๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม | เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น |
กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน | เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน |
พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา | นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน |
โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล | ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง |
เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมมานำผิด | น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง |
ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง | แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร |
รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน | ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้ |
ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ | ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี |
วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ | ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี |
แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี | ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้ |
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น | ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้ |
หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย | ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี |
อย่าเลยจะรับแม่กลับมา | ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี |
พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ | ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา |
อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ | เมื่อไรตะวันจะลับหล้า |
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา | จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร |
เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท | ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข |
น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ | สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา |
ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง | ลอยลมล่องดังถึงเคหา |
คะเนนับย่ำยามได้สามครา | ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน |
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง | จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น |
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน | เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว |
ลงยันต์ราชะเอาปะอก | หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว |
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว | พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา |
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ | เสร็จครบบริกรรมพระคาถา |
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า | รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ |
๏ เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง | ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น |
กองไฟสว่างดังกลางวัน | หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู |
จึงร่ายมนตรามหาสะกด | เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ |
ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู | คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ |
ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ | นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ |
จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ | โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี |
ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม | รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ |
ย่างเท้าก้าวไปในทันที | มิได้มีใครทักแต่สักคน |
มีแต่หลับเพ้อมะเมอฝัน | ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน |
ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน | มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง |
จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย | ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง |
สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง | ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้ |
หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ | เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว |
เรณูฟูร่อนขจรใจ | ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม |
ข้าไทนอนหลับลงทับกัน | สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม |
กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม | อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา |
ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น | อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา |
ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา | เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง |
นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง | มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง |
เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง | ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน |
จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว | นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น |
พลางนั่งลงนอบนบอภิวันท์ | สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ |
โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย | ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ |
เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ | มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา |
มันไปฉุดมารดาเอามาไว้ | อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้า |
ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา | ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย |
เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา | มารดาก็ฟื้นตื่นโดยง่าย |
ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย | วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง | ต้องมนต์มัวหมองเป็นหนักหนา |
ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา | เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง |
สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว | กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง |
ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง | พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา |
อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน | ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา |
จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา | สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ ฯ |
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา | ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่ |
ลุกออกมาพลันด้วยทันใด | พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา |
วันทองประคองสอดกอดลูกรัก | ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า |
เจ้ามาไยปานนี้นี่ลูกอา | เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน |
ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ | พ่อช่างลอบเข้ามากะไรได้ |
อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย | นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง |
ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ | เขาจะรุกรานพาลข่มเหง |
จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง | ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ |
มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า | พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน |
มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ | อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ ฯ |
๏ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา | ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่ |
รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป | ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง |
ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ | พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง |
มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง | พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์ |
ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น | เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ |
ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน | ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ |
ลูกมาหมายว่าจะมารับ | เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน |
แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล | ประการใดก็ตามแต่เวรา |
มาอยู่ไยกับไอ้หินชาติ | แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา |
ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา | หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม |
เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว | มาเกลือกกลั้วปทุมาลย์ที่หวานหอม |
ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม | ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ |
แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ | เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่ |
จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร | ฤๅหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย |
ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า | แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย |
ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย | เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง | เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา |
พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา | แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย |
ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง | มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน |
ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท | ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม |
ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก | มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม |
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม | จะขืนความคิดไปก็ใช่ที |
เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ | เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี |
ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี | เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง |
เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ | ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง |
เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง | ท่านก็วางบทคืนให้บิดา |
เจ้าเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก | มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า |
จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา | ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์ |
พระองค์คงจะโปรดประทานให้ | จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน |
อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน | เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ ฯ |
๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม | ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่ |
คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป | เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา |
จึงว่าอนิจจาลูกมารับ | แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา |
เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา | อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป |
เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน | จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ |
แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ | จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที |
จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป | ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ |
แม่อย่าเจรจาให้ช้าที | จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ฯ |
๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา | เห็นลูกยากัดฟันมันไส้ |
ถือดาบฟ้าฟื้นยืนแกว่งไกว | ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน |
จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก | อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน |
จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ | แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ |
ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา | เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม |
ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม | ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล |
ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง | เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล |
พระหมื่นไวยก็พามารดาไป | พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง | นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้อน |
อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน | ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น |
หาหมอมารักษายาเข้าปรอท | มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น |
ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน | ฟันฟางก็หักจากปากตัว |
ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง | ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว |
ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว | ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย |
ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง | ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย |
ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย | เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ |
ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย | หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่ |
ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป | ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน |
พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น | อีอุ่นอีอิ่มอีฉิมอีสอน |
อีมีอีมาอีสาคร | นิ่งนอนไยหวามาหากู |
บ่าวผู้หญิงวิ่งไปอยู่งกงัน | เห็นนายนั้นแก้ผ้ากางขาอยู่ |
ต่างคนทรุดนั่งบังประตู | ตกตะลึงแลดูไม่เข้ามา |
ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ | ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า |
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังก้า | ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว |
ยายจันงันงกยกมือไหว้ | นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว |
ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว | ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ |
สองมือปิดขาเหมือนท่าเปรต | ใครมาเทศน์เอาผ้ากูไปไหน |
ให้นึกอดสูหมู่ข้าไท | ยายจันไปเอาผ้าให้ข้าที |
ยายจันตกใจเต็มประดา | เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่ |
หยิบยื่นส่งไปให้ทันที | เมินหนีอดสูไม่ดูนาย |
ขุนช้างตัวสั่นทาวบอกบ่าวไพร่ | วันทองไปไหนอย่างไรหาย |
เอ็งไปดูให้รู้ซึ่งแยบคาย | พบแล้วอย่าวุ่นวายให้เชิญมา ฯ |
๏ ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้ | ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้า |
ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา | ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน |
เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิดกว้าง | ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น |
เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน | กินใจกลับมาหาขุนช้าง |
บอกว่าได้ค้นคว้าหาพบไม่ | แล้วเล่าแจ้งเหตุไปสิ้นทุกอย่าง |
ข้าเห็นวิปริตผิดท่าทาง | ที่นวลนางวันทองนั้นหายไป ฯ |
๏ ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก | เหงื่อออกโซมล้านกระบานใส |
คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ | ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง |
สองหนสามหนก่นแต่หนี | พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง |
คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง | นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร |
ไม่คิดว่าจะเป็นเห็นว่าแก่ | ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน |
เอาเถิดเป็นไรก็เป็นไป | ไม่เอากลับมาได้มิใช่กู ฯ |
๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม | เกรงเนื้อความนั่งนึกตรึกตรองอยู่ |
อ้ายขุนช้างสารพัดเป็นศัตรู | ถ้ามันรู้ว่าลักเอาแม่มา |
มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ | ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา |
ดูจะระแวงผิดในกิจจา | มารดาก็จะต้องซึ่งโทษภัย |
คิดแล้วเรียกหมื่นวิเศษผล | เอ็งเป็นคนเคยชอบอัชฌาสัย |
จงไปบ้านขุนช้างด้วยทันใด | ไกล่เกลี่ยเสียอย่าให้มันโกรธา |
บอกว่าเราจับไข้มาหลายวัน | เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้า |
เมื่อคืนนี้ซ้ำมีอันเป็นมา | เราใช้คนไปหาแม่วันทอง |
พอขณะมารดามาส่งทุกข์ | ร้องปลุกเข้าไปถึงในห้อง |
จึงรีบมาเร็วไวดังใจปอง | รักษาจนแสงทองสว่างฟ้า |
ไม่ตายคลายคืนฟื้นขึ้นได้ | กูขอแม่ไว้พอเห็นหน้า |
แต่พอให้เคลื่อนคลายหลายเวลา | จึงจะส่งมารดานั้นคืนไป ฯ |
๏ หมื่นวิเศษรับคำแล้วอำลา | รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่ |
ครั้นถึงแอบดูอยู่แต่ไกล | เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งเรือนชาน |
ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้าต่างเรือน | ดูหน้าเฝื่อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน |
จะดื้อเดินเข้าไปไม่เป็นการ | คิดแล้วลงคลานเข้าประตู ฯ |
๏ ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง | นั่งคาหน้าต่างเยี่ยมหน้าอยู่ |
เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู | นี่มาล้อหลอกกูฤๅอย่างไร |
อะไรพอสว่างวางเข้ามา | เด็กหวาจับถองให้จงได้ |
ลุกขึ้นถกเขมรร้องเกนไป | ทุดอ้ายไพร่ขี้ครอกหลอกผู้ดี ฯ |
๏ ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว | ยกมือขึ้นไหว้ไม่วิ่งหนี |
ร้องตอบไปพลันในทันที | คนดีดอกข้าไหว้ใช่คนพาล |
ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระหมื่นไวย | เป็นขุนหมื่นรับใช้อยู่ในบ้าน |
ท่านใช้ให้กระผมมากราบกราน | ขอประทานคืนนี้พระหมื่นไวย |
เจ็บจุกปัจจุบันมีอันเป็น | แก้ไขก็เห็นหาหายไม่ |
ร้องโอดโดดดิ้นเพียงสิ้นใจ | จึงใช้ให้ตัวข้ามาแจ้งการ |
พอพบท่านมารดามาส่งทุกข์ | ข้าพเจ้าร้องปลุกไปในบ้าน |
จะกลับขึ้นเคหาเห็นช้านาน | ท่านจึงรีบไปในกลางคืน |
พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้ | คุณอย่าสงสัยว่าไปอื่น |
ให้คำมั่นสั่งมาว่ายั่งยืน | พอหายเจ็บแล้วจะคืนไม่นอนใจ ฯ |
๏ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า | แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล |
ดับโมโหโกรธาทำว่าไป | เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี |
การไข้เจ็บล้มตายไม่วายเว้น | ประจุบันอันเป็นทั้งกรุงศรี |
ถ้าขัดสนสิ่งไรที่ไม่มี | ก็มาเอาที่นี่อย่าเกรงใจ |
ว่าแล้วปิดบานหน้าต่างผาง | ขุนช้างเดือดดาลทะยานไส้ |
ทอดตัวลงกับหมอนถอนฤทัย | ดูดู๋เป็นได้เจียววันทอง |
เพราะกูแพ้ความจมื่นไวย | มันจึงเหิมใจทำจองหอง |
พ่อลูกแม่ลูกถูกทำนอง | ถึงสองครั้งแล้วเป็นแต่เช่นนี้ |
อ้ายพ่อไปเชียงใหม่มีชัยมา | ตั้งตัวดังพระยาราชสีห์ |
อ้ายลูกเป็นหมื่นไวยทำไมมี | เห็นกูนี้คนผิดติดโทษทัณฑ์ |
มันจึงข่มเหงไม่เกรงใจ | จะพึ่งพาใครได้ที่ไหนนั่น |
ขุนนางน้อยใหญ่เกรงใจกัน | ถึงฟ้องมันก็จะปิดให้มิดไป |
ตามบุญตามกรรมได้ทำมา | จะเฆี่ยนฆ่าหาคิดชีวิตไม่ |
ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ | ฉวยได้กระดานชนวนมา |
ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย | ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา |
ลงกระดาษพับไว้มิได้ช้า | อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล |
วันนั้นพอพระปิ่นนรินทร์ราช | เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่ |
ขุนช้างมาถึงซึ่งวังใน | ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช | เสด็จคืนนิเวศน์พอจวบค่ำ |
ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ | เรือประจำแหนแห่เซ็งแซ่มา |
พอเรือพระที่นั่งประทับที่ | ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า |
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา | ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ |
เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา | เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ |
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ | ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา |
ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ | มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา |
สู้ตายขอถวายซึ่งฎีกา | แค้นเหลือปัญญาจะทานทน ฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา | ทรงพระโกรธาโกลาหล |
ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน | บนบกบนฝั่งดังไม่มี |
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา | ฤๅอ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่ |
เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที | ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป |
มหาดเล็กก็รับเอาฟ้องมา | ตำรวจคว้าขุนช้างหาวางไม่ |
ลงพระราชอาญาตามว่าไว้ | พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา |
ว่าตั้งแต่วันนี้สืบต่อไป | หน้าที่ของผู้ใดให้รักษา |
ถ้าประมาทราชการไม่นำพา | ปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง |
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน | ถึงประหารชีวิตเป็นผุยผง |
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ | แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท | เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว |
อยู่บ้านสุขเกษมเปรมใจ | สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง |
ลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา | ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง |
เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง | คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี |
นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ | ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้นจากที่ |
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี | พระพายพัดมาลีตรลบไป |
คิดคะนึงถึงมิตรแต่ก่อนเก่า | นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย |
ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป | ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน |
กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง | ละวางให้วันทองน้องโศกศัลย์ |
เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน | จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ |
สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง | อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้ |
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย | บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา |
จำกูจะไปสู่สวาดิน้อง | เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา |
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา | น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ |
ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา | ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่ |
เข้าห้องวันทองในทันใด | เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา |
ลดตัวลงนั่งข้างวันทอง | เตือนต้องด้วยความเสนหา |
สั่นปลุกลุกขึ้นเถิดน้องอา | พี่มาหาแล้วอย่านอนเลย ฯ |
๏ นางวันทองตื่นอยู่รู้สึกตัว | หมายใจว่าผัวก็ทำเฉย |
นิ่งดูอารมณ์ที่ชมเชย | จะรักจริงฤๅจะเปรยเป็นจำใจ |
แต่นิ่งดูกิริยาเป็นช้านาน | หาว่าขานโต้ตอบอย่างไรไม่ |
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย | ความอาลัยปั่นป่วนยวนวิญญาณ์ ฯ |
๏ โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย | เจ้าหลับใหลกะไรเลยเป็นหนักหนา |
ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา | ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง |
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาดิ | พี่ไม่คลาศคลายรักแต่สักสิ่ง |
เผอิญเป็นวิปริตพี่ผิดจริง | จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย |
ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง | จูบพลางชวนชิดพิสมัย |
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ | เป็นไรจึงไม่ฟื้นตื่นนิทรา ฯ |
๏ เจ้าวันทองน้องตื่นจากที่นอน | โอนอ่อนวอนไหว้พิไรว่า |
หม่อมน้อยใจฤๅที่ไม่เจรจา | ใช่ตัวข้านี้จะงอนค่อนพิไร |
ชอบผิดพ่อจงคิดคะนึงตรอง | อันตัวน้องมลทินหาสิ้นไม่ |
ประหนึ่งว่าวันทองนี้สองใจ | พบไหนก็เป็นแต่เช่นนั้น |
ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น | คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น |
ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน | คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ |
แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย | ยามมีที่เชยเฉยเสียได้ |
เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร | กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย |
พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก | ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย |
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย | เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอิกเลย ฯ |
๏ พี่ผิดจริงแล้วเจ้าวันทอง | เหมือนลืมน้องหลงเลือนทำเชือนเฉย |
ใช่จะเพลิดเพลินชื่นเพราะอื่นเชย | เงยหน้าเถิดจะเล่าอย่าเฝ้าแค้น |
เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ | ต้องกลืนกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน |
ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน | มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ |
อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่ | คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ |
เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ | แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินท์ |
กลับมาหมายว่าจะไปตาม | พอเจ้าไวยเป็นความก็ค้างสิ้น |
หัวอกใครได้แค้นในแผ่นดิน | ไม่เดือดดิ้นเท่าพี่กับวันทอง |
คิดอยู่ว่าจะทูลพระพันวษา | เห็นช้ากว่าจะได้มาร่วมห้อง |
จะเป็นความอิกก็ตามแต่ทำนอง | จึงให้ลูกรับน้องมาร่วมเรือน |
จะเป็นตายง่ายยากไม่ยากรัก | จะฟูมฟักเหมือนเมื่ออยู่ในกลางเถื่อน |
ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน | เจ้าเพื่อนเสนหาจงอาลัย |
พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ | จะคุมโกรธคุมแค้นไปถึงไหน |
ความรักพี่ยังรักระงมใจ | อย่าตัดไมตรีตรึงให้ตรอมตาย |
ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก | ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย |
เจ้าเนื้อทิพหยิบชื่นอารมณ์ชาย | ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา ฯ |
๏ ใจน้องมิให้หมองอารมณ์หม่อม | ไม่ตัดใจให้ตรอมเสนหา |
ถ้าตัดรักหักใจแล้วไม่มา | หม่อมอย่าว่าเลยว่าฉันไม่คืนคิด |
ถึงตัวไปใจยังนับอยู่ว่าผัว | น้องนี้กลัวบาปทับเมื่อดับจิต |
หญิงเดียวชายครองเป็นสองมิตร | ถ้ามิปลิดเสียให้เปลื้องไม่ตามใจ |
คราวนั้นเมื่อตามไปกลางป่า | หน้าดำเหมือนหนึ่งทามินหม้อไหม้ |
ชนะความงามหน้าดังเทียนชัย | เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก |
เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา | ทีนี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก |
กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก | จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย |
มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก | เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย |
ถ้ารักน้องป้องปิดให้มิดอาย | ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟัน |
ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง | น้องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ |
ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน | ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว ฯ |
๏ นิจจาใจเจ้าจะให้พี่เจ็บจิตร | ดังเอากฤชแกระกรีดในอกผัว |
เกรงผิดคิดบาปจึงหลาบกลัว | พี่นี้ชั่วเพราะหมิ่นประมาทความ |
อื่นไกลไหนพี่จะละเล่า | นี่เจ้าว่าดอกจะยั้งไว้ฟังห้าม |
เสียแรงมาว่าวอนจงผ่อนตาม | อย่าหวงห้ามเสนหาให้ช้าวัน |
ว่าพลางคลึงเคล้าเข้าแนบข้าง | จูบพลางทางปลอบประโลมขวัญ |
ก่ายกอดสอดเกี่ยวพัลวัน | วันทองกั้นกีดไว้ไม่ตามใจ |
พลิกผลักชักชวนให้ชื่นชิด | เบือนบิดแบ่งรักหาร่วมไม่ |
สยดสยองพองเสียวแสยงใจ | พระพายพัดมาลัยตรลบลอย |
แมลงภู่เฝ้าเคล้าไม้ในไพรชัฏ | ไม่เบิกบานก้านกลัดเกสรสร้อย |
บันดาลคงคาทิพกะปริบกะปรอย | พรมพร้อยท้องฟ้านภาลัย |
อสนีครื้นครั่นสนั่นก้อง | น้ำฟ้าหาต้องดอกไม้ไม่ |
กระเซ็นรอบขอบสระสมุทไท | หวิวใจแล้วก็หลับกับเตียงนอน ฯ |
๏ ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ | ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน |
พระพายโชยเสาวรสขจายจร | พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง |
ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง | ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง |
วันทองน้องนอนสนิททรวง | จิตรง่วงระงับสู่ภวังค์ |
ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน | เลื่อนเปื้อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง |
ลดเลี้ยวเที่ยงหลงในดงรัง | ยังมีพยัคฆร้ายมาราวี |
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง | พอนางดั้นป่ามาถึงที่ |
โดดตะครุบคาดคั้นในทันที | แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร |
สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า | หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้ |
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย | ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา |
ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก | แมลงมุมทุ่มอกที่ริมฝา |
ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา | ดังวิญญาณ์นางจะพรากไปจากกาย ฯ |
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท | ฟังความตามนิมิตก็ใจหาย |
ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย | ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา |
พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล | ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา |
มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา | กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น |
จึงแกล้งเพทุบายทำนายไป | ฝันอย่างนี้มิใช่จะเกิดเข็ญ |
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็น | เนื้อเย็นอยู่กับผัวอย่ากลัวทุกข์ |
พรุ่งนี้พี่จะแก้เสนียดฝัน | แล้วทำมิ่งสิ่งขวัญให้เป็นสุข |
มิให้เกิดราคีกลียุค | อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ ฯ |
๏ ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า | สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย | เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ |
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม | หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด |
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด | ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน |
แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง | ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น |
เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน | น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา |
คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง | นี่มันฟ้องใครอิกไอ้ชาติข้า |
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา | ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ |
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์ | ขุนนางกราบราบลงเป็นขนัด |
ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด | หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป |
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า | เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน |
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด | รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน |
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา | ก็โกรธาเคืองขุ่นหุนหัน |
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน | อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว |
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน | ฤๅอีวันทองนั้นมันมีแก้ว |
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาแบ้งแบว | ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก |
ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย | หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก |
คราวนั้นเป็นความกูถามซัก | ตกหนักอยู่กับเถ้าศรีประจัน |
วันทองกูสิให้กับไอ้แผน | ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น |
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน | ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย ฯ |
๏ ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง | ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้ |
สั่งเวรกรมวังในทันใด | ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน |
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย | แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน |
ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์ | ให้หาทั้งสามทั่นนั้นเข้าไป ฯ |
๏ ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม | ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว |
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน | ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์ |
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท | ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน |
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน | เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา |
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ | คนเห็นคนทักรักทุกหน้า |
เสกกระแจะจวงจันทน์น้ำมันทา | เสร็จแล้วก็พาวันทองไป ฯ |
๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา | ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้ |
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว | ลงบันไดงันงกตกนอกชาน |
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี | กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน |
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน | ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป |
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง | ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้ |
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย | เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ปิ่นปักนัคเรศเรืองศรี |
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี | พระปรานีเหมือนลูกในอุทร |
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ | เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน |
ตรัสถามอย่างความราษฎร | ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง |
เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่ | กูสิให้ไอ้แผนประสมสอง |
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง | ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร |
ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน | แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่ |
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป | ครั้นยกให้สิเต้นกลับเล่นตัว |
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้ | เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว |
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว | ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ |
๏ ครานั้นวันทองได้รับสั่ง | ละล้าละลังประนมก้มเกศี |
หัวสยองพองพรั่นทันที | ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์ |
ขอเดชะละอองธุลีบาท | องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์ |
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ | ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป |
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง | กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่ |
อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร | ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ |
มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ | กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ |
ยื้อยุดฉุดคร่าทำสามานย์ | เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด |
ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ | ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด |
จนใจจะมิไปก็สุดฤทธิ | ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา |
มีพระสิงหนาทตวาดมา | อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน |
ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่ | มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน |
เป็นไม่มีอาญาสิทธิคิดดึงโดน | เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน |
เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย | ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน |
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน | เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป |
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี | ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้ |
นี่มึงหนีมันมาฤๅว่าไร | ฤๅว่าใครไปรับเอามึงมา ฯ |
๏ วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น | บังคมคัลประนมก้มเกศา |
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา | พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป |
ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ | กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้ |
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ | ขุนแผนก็มิได้ประเวณี |
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม | ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี |
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี | ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช | ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา |
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์ | ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย |
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้ | จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย |
ถ้าฉวยเกิดฆ่าฟันกันล้มตาย | อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู |
อีวันทองกูให้ไอ้แผนไป | อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่ |
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู | ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ |
ชอบตบให้สลบลงกับที่ | เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้ |
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ | อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์ |
มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว | ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์ |
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน | อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ |
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่ | ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่ |
อ้ายช้างมันก็ฟ้องเป็นสองนัย | ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา |
เป็นราคีข้อผิดมีติดตัว | หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา |
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา | ชวนพ่อฟ้องหาเอาเป็นไร |
อัยการศาลโรงก็มีอยู่ | ฤๅว่ากูตัดสินให้ไม่ได้ |
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป | ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้ |
มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง | จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่ |
จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู | ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว |
อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว | ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว |
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว | ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้ |
เฮ้ยอีวันทองว่ากะไร | มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่ |
อย่าพะวังกังขาเป็นราคี | เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น |
ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง | ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน |
อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลน | ถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามา ฯ |
๏ ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง | ให้ละล้าละลังเป็นหนักหนา |
ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาชญา | ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน |
พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า | บุ้ยปากตรงบิดาเป็นหลายหน |
วันทองหมองจิตรคิดเวียนวน | เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์ | หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่ |
พระตรัสความถามซักไปทันใด | ฤๅมึงไม่รักใครให้ว่ามา |
จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย | จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า |
ตามใจกูจะให้ดังวาจา | แต่นี้เบื้องหน้าขาดเด็ดไป ฯ |
๏ นางวันทองรับพระราชโองการ | ให้บันดาลบังจิตรหาคิดไม่ |
อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ | ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา |
คิดคะนึงตะลึงตะลานอก | ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา |
ให้อุทัจอัดอั้นตันอุรา | เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด |
จะว่ารักขุนช้างกะไรได้ | ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด |
รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต | แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน |
อย่าเลยจะทูลเป็นกลางไว้ | ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน |
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน | นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน |
ความรักขุนแผนก็แสนรัก | ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์ |
สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน | สารพันอดออมถนอมใจ |
ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา | คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่ |
เงินทองกองไว้มิให้ใคร | ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว |
จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก | ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว |
ทูลพลางตัวนางระเริ่มรัว | ความกลัวพระอาญาเป็นพ้นไป ฯ |
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ | ฟังจบแค้นคั่งดังเพลิงไหม้ |
เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ | ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง |
จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ | น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง |
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง | ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก |
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ | จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก |
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก | น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน |
อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม | ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น |
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ | ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม |
รูปงามนามเพราะน้อยไปฤๅ | ใจไม่ซื่อสมศักดิเท่าเส้นผม |
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม | สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน |
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง | จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ |
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน | สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ |
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว | หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่ |
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย | อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา |
กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น | คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้า |
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา | กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย |
หญิงกาลกิณีอีแพศยา | มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย |
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป | มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้ |
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช | ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี |
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี | อย่าให้มีโลหิตติดดินกู |
เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน | ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่ |
ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู | สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย ฯ |