อนุสัญญาแรมซาร์หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดขึ้นจากการที่ประเทศต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ (wetlands) ซึ่งกำลังถูกคุกคามนำไปสู่การประชุม เพื่อรับรองอนุสัญญาดังกล่าวที่เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน พ.ศ. 2514
อนุสัญญานี้มีวัตถุประสงค์หลักในการอนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลกและสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด ประเทศที่เข้าร่วมในข้อตกลงจะต้องคัดเลือกพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติหรือนานาชาติอย่างน้อย 1 แห่ง บรรจุในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นในข้อตกลงของอนุสัญญา กำหนดและวางแผนในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำทุกแห่งในประเทศ ไม่ว่าจะขึ้นทะเบียนหรือไม่ก็ตาม
"วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกกำหนดขึ้นครั้งแรก ณ ที่ประชุมอนุสัญญาแรมซาร์ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2514 เพื่อการอนุรักษ์ ป้องกัน และยับยั้งการสูญเสียของพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" ซึ่งมีความสำคัญทางด้านทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก เพราะถือเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของระบบนิเวศมากที่สุดในโลก
หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่า "พื้นที่ชุ่มน้ำ" คืออะไร? แล้วทำไมถึงต้องมีการกำหนดวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลกขึ้นมา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ หาคำตอบมาให้รู้กันดังนี้
1. พื้นที่ชุ่มน้ำ คืออะไร?
"พื้นที่ชุ่มน้ำ" เป็นพื้นที่มีระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด พื้นที่ชุ่มน้ำมีประโยชน์คือ เป็นแหล่งความหลากหลายของพืชและสัตว์นานาชนิดที่อาศัยทรัพยากรน้ำและทรัพยากรชีวภาพ ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต
อีกทั้งยังเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ป้องกันน้ำท่วม ลดการพังทลายหน้าดิน ช่วยควบคุมการไหลเวียนของน้ำไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ
2. "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" เริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อไร?
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 (หรือ ค.ศ.1971) นานาชาติได้ร่วมยกร่างและลงนามในการรับรอง “อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ” ที่มีความสําคัญระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของ “นกน้ำ” โดยเกิดขึ้นครั้งแรก ณ เมือง Ramsar ประเทศอิหร่าน และเป็นที่รู้จักกันในนามอนุสัญญาแรมซาร์
จากนั้นก็มีการเฉลิมฉลองวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลกในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เรื่อยมาทุกปี ในฐานะที่เป็นวันครบรอบของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ต่อมาสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้จัดเฉลิมฉลอง World Wetlands Day (วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก) อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 (ค.ศ.1997)
3. ทำไมต้องมีวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก?
รู้หรือไม่? พื้นที่ชุ่มน้ำของโลกเกือบ 90% เสื่อมโทรมลงตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1700 และเราสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำเร็วกว่าพื้นที่ป่าถึง 3 เท่า ทั้งๆ ที่ "พื้นที่ชุ่มน้ำ" เป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เนื่องจากเพราะเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด มีส่วนช่วยปรับสมดุลของสภาพอากาศ เป็นแหล่งสำรองน้ำจืด และเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องสร้างความตระหนักรู้ในระดับประเทศและระดับโลกเกี่ยวกับ "พื้นที่ชุ่มน้ำ" เพื่อยับยั้งการสูญเสียแหล่งระบบนิเวศอันสำคัญเช่นนี้อย่างรวดเร็ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการด้านอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำให้มากที่สุด และได้เกิดเป้าประสงค์หลักของ "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" ขึ้นมาก็คือ
- เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักรู้ อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนเท่าที่จะเป็นไปได้
- เพื่อเป็นการอนุรักษ์ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยังเหลืออยู่ทุกแห่งทั่วโลก
4. "Wetlands Action for People and Nature" ธีมรณรงค์ปี 2565
สำหรับธีมรณรงค์ของ World Wetlands Day ในปีนี้ คือ "Wetlands Action for People and Nature" ซึ่งแปลความได้ว่า "ลงมือดูแลอนุรักษ์/ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อผู้คนและธรรมชาติ
โดยเน้นให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการอนุรักษ์และใช้พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนสำหรับมนุษย์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
5. "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" ในประเทศไทย
ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2514 โดยได้เสนอ “พรุควนขี้เสี้ยน” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย และลำดับที่ 948 ของโลก
หาก “น้ำ” คือแหล่งกำเนิดของชีวิต “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่ให้ทุกชีวิตได้พึ่งพิงอาศัย และเมื่อบ้านเริ่มมีรอยแตกร้าว ก็ถึงเวลาแล้วที่เจ้าบ้านอย่างเราควรจะกลับมาดูแลใส่ใจอย่างจริงจัง
ว่าแต่… พื้นที่ชุ่มน้ำคืออะไร?
ตามอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “พื้นที่ชุ่มน้ำ” (Wetlands) หมายถึง “ที่ลุ่ม ที่ราบลุ่ม ที่ชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขัง หรือ น้ำท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง และน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเล และในทะเลที่บริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุด มีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร ตัวอย่างเช่น ห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้ำ หาดโคลน หาดเลน ชายทะเล ป่าพรุ ป่าเลน รวมทั้งนาข้าว นากุ้ง นาเกลือ เป็นต้น”
- Photo Credit: wetlands.onep.go.th
อนุสัญญาแรมซาร์ ได้ถูกกำหนดและตั้งชื่อตามชื่อสถานที่จัดให้มีการประชุมเพื่อรับรองอนุสัญญาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน อนุสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล ซึ่งกำหนดกรอบการทำงานสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้กลายเป็น “วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก” (World Wetlands Day) เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ โดยปัจจุบันมีภาคีเครือข่ายทั่วโลกรวม 171 ประเทศ และมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลก จำนวน 2,293 แห่ง
ในคู่มืออนุสัญญาแรมซาร์ (The Ramsar Convention Manual) ได้แบ่งประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำเป็น 5 ประเภท คือ
1. พื้นที่ทางทะเล (Marine) เป็นบริเวณที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสจากแม่น้ำ ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเล รวมถึงทะเลสาบน้ำเค็ม หาดหิน และแนวปะการัง
2. พื้นที่ปากแม่น้ำ (Estuarine) เป็นบริเวณที่แม่น้ำและทะเลมาบรรจบกัน มีความเค็มระหว่างน้ำทะเลและน้ำจืด ได้แก่ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่ราบลุ่มน้ำขึ้นถึง และพื้นที่ป่าชายเลน
3. พื้นที่ทะเลสาบ (Lacustrine) แหล่งน้ำขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ที่มีน้ำขังตลอดเวลาหรือบางฤดู และมีกระแสน้ำไหลเล็กน้อย มีความลึกมากกว่า 2 เมตร ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณทะเลสาบ บึงต่าง ๆ
4. พื้นที่แหล่งน้ำไหล (Riverine) บริเวณที่มีน้ำไหลตลอดปี หรือบางฤดู ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณแม่น้ำ ลำธาร ห้วย
5. พื้นที่หนองน้ำ หรือที่ลุ่มชื้นแฉะ (Palustrine) เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังตลอดเวลา หรือบางฤดู มีความลึกไม่เกิน 2 เมตร และมีพืชน้ำปกคลุมผิวน้ำมากกว่าร้อยละ 30 ได้แก่ ที่ลุ่มชื้นแฉะ ที่ลุ่มน้ำขัง และหนองน้ำซับ
นอกจากนี้ยังรวมถึงแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น (Human-made) ด้วย เช่น นาข้าว นาเกลือ บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ชลประทาน อ่างเก็บน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำแบบบึงประดิษฐ์บำบัดน้ำเสีย คลองที่ขุดขึ้น รวมถึงเขาหินปูนและระบบอุทกวิทยาใต้ดินที่มนุษย์สร้างขึ้น
- Photo Credit: wetlands.onep.go.th
พื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งพืชและสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของห่วงโซ่อาหาร การป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำได้แปรเปลี่ยนสภาพไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเขตเมือง การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำมีสภาพเสื่อมโทรมและลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
ทั้งนี้ข้อมูลพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลกในปัจจุบัน พบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำในแผ่นดินและพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลมีพื้นที่ครอบคลุมมากว่า 12.1 ล้าน ตารางกิโลเมตร
โดยทวีปเอเชียมีขนาดพื้นที่ชุ่มน้ำรวมมากที่สุด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา (พ.ศ. 2561) พบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติลดลง ร้อยละ 35 (คิดเป็น 3 เท่าของอัตราการสูญเสียป่าไม้) ส่วนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นมี เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 ของพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก (ซึ่งคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มอีก)
คุณค่าของพื้นที่ชุ่มน้ำ
คุณค่าโดยรวมของพื้นที่ชุ่มน้ำจากข้อมูลของกองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แบ่งบริการที่ได้รับจากระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านวัฒนธรรม ด้านการเป็นแหล่งผลิต ด้านการควบคุม และด้านการสนับสนุน
ด้านวัฒนธรรม พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าทางจิตใจและความเชื่อ เป็นแหล่งนันทนาการและการพักผ่อน การท่องเที่ยว ทั้งยังเป็นแหล่งขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อใช้ในการศึกษา เป็นต้น ด้านการเป็นแหล่งผลิต เป็นแหล่งทำประมง และสัตว์น้ำอื่น ๆ เป็นแหล่งผลิตเนื้อไม้ อาหารสัตว์ แหล่งทรัพยากรพันธุกรรม แหล่งสมุนไพร แหล่งพลังงานที่สามารถนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงได้ ด้านการควบคุม เป็นแหล่งกักเก็บก๊าชคาร์บอน ช่วยเรื่องการกรองสารพิษ การควบคุมการไหลของน้ำ การบรรเทาน้ำท่วม การป้องกันการกัดเซาชายฝั่ง การย่อยสลายของเสีย ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำ และด้านการสนับสนุน เป็นแหล่งผลิตขั้นปฐมภูมิ การหมุนเวียนธาตุอาหาร และการเกิดวัฏจักรน้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่ที่ต้องกำหนดแผนการบริหารจัดการเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบนิเวศ ความสำคัญนั้นตรงตามชื่อคือ “ชุ่มน้ำ” พื้นที่แห่งนี้จึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์ของสัตว์และพืชนานาชนิด เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศ ความหลากหมายทางชีวภาพ และความอุดมสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ควรค่าแก่การป้องกันและดูแลรักษาอย่างยิ่ง
- Photo Credit: wetlands.onep.go.th
พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยมีที่ไหนบ้าง?
ประเทศสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำจากทั่วโลก มีจำนวนทั้งหมด 171 ประเทศ สำหรับประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ในลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 โดยเสนอ “พรุควนขี้เสี้ยน” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย (Ramsar Site) และในลำดับ 948 ของโลก