถึงหลักการของการพิสูจน์ความเท่ากันทุกประการของสามเหลี่ยมแบบ ด้าน-ด้าน-ด้าน
การบรรยายตนเอง + Present Simple
สวัสดีนักเรียนชั้นม.2 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดูวิธีการบอกข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับตัวเราในภาษาอังกฤษกันค่ะ ได้แก่ “ การบรรยายตนเอง + Present Simple “ พร้อมทั้งตัวอย่างสถานการณ์ใกล้ตัวกันค่ะ ไปลุยกันเลย ทบทวน Present Simple Tense ความหมาย: Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present
Be Able To คืออะไร? ต่างจาก ‘can’ ‘could’ อย่างไร?
สวัสดีน้องๆ ม. 6 ทุกคนนะครับ วันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง ‘be able to’ ในภาษาอังกฤษ จะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปดูกันเลยครับ