การ ทํา งานในชีวิต ประ จํา วัน มี อะไร บ้าง

คุณอยากจะประสบความสำเร็จให้มากกว่านี้ไหม? มีผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำนวนไม่น้อยที่มีทั้งวิธีคิดและแนวทางการใช้ชีวิตประจำวันที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ ต่างก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่จะประสบความสำเร็จ และนี่ก็คือกิจวัตรประจำวันและความเชื่อ 8 อย่างที่คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ยึดถือไว้เป็นแนวทางปฏิบัติในการทำงาน

1. พวกเขาเริ่มต้นชีวิตในแต่ละวันตั้งแต่เช้าตรู่

นักเขียนสาวนามว่า Laura Vanderkam ได้ทำการศึกษาตารางเวลาในการใช้ชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายคน เธอพบว่าหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของพวกเขาคือการตื่นนอนและเริ่มต้นการใช้ชีวิตในวันใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่ง Richard Branson เองก็เป็นผู้สนับสนุนการเริ่มต้นวันใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่เช่นกัน

แน่นอนว่าการตื่นเช้านั้นสร้างประโยชน์มากมาย อย่างหนึ่งคือคุณจะมีโอกาสได้ใช้เวลาของตัวเองอย่างอิสระเสรี ก่อนที่หน้าที่การงานรวมถึงสิ่งจำเป็นต่างๆ จะมาร้องเรียกเพรียกหาและพรากเวลาของคุณไป นอกจากนี้การตื่นเช้ายังช่วยให้คุณอารมณ์ดีขึ้น สดชื่นแจ่มใส และยังช่วยให้รู้สึกว่าคุณเป็นนายของเวลาที่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ดีด้วย

การตื่นขึ้นมาแล้วดำเนินกิจวัตรประจำวันจนเสร็จสิ้นในช่วงเช้า จะช่วยให้คุณรู้สึกว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และมั่นใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่จะพุ่งเข้าใส่คุณในแต่ละวัน

วิธีการนำมาปรับใช้กับตัวเอง: ลองปรับกิจวัตรที่ต้องทำในช่วงเย็น เปลี่ยนมาไว้ช่วงเช้าแทน เช่น การออกกำลังกายก่อนไปทำงานเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวและพร้อมสำหรับการทำงาน

2. พวกเขาจะไม่แตกตื่นเมื่อมีเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้น

หลายคนมักรู้สึกตึงเครียดและกระวนกระวายเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่อย่าลืมว่า การผิดแผนนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ผู้คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จึงมักจะเข้าใจดีว่า พวกเขาไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ และจะตั้งตารอรับความผิดพลาดอยู่เสมอ

วิธีการที่ใช้รับมือกับปัญหาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นจึงควรวางแผนรับมือกับความผิดพลาดเอาไว้ เพื่อที่จะได้ตอบโต้พวกมันกลับไปด้วยเหตุผลอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการนำมาปรับใช้กับตัวเอง: ให้เผื่อเวลาไว้ในแต่ละวันสำหรับปัญหาที่อาจโผล่ขึ้นมาให้สะสาง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังเลิกงานกำลังดี เนื่องจากจะได้ใช้เวลาทั้งวันที่มีไปกับงานที่ต้องทำอย่างไม่ต้องกังวลใจ

3. พวกเขาทำงาน แม้ในยามที่ไม่จำเป็นต้องทำ

ช่วงเช้าตรู่ ช่วงเย็น และวันหยุดสุดสัปดาห์มักจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ทำงานกัน อย่างไรก็ตาม มันอาจหมายถึงการปล่อยเวลาทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะลงมือทำงานเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เนื่องจากจะช่วยให้งานสำเร็จได้ง่ายกว่าการรอหรือผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย และถ้าไฟในการทำงานมาเมื่อไหร่ ขอให้รีบลงมือทำงานทันทีก่อนที่ไฟจะมอด แม้ว่าจะไม่ใช่เวลางานก็ตาม

วิธีการนำมาปรับใช้กับตัวเอง: วางแผนการทำงานในช่วงเวลาว่างประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมกับใช้เวลาในช่วงนี้เพื่อตอบอีเมล หรือโทรศัพท์ติดต่อกับผู้คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน รับรองว่าจะช่วยให้คุณก้าวล้ำในที่ทำงาน และยังคงความก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่นๆอีกด้วย

4. พวกเขาทำงานที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก

หลายคนมาถึงที่ทำงานแล้วก็เริ่มงานในแต่ละวันด้วยงานยิบๆ ย่อยๆ เช่น การตอบอีเมล หรืองานดูแลจัดการทั่วไป อย่างไรก็ตาม สมองของคนเราจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงต้นของแต่ละวัน ดังนั้นช่วงเช้าจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และความท้าทายสูง

วิธีการนำมาปรับใช้กับตัวเอง: วางแผนการทำงานของวันถัดไปตั้งแต่ในที่ทำงาน ให้จัดงานที่สำคัญที่สุดไว้อันดับแรกในตอนเช้า แล้วใช้ช่วงเวลาก่อนพักเที่ยงในการตอบอีเมล เท่านี้ก็การันตีความสำเร็จในการทำงานได้แล้ว

5. พวกเขาจดตารางงานไว้ในที่เดียว

“เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณได้จดบันทึกตารางการประชุมและนัดหมายที่สำคัญไว้ในที่เดียวกัน ไม่ใช่กระจัดกระจายไปตามปฏิทิน สมุดบันทึก หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ” – Alexandra Weiss, หุ้นส่วนของบริษัท CA Creative กล่าว

แทนที่จะจดบันทึกตารางเวลาส่วนยิบย่อยเอาไว้ในโทรศัพท์ โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน และกระดาษโน้ต ให้จดทุกอย่างเอาไว้ในที่เดียวกันเพื่อให้ดูชัดเจนและง่ายต่อการทำความเข้าใจ

วิธีการนำมาปรับใช้กับตัวเอง: เขียนเป้าหมาย 3 อย่างที่ตั้งใจจะทำให้สำเร็จในวันถัดไป และให้เขียนว่าจะทำอย่างไรบ้างเพื่อให้สำเร็จตามเป้าลงไปด้วย เพราะมันจะช่วยให้คุณรู้สึกมีเป้าหมายและมีขอบเขตงานที่ชัดเจนขึ้น คุณจึงสามารถตัดความกังวลใจและได้ใช้เวลาว่างที่มีอยู่อย่างเต็มที่

ความสุขเป็นทางเลือกที่กว้างมาก และมีเรื่องโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยครั้ง ในความเป็นจริง คุณสามารถเลือกที่จะมีความสุขในที่ทำงานได้ ฟังดูอาจจะง่าย แต่ว่าในความง่ายหรือธรรมดา มักจะเป็นเรื่องยาก-เมื่อถึงเวลาจะต้องทำจริงๆ ทุกๆคนปรารถนาที่จะมีนายจ้างที่ดีที่สุด ในโลก แต่นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจงคิดในแง่บวกเกี่ยวกับงานของคุณ คำนึงถึงแง่มุมของงานที่คุณทำอยู่ ในด้านที่คุณชอบ หลีกเลี่ยงจากเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติในด้านลบ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนินทา หาเพื่อนร่วมงาน ที่คุณชอบ และทำงานด้วยอย่างมีความสุข ใช้เวลาไปกับพวกเขา ทางเลือกในการทำงานของคุณ จะเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ และช่วยให้คุณเลือกที่จะมีความสุขในการทำงานได้

2.หาเวลาทำสิ่งที่คุณรักเป็นประจำทุกวัน 
     คุณอาจจะรักหรือไม่ได้รักในงานที่ตัวเองทำอยู่ และคุณอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าคุณสามารถค้นพบบางสิ่งที่คุณรักในงานของคุณ ก่อนอื่นลองมองดูตัวเอง ถึงทักษะและความสนใจของคุณ ลงมือค้นหาสิ่งที่คุณมีความสุข ที่จะทำในทุกๆวัน เมื่อคุณได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบในทุกๆ วัน งานที่คุณทำอยู่ จะไม่ดูแย่จนเกินไป

3.มีความเป็นมืออาชีพ และใส่ใจในการพัฒนาตนเอง
     มีผู้หญิงคนหนึ่งบ่นว่า เธอต้องการเปลี่ยนงาน เพราะหัวหน้าของเธอ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือที่จะพัฒนาในสายงานของเธอ เมื่อถามเธอว่า ใครที่เธอคิดว่า เป็นคนที่เธอคิดว่าสามารถช่วยในการพัฒนาตัวเธอเองได้มากที่สุด คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ตัวเธอเอง ตัวคุณเอง จะเป็นคนที่จะได้รับผลประโยชน์ จากการพยายามพัฒนาในสายอาชีพของตัวเองอย่างต่อเนื่อง คุณต้องมีความรับผิดชอบและใช้สิทธ์ในการเติบโตของตัวเอง ถามหัวหน้าเฉพาะสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่มีความหมายหรือมีความสำคัญ กำหนดทิศทาง ในการพัฒนาตัวเอง และก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น คุณจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการเติบโต ในขณะเดียวกัน คุณจะสูญเสียผลประโยชน์เช่นกัน หากคุณอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย

4.มีความรับผิดชอบ และต้องรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในที่ทำงาน
     คนหลายคนมักจะบ่นเป็นประจำทุกวัน ว่าพวกเขาไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่มากพอ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบริษัท โปรเจคงานในแผนก หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน พวกเขามัวแต่รอแต่หัวหน้า ที่จะมาให้ข้อมูล ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นไปได้น้อยมาก เพราะหัวหน้าก็มีงานยุ่งและก็ต้องรับผิดชอบงานมากมายอยู่แล้ว และหัวหน้าไม่รู้หรอกว่าอะไรที่พนักงานไม่รู้ ดังนั้น ค้นหาข้อมูลที่จำเป็นด้วยตัวคุณเอง เพื่อใช้ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร และใช้มัน อาจใช้วิธีพูดคุยกับหัวหน้าของคุณสัปดาห์ละครั้ง ถามคำถามที่จำเป็น เรียนรู้มัน และรับผิดชอบต่อข้มูลข่าวสารที่ได้รับ

5.ติดตามถึงผลที่ตอบรับกลับมาบ่อยๆ
     คุณอาจจะเคยเจอประโยคเช่นนี้ “หัวหน้าไม่เคยมีการตอบรับกลับมาเลย ผมจึงไม่รู้ ว่าผมต้องทำอะไร”  ให้เผชิญหน้ากับมัน เพราะคุณเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ควรจะทำอย่างไร ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณมีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอในการทำงาน ให้คิดเกี่ยวกับการพัฒนาและทำงานอย่างจริงจัง หลังจากนั้นให้หัวหน้าประเมิณงานของคุณ และเมื่อคุณคุยกับลูกค้าก็เช่นเดียวกัน ผลตอบรับจากลูกค้าจะกลับมาเป็นข้อพิสูจน์ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง


การ ทํา งานในชีวิต ประ จํา วัน มี อะไร บ้าง

6.รักษาสัญญาที่คุณได้ให้สัญญาไว้
     การรักษาสัญญาในการทำงาน อาจทำให้งานของคุณมีความกดกัน เพราะคุณไม่สามารถ รักษาข้อตกลงที่กำหนดไว้ก่อนหน้าได้ พนักงานหลายคน ใช้เวลามากมายไปกับการหาข้อแก้ตัว ทั้งยังกังวลเกี่ยวกับผลที่จะตามมาเนื่องจากไม่สามารถทำงานให้เสร็จ คุณต้องสร้างระบบการจัดการและการวางแผนที่ดี ที่ช่วยให้คุณประเมิณความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จตามข้อตกลงที่วางไว้ อย่าเสนอตัวถ้าคุณไม่มีเวลา ถ้ามีงานที่ต้องใช้ระยะเวลามากเกินกว่าที่มี ต้องวางแผนให้ครอบคลุมที่จะคุยกับหัวหน้าเพื่อแก้ปัญหา อย่าจมปลักอยู่กับงานท่วมหัวที่คุณไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้

7.หลบเลี่ยงสิ่งที่เป็นด้านลบ 
     การเลือกที่จะมีความสุขในที่ทำงาาน หมายถึง การหลีกเลี่ยงที่จะรับสิ่งที่เป็นด้านลบ หลีกเลี่ยงการนินทา ไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้เพื่อนร่วมงาน ที่มีอคติเข้ามามีผลกระทบต่อจิตใจ อย่าปล่อยให้มันทำให้คุณต้องรู้สึกไม่ดีกับการทำงาน

8.ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ และกล้าหาญ

     ถ้าคุณเหมือนคนทั่วๆ ไป คุณมักจะไม่ชอบความขัดแย้ง เหตุผลในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยถูกฝึกให้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งอย่างมีความหมาย ดังนั้นคุณมักจะคิดว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องน่ากลัว ซึ่งจริงๆ แล้ว ความขัดแย้ง จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย และเพิ่มวิสัยทัศน์ให้กับคุณด้วย ความขัดแย้งช่วยให้คุณบริการลูกค้าได้ดีขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จ
ในความเป็นจริง คนทำงานจะมีความสุข เพราะสามารถทำให้งานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ความกล้าที่จะเผชิญความขัดแย้ง จะช่วยให้คุณไปถึงจุดมุ่งหมายที่ได้วาดฝันเอาไว้

9.เป็นมิตรกับผู้อื่น 
     จากหนังสือเรื่อง What the World’s Greatest Managers Do Differently โดย Marcus Buckingham and Curt Coffman มีคำถามหนึ่งในคำถามสำคัญหลายๆ คำถาม นั่นคือ “คุณมีเพื่อนที่ดีที่สุดจากการทำงานหรือไม่” และเมื่อพนักงานได้ตอบคำถามนี้ คำตอบของพวกเขาเป็นตัวชี้วัดทำไมพวกเขาจึงมีความสุข และได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน การได้ทำงานอย่างสนุกกับเพื่อนร่วมงาน เป็นมาตราฐานด้านดีที่เห็นได้ชัด ช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานอย่างมีความสุข เมื่อคุณให้เวลากับการเรียนรู้เพื่อนร่วมงาน คุณอาจจะรู้สึกสนุกที่ได้ทำงานกับพวกเขา หลังจากนั้นเครือข่ายในการทำงานจะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนคุณในด้านการทำงาน อ่านเพิ่มเติมในส่วยนี้ได่ที่:มนุษยสัมพันธ์ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำงาน

10. ถ้าทั้ง 9 ข้อที่ผ่านมาไม่สามารถช่วยได้ การหางานใหม่ จะช่วยให้คุณยิ้มได้อีกครั้ง

    ถ้าไอเดียทั้งหมดนี้ ไม่สามารถช่วยให้มีความสุขในการทำงานได้ คงจะถึงเวลาที่จะต้องประเมินหัวหน้า งาน และหน้าที่รับผิดชอบของคุณทั้งหมด คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาไปกับการทำงานที่คุณไม่ได้รัก เพราะ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ของแต่ละที่ไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ นัก ใช้เวลาไปหางานใหม่ดีกว่า แล้วคุณจะยิ้มออก 

งานบ้าน ทําอาชีพอะไรได้บ้าง

8 อาชีพเด่น งานไหนสามารถทำที่บ้านได้ในปี 2565.
1. ล่ามหรือนักแปลภาษา ... .
2. นักเขียนบทความ ... .
3. ครูหรือติวเตอร์ ... .
4. เทรนเนอร์ ... .
5. บล็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์ ติ๊กต็อกเกอร์ หรือสตรีมเมอร์ ... .
6. ผู้ดูแลโซเชียลมีเดีย ... .
7. กราฟิกดีไซเนอร์ ... .
8. ร้านอาหารออนไลน์.

ลักษณะงานในบ้านแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง

งานบ้านแบ่งออกตามลักษณะงานได้เป็น ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. งานอาหาร เช่น ช่วยประกอบอาหารสําหรับครอบครัว ๒. งานเสื้อผ้า เช่น การซักรีดเสื้อผ้า ๓. งานทําความสะอาดบ้านและบริเวณบ้านช่วยกันทําความสะอาดห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน และบริเวณบ้าน ๔. งานเลี้ยงดูและบริการบุคคลภายในบ้าน เช่น ดูแลช่วยเหลือญาติผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยหรือ ช่วยพ่อ ...

งานบ้านในชีวิตประจำวันคืออะไร

งานบ้าน หมายถึง งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาบ้าน และการบริการบุคคลในบ้าน ซึ่งต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยสมาชิกทุกคนจะต้องมีการแบ่งหน้าที่กันตามความถนัดของแต่ละคนและร่วมมือกันทำ เพื่อให้ทุกคนร่วมดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แบ่งงานบ้านออกได้ 4 ประเภท คือ งานอาหาร งานเสื้อผ้า งานทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้าน และงาน ...

ทักษะกระบวนการทํางานมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

1. คำอธิบาย: ก ถูกต้อง เพราะกระบวนการทำงานเป็นวิธีการทำงานตามลำดับขั้นตอน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์งาน 2) การวางแผนในการทำงาน 3) การปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอน และ 4) การประเมินผลการทำงาน ดังนั้น การวิเคราะห์งานจึงเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการทำงาน