เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการข้อเท็จจริงบริษัทฯ ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการสนับสนุนการค้า การลงทุนเพื่อการส่งออก โดยบริษัทฯ มีลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ลูกค้าในประเทศไทย คือ บริษัท ก. ลูกค้าในต่างประเทศ คือ บริษัท A (บริษัทแม่) และบริษัท B ลูกค้าทั้ง 3 ราย (ผู้ว่าจ้าง) ได้ว่าจ้างให้บริษัทฯ ดำเนินการสรรหาทั้งผู้ซื้อและผู้ขายดังนี้ Show
1. ผู้ว่าจ้างได้ว่าจ้างให้บริษัทฯ หาผู้ซื้อและติดต่อประสานงานเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ ได้ว่าจ้างให้บริษัทฯ หาผู้ซื้อแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ และทำหน้าที่ประสานกับผู้ซื้อและผู้ผลิตรถยนต์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ตามความต้องการของผู้ซื้อ แล้วสรุปผลส่งให้ผู้ว่าจ้างในรูปแบบรายงานและแบบแปลนที่อนุมัติโดยผู้ผลิตรถยนต์หรือผู้ซื้อ ซึ่งผู้ว่าจ้างเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขายแบบผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ซื้อหรือไม่ 2. ผู้ว่าจ้างได้ว่าจ้างบริษัทฯ ให้ติดต่อประสานงาน หาผู้ขายสินค้า ผู้ว่าจ้างได้ว่าจ้างบริษัทฯ ให้ทำหน้าที่หาผู้ขายสินค้า เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักร หรือแม่พิมพ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าที่ซื้อจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่น โดยจะสรุปผลและส่งมอบข้อมูลให้แก่ผู้ว่าจ้างในรูปแบบรายงาน และไม่รับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ของผู้ขาย การปฏิบัติตามข้อ 1 และ ข้อ 2 ดังกล่าวบริษัทฯ ได้ส่งพนักงานเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเก็บข้อมูลเบื้องต้น ทำงานตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างและหาผู้ซื้อ ผู้ขายให้แก่ผู้ว่าจ้าง บริษัทฯ นำข้อมูลที่ได้มาทำการรวบรวม คัดกรอง คัดสรร และสรุปผลในที่ประชุมของผู้บริหารระดับสูงในประเทศ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงทั้งหมด แล้วส่งผลสรุปการหาผู้ซื้อและผู้ขายไปให้ผู้ว่าจ้างต่อไป โดยบริษัทฯ จะไม่รับรองผู้ซื้อ ผู้ขาย และไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ในการชี้ช่องให้ผู้ว่าจ้างทำสัญญากับผู้ผลิตสินค้า ผู้ซื้อหรือผู้ขายในประเทศไทย หรือเข้ามาทำสัญญาในประเทศไทย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจคัดเลือกผู้ซื้อ ผู้ขายของผู้ว่าจ้าง แต่อย่างใด บริษัทฯ ขอหารือว่า กรณีบริษัทฯ รับจ้างหาผู้ซื้อและผู้ขายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศให้แก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ โดยส่งพนักงานไปต่างประเทศเพื่อเก็บข้อมูลเบื้องต้น แล้วนำข้อมูลมาสรุปผลในที่ประชุมในประเทศไทยและส่งผลไปให้ผู้ว่าจ้างในต่างประทศ และไม่มีผลต่อเนื่องหลังจากส่งรายงานไปแล้ว เมื่อเรียกเก็บเงินจากผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราใด และกรณีบริษัทฯ ได้รับรองปริมาณและคุณภาพของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจของผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราใด กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร แนววินิจฉัยกรณีบริษัทฯ ให้บริการแก่ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ ได้หาผู้ซื้อแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ และทำหน้าที่ประสานกับผู้ซื้อและผู้ผลิตรถยนต์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ตามความต้องการของผู้ซื้อ รวมทั้งการหาผู้ขาย ผู้ผลิตสินค้า เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักร หรือแม่พิมพ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการหาผู้ซื้อ ผู้ขายดังกล่าว บริษัทฯ ได้ส่งพนักงานไปต่างประเทศเพื่อเก็บข้อมูลเบื้องต้น นำข้อมูลที่ได้มาทำการรวบรวม คัดกรอง คัดสรร และสรุปผลในที่ประชุมของผู้บริหารในประเทศ แล้วส่งผลสรุปในรูปแบบรายงานและแบบแปลนให้แก่ผู้ว่าจ้างในการตัดสินใจ โดยบริษัทฯ อาจมีการรับรองปริมาณและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่บริษัทฯ ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ในการชี้ช่องให้ ผู้ว่าจ้างทำสัญญากับผู้ผลิตสินค้า ผู้ซื้อหรือผู้ขายในประเทศไทย หรือเข้ามาทำสัญญาในประเทศไทย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจคัดเลือกผู้ซื้อ ผู้ขายของผู้ว่าจ้าง แต่อย่างใด กรณีดังกล่าว ถือว่าเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้มีการใช้บริการในต่างประเทศ แม้ว่าผู้ว่าจ้างในต่างประเทศอาจพิจารณาตัดสินใจเลือก ผู้ซื้อหรือผู้ขายในประเทศไทยในภายหลังก็ตาม หากบริษัทฯ มีหลักฐานแสดงการชำระราคาค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ในนามบริษัทฯ ย่อมได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ ข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105) เรื่อง กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขกรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ที่มา:หนังสือข้อหารือกรมสรรพากร ที่ กค 0702/พ.7951 ลงวันที่ 05 กันยายน 2556 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือ VAT) คือ ภาษี ประเภทหนึ่งตาม ประมวลรัษฎากร ซึ่งจัดเก็บจากมูลค่าของการซื้อขายสินค้าหรือการให้บริการในประเทศ และการนำเข้าสินค้า ซึ่งโดยปกติผู้ประกอบการจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้บริโภค แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดเก็บอีกที คำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)โปรแกรมคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย กิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยปกติ กฎหมายไทยกำหนดให้ 3 กิจการต่อไปนี้ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มโดยปกติ เราจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ในอัตราคงที่ 7% (ซึ่งคำนวณมาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.3% + ภาษีท้องถิ่น 0.7%)4 ผู้ประกอบการที่มียอดขายทั้งปีเกิน ฿1,800,000 (เฉลี่ยเดือนละ ฿150,000) โดยปกติจะถูกบังคับให้จดทะเบียน VAT ตามกฎหมายภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกิน ฿1,800,0005 แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ได้รับยกเว้น ก็จะไม่ต้องเสีย VAT6 เช่น ขายเนื้อสัตว์ ผักสด เป็นต้น โดยทั่วไปผู้ประกอบการจะต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป7 และมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษี รวมถึงจัดทำรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย8 ด้วย ฐานภาษีมูลค่าเพิ่มและวิธีคำนวณภาษีภาษีมูลค่าเพิ่มจะใช้มูลค่าของสินค้าหรือบริการ (หลังหักส่วนลดแล้ว) เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม9
เช่น สินค้าตั้งราคาขาย ฿100 ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตรา 7% จะคำนวณค่าภาษีมูลค่าเพิ่มได้ดังนี้
ดังนั้น เมื่อขายสินค้าจะต้องเรียกเก็บเงินจากลูกค้าเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 107 บาท (ค่าสินค้า 100 บาท + VAT 7 บาท) โดยค่าสินค้าจะทำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ส่วน VAT 7 บาท จะต้องนำส่งให้กรมสรรพากรในเดือนถัดไปโดยไม่ต้องนำไปคำนวณเป็นเงินได้ของกิจการ โดยภาษีที่เรียกเก็บจากตอนขายจะเรียกสั้นๆ ว่า ภาษีขาย10 ในทางกลับกัน ถ้าผู้ประกอบการจดทะเบียนซื้อสินค้ามาในราคา 107 บาท แสดงว่าสินค้านั้นจริงๆ ราคาเพียง 100 บาท แต่อีก 7 บาทนั้นคือ VAT ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องจ่ายตอนซื้อสินค้า ซึ่งค่าภาษี 7 บาทที่จ่ายไปตอนซื้อสินค้าเข้ามา เรียกสั้นๆ ว่า ภาษีซื้อ11 การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีเพิ่มแล้วจะมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน (เดือนภาษี) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีภาษีมูลค่าเพิ่มต้องนำส่งหรือไม่ก็ตาม12 ซึ่งในแต่ละเดือนอาจเกิดผลลัพธ์แตกต่างกันดังต่อไปนี้ 1. ภาษีขาย มากกว่า ภาษีซื้อกรณีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนมียอดขายมากกว่ายอดซื้อ ดังนั้น จึงมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) มากกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนจ่ายออกไป (ภาษีซื้อ) ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องนำส่วนต่างนี้มานำส่งให้กรมสรรพากรพร้อมกับการยื่นภาษีรายเดือน13 2. ภาษีขาย เท่ากับ ภาษีซื้อกรณีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนมียอดขายเท่ากับยอดซื้อ ดังนั้น จึงมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนจ่ายออกไป เช่นนี้ ผู้ประกอบการจึงไม่มีภาระต้องนำส่วนต่างนี้ แต่ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีรายเดือนอยู่ดี 3. ภาษีขาย น้อยกว่า ภาษีซื้อกรณีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนมียอดขายน้อยยอดซื้อ ดังนั้น จึงมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มน้อยกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนจ่ายออกไป เช่นนี้ ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ แต่ไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษี เพราะตนจ่ายออกไปมากกว่าที่เรียกเก็บได้ ภาษีซื้อที่เหลืออยู่เนื่องจากหักออกจากภาษีขายไม่หมดนั้น ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถเลือกใช้ประโยชน์เป็นเครดิตภาษีสำหรับการยื่นภาษีครั้งต่อไป หรือขอเงินคืนภาษีก็ได้14 ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT แล้ว จะได้ประโยชน์จากการซื้อขายสินค้าและบริการ คือ สามารถนำ VAT ที่ตัวเองจ่ายไปในฐานะภาษีซื้อมาหักกลบกับภาษีขาย ทำให้ภาระต้นทุนต่ำลงได้ เช่น จากเดิมต้นทุน 107 บาทจะเหลือเพียง 100 บาท เพราะลูกค้าของผู้ประกอบการจะเป็นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 บาทให้แทน อย่างไรก็ดี แม้ต้นทุนเรื่องสินค้าหรือบริการจะลดลง แต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะมีต้นทุนค่าทำบัญชีเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อม ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว (ผู้ประกอบการจดทะเบียน) เป็นผู้ทำหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้บริโภค15 แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรเป็นรายเดือน โดยต้องยื่นภาษีทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไปไม่ว่าผู้ประกอบการฯ จะมีภาษีต้องชำระหรือไม่ก็ตาม16 ความหมายของ ‘ผู้ประกอบการ’ผู้ประกอบการ หมายถึง บุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ และไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วหรือไม่17 ซึ่งอาจเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างชาติก็ได้ อย่างไรก็ดี หากผู้ขายสินค้าหรือให้บริการนั้นไม่ได้ทำในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ก็จะไม่ใช่ผู้ประกอบการ และไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแม้จะมีการขายสินค้าหรือให้บริการเกิดขึ้นก็ตาม เช่น ขายรถยนต์มือสองที่ใช้ส่วนตัว ช่วยคนรู้จักทาสีบ้าน เป็นต้น และเมื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะเรียกว่า “ผู้ประกอบการจดทะเบียน”18 การเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจดทะเบียน1. กิจการกลุ่มที่ถูกบังคับให้ต้องจดทะเบียน VATโดยทั่วไป การขายสินค้าหรือบริการในประเทศที่ไม่มีกฎหมายเขียนยกเว้นเอาไว้จะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งถ้ายอดขายระหว่างปีเกิน 1,800,000 บาท (เฉลี่ยยอดขายเกินเดือนละ 150,000 บาท) กิจการจะถูกบังคับให้ต้องจดทะเบียน VAT ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อยอดขายเกิน 1,800,000 บาท เมื่อใด ผู้ประกอบการจะมีหน้าที่ต้องรีบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ฐานยอดขายเกิน19 อย่างไรก็ดี การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะยอดขายเกิน 1,800,000 บาทนั้น แม้ผู้ประกอบการจะไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีขายจากยอดขายที่เกิดขึ้นก่อนจดทะเบียนก็จริง แต่ผู้ประกอบการก็เสียสิทธินำภาษีซื้อที่เกิดขึ้นก่อนเวลาที่ตนจะเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนมาขอคืนหรือเครดิตได้ เพราะภาษีซื้อนั้นจ่ายก่อนจดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม20 2. กิจการกลุ่มที่ถูกไม่บังคับให้ต้องจดทะเบียน VATข้อยกเว้นกรณียอดขายไม่เกิน 1.8 ล้านบาทกรณียอดขายตลอดทั้งปีไม่เกิน 1,800,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่บังคับให้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ เพราะกฎหมายจัดว่าเป็นกิจการขนาดย่อม21 (ถ้ายอดขายตลอดทั้งปี 1,800,000 บาท พอดี จะยังไม่ถูกบังคับให้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่ถึงแม้ยอดขายตลอดทั้งปีจะไม่เกิน 1,800,000 บาท ผู้ประกอบการก็สามารถเลือกเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยความสมัครใจเมื่อไหร่ก็ได้ ข้อยกเว้นกรณีกิจการได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มการขายสินค้าหรือบริการบางประเภท กฎหมายได้ยกเว้น VAT ให้อยู่แล้ว ดังนั้น แม้ยอดขายสินค้าหรือบริการเหล่านั้นตลอดปีจะเกิน 1,800,000 บาท ก็ไม่มีภาระต้องจดทะเบียน VAT แต่อย่างใด เช่น การขายสินค้าเกษตร หรือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน การแพทย์ เป็นต้น22 จุดความรับผิดของภาษีมูลค่าเพิ่ม (Tax point)ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าจะมีความรับผิดต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเรียกว่าเกิด “จุดความรับผิด” (Tax point) เพื่อเกิดกิจกรรมบางอย่างขึ้นในเดือนภาษีนั้นๆ โดยแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมดังนี้ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายสินค้าความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายสินค้าจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งต่อไปนี้เกิดขึ้นในเดือนภาษีใดๆ23
โดยให้ความรับผิดเกิดขึ้นตามส่วนของการกระทำนั้นๆ แล้วแต่กรณี เทคนิคการตั้งตัวแทนกรณีฝากขาย เพื่อแก้ปัญหาจุดความรับผิดเกิดก่อนผู้ผลิตได้รับชำระเงินในบางกรณี ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นผู้ผลิตตกลงนำสินค้าไปฝากขายตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อ โดยยังไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจนกว่าสินค้าดังกล่าวจะขายได้ ดังนั้น เมื่อผู้ผลิตสินค้าส่งมอบสินค้าให้แก่ห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อ จึงเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า24 ทำให้ผู้ผลิตสินค้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม25 เพราะเกิดจุดความรับผิดแล้ว และผู้ผลิตสินค้ามีหน้าที่จัดทำใบกำกับภาษีในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น26 และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนที่ตนจะได้รับชำระเงิน เพื่อบรรเทาปัญหากรณีฝากขายดังกล่าว ผู้ผลิตสามารถทำสัญญาแต่งตั้งให้ห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อเป็นตัวแทนของผู้ผลิตได้27 ซึ่งจะส่งผลให้เลื่อนจุดความรับผิดจากเดิมที่เกิดขึ้น ณ เวลาส่งมอบ เป็น ณ เวลาที่ตัวแทนได้รับชำระเงินได้ โดยการตั้งตัวแทนต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้28
ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการให้บริการความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการให้บริการจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งต่อไปนี้เกิดขึ้นในเดือนภาษีใดๆ29
โดยให้ความรับผิดเกิดขึ้นตามส่วนของการกระทำนั้นๆ แล้วแต่กรณี เรื่องที่มักเข้าใจผิดบ่อย
อ้างอิง
|