ก. การมีสิ่งชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมาอยู่รวมกัน ณ สถานที่หนึ่งในระบบนิเวศใดระบบนิเวศหนึ่ง
ข. สิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดอยู่ร่วมกัน
ค. สิ่งมีชีวิตหลายๆชนิดอยู่ร่วมกันในระบบนิเวศน์หนึ่งๆ
ง. สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวอาศัยร่วมกันมีความหลากหลายทางพันธุกรรมทำให้เกิดสายพันธุ์ต่างๆ
2. สภาพแวดล้อม ที่เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ รวมไปถึงสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยทางกายภาพได้แก่อะไรบ้าง
ก. สารเคมี กรด เบส ดิน
ข. อุณหภูมิ ความชื้น ดิน พลังงาน
ค. อุณหภูมิ ความชื้น ดิน น้ำ
ง. ดิน น้ำ ความชื้น สารเคมี
3. พืชมีวิวัฒนาการจากสาหร่ายพวกใด
ก. สาหร่ายพวก Charophycean
ข. สาหร่ายพวก สีเขียวแกมน้ำเงิน
ค. สาหร่ายพวก สไปรนีน่า
ง. สาหร่ายพวก Charotophy
4. สัตว์สามารถจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ กี่ประเภท อะไรบ้าง
ก. 3 ประเภท ได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ข. 3 ประเภท ได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์เลือดอุ่น
ค. 2 ประเภท ได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ง. 2 ประเภท ได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
5. Artificial system เป็นการจำแนกสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยหลักการใด
ก. พิจารณาความสัมพันธ์ ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและการมีบรรพบุรุษร่วมกัน
ข. อาศัยหลักธรรมชาติ ลักษณะภายนอก ลักษณะภายใน พฤติกรรมและนิเวศวิทยา
ค. พิจารณาลักษณะภายนอก ลักษณะภายใน เอมบริโอและลักษณะทางชีวเคมี
ง. พิจารณาลักษณะภายนอกทั่วๆ ไปเท่าสังเกตได้ ลักษณะคล้ายกันจัดอยู่พวกเดียวกัน ลักษณะแตกต่างกันจัดแยกกันออกไป
6. ข้อใดคือหลักเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งมีชีวิต
ก. ลักษณะที่อยู่อาศัย
ข. ลักษณะโครงสร้าง
ค. ลักษณะพฤติกรรม
ง. ลักษณะการดำรงชีวิตในระบบนิเวศน์
7. อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้เป็นกี่อาณาจักร
ก. 2 อาณาจักร
ข. 3 อาณาจักร
ค. 4 อาณาจักร
ง. 5 อาณาจักร
8. เห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในอาณาจักรใด
ก. อาณาจักรโมเนอรา (kingdom Monera)
ข. อาณาจักรโพรทิสตา (kingdom Protista)
ค. อาณาจักรฟังไจ (kingdom Fungi)
ง. อาณาจักรพืช (kingdom Plantae)
9. สิ่งมีชีวิตชนิดใดมีจำนวนชนิดมากที่สุดรองจากสาหร่าย
ก. เห็ดรา
ข. โปรโตซัว
ค. พืช
ง. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
10. หนอนทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในไฟลัมใดต่อไปนี้
ก. phylum Coelenterata
ข. phylum Platyhelminthes
ค. phylum Mollusca
ง. phylum Annelida
11. ปูน้ำจืดและปูน้ำเค็ม เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในไฟลัมใดดังต่อไปนี้
ก. phylum Echinodermata
ข. phylum Chaetognatha
ค. phylum Arthropoda
ง. phylum Mollusca
12. วัว ควาย กระต่าย หนอน เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในผู้บริโภคกลุ่มใด
ก. Herbivore
ข. Carnivore
ค. Omnivore
ง. Scauenger
13. นกแร้ง ไส้เดือนดิน กิ้งกือ ปลวก เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในผู้บริโภคกลุ่มใด
ก. Herbivore
ข. Carnivore
ค. Omnivore
ง. Scauenger
14. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์ที่มีการกินต่อกันเป็นทอดๆ ตามลำดับ เรียกความสัมพันธ์นี้ว่าอะไร
ก. ห่วงโซ่อาหาร
ข. สายใยอาหาร
ค. ห่วงโซ่ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
ง. สายใยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
15. สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ดำรงชีวิตโดยการหลั่งเอนไซม์ออกมาย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
กลายเป็นอินทรีย์สารโมเลกุลเล็กๆ แสงดูดซึมเราจัดเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มใดในระบบนิเวศน์
ก. producer
ข. consumer
ค. Decomposer
ง. carnivore
16. กล้วยไม้ที่ขึ้นเกาะตามต้นไม้ใหญ่เพื่ออาศัยแร่ธาตุจากเปลือกไม้ เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตแบบใด
ก. ภาวะการเป็นผู้อาศัย
ข. ภาวะการได้ประโยชน์ร่วมกัน
ค. ภาวะการเกื้อกูล
ง. ภาวะพึ่งพากันและกัน
17. ต้นไม้ใหญ่บังแสงไม่ให้สองถึงต้นไม้เล็กที่อยู่ข้างล่าง ทำให้ต้นไม้เล็กไม่สามารถเจริญเติบโตได้เป็นความสัมพันธ์แบบใด
ก. ภาวะกีดกัน
ข. ภาวะของการแข่งขัน
ค. ภาวะเป็นกลาง
ง. ภาวะการเป็นผู้อาศัย
18. มนุษย์มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ (Scientifiname) ว่า Homo sapiens คำว่า Homo เป็นชื่อของอะไร
ก. จีนัส
ข. ไฟลัม
ค. คลาส
ง. คิงดอม
19. นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่นำคำว่า “สปีชี” มาใช้ในชีววิทยาคือใคร
ก. อาริสโตเติล
ข. จอห์น เรย์
ค. ดาวินชี
ง. โรเบิร์ต ฮุค
20. สุนัข วัว แมว จัดอยู่ในสิ่งมีชีวิตคลาสใดต่อไปนี้
ก. class vermes
ข. class pisecst
ค. class aves
ง. class mamalia
ความหลากหลายทางชีวภาพ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ระดับ คือ
ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Diversity) หมายถึง ความแปรผันทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นภายในประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน เป็นความแตกต่างของสารพันธุกรรมภายในสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษผ่านทางหน่วยพันธุกรรมหรือ “ยีน” (Gene) ซึ่งส่งผลให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเด่น หรือความแตกต่างขึ้นภายในประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ เช่น การมีสีสันและลวดลายที่หลากหลายของหอยทาก “โกลฟว์ สเนล” (Grove Snail) รวมถึงการมีสีของเส้นผม สีของผิวหนัง และสีของนัยน์ตาแตกต่างกันออกไปในประชากรของมนุษย์
ความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ (Species Diversity) หมายถึง ความแปรผันทางชนิดพันธุ์ (Species) ที่เกิดขึ้นในระดับกลุ่มของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ผ่านการสะสมและการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ซึ่งความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ถือเป็นผลจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ที่ทำให้เกิดทั้งการสูญพันธุ์และการก่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปของโลก
ความหลากหลายทางระบบนิเวศ (Ecological Diversity) หมายถึง การดำรงอยู่ของระบบนิเวศแต่ละประเภทบนโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystems) และระบบนิเวศในน้ำ (Aquatic Ecosystems) เช่น ป่าดงดิบ ทุ่งหญ้า ป่าชายเลน ทะเลสาบ หรือ ชายหาดและแนวปะการัง ตลอดจนระบบนิเวศเมือง (Urban Ecosystems) ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งความหลากหลายทางระบบนิเวศนั้น เป็นผลจากความแตกต่างทางสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ของโลก อีกทั้ง ยังนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์และลักษณะเด่นของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ซึ่งภายในระบบนิเวศแต่ละประเภท ล้วนมีสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปอาศัยอยู่
โลก จึงประกอบขึ้นจากระบบนิเวศอันหลากหลายกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชนิดพันธุ์และความหลากหลายทางระบบนิเวศ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่ก่อให้เกิดสมดุลของโลก
ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและสถานการณ์ปัจจุบัน
ความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโลกในทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้โลกจะเผชิญกับความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น หรือโรคระบาด ความหลากหลายทางชีวภาพถือเป็นเครื่องการันตีความอยู่รอดของทุกชีวิต อีกทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศที่ให้กำเนิด “นิเวศบริการ” (Ecological Services) ซึ่งสร้างทรัพยากรและคุณประโยชน์มากมายต่อทุกชีวิต
แต่ในปัจจุบันนี้ ทุกๆ ปี มีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ราว 10,000 ชนิดทั่วโลก ซึ่งถือเป็นอัตราที่รวดเร็วเกิดกว่าการสูญพันธุ์ในยุคก่อนที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นหลายร้อยเท่า แม้ว่าการสูญพันธุ์จะเป็นหนึ่งในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่การอัตราการสูญเสียที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของประชากรและการพัฒนาของสังคมเมืองที่นำไปสู่การทำลายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ การรุกรานเพื่อแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงปลดปล่อยของเสียและมลพิษ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโลกครั้งยิ่งใหญ่
นอกเหนือจากการสูญพันธุ์ไปของสิ่งมีชีวิตบางชนิด การเสื่อมโทรมลงของระบบนิเวศเป็นผลกระทบที่ไม่อาจลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน ซึ่งหากสถานการณ์ในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไปโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงใด ๆ สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ 20 ชนิดทั่วโลกอาจจะสูญเสียพันธุ์ไปอย่างถาวรภายในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Hotspot) ที่มีชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (Endangered Species) และมี “สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น” (Endemic Species) อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น
ถึงแม้พื้นที่ซึ่งมีความสำคัญทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพเหล่านี้ จะคิดเป็นเพียงร้อยละ 2.3 ของพื้นผิวโลกทั้งหมด แต่กว่าร้อยละ 44 ของพืชพรรณในโลกล้วนดำรงอยู่ในพื้นที่เฉพาะเหล่านี้ ซึ่งในอีกความหมายหนึ่ง คือพืชเหล่านี้เป็นชนิดพันธุ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในพื้นที่อื่นๆ ของโลก เช่น สิ่งมีชีวิตบนเกาะนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพของโลก โดยกว่าร้อยละ 90 ของชนิดพันธุ์แมลงและกว่าร้อยละ 80 ของชนิดพันธุ์พืชที่มีท่อลำเลียง (Vascular Plants) ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่ไม่ปรากฏบนส่วนไหนของโลกใบนี้อีกแล้ว และการสูญเสียสิ่งมีชีวิตบนเกาะแห่งนี้ หมายถึงการสูญพันธุ์จากโลกไปอย่างถาวร
สืบค้นและเรียบเรียง
คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ และณภัทรดนัย
ข้อมูลอ้างอิง
National Geographic Society – //www.nationalgeographic.org/encyclopedia/biodiversity/
National Geographic – //www.nationalgeographic.com/environment/2019/05/ipbes-un-biodiversity-report-warns-one-million-species-at-risk/