ประเทศไทยมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี แนวปฎิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ งดงาม และได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับความหมายของวัฒนธรรม หมายถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดี วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่หล่อหลอมขึ้น ได้รับการยอมรับ มีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และรักษาไว้ให้เจริญงอกงาม (พระราชบัญญัติ วัฒนธรรมแห่งชาติพุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2486)
ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผี ชาวเหนือหรือที่เรียกกันว่า”ชาวล้านนา”มีความเชื่อในเรื่องการนับถือผีตั้งแต่เดิม โดย เชื่อว่าสถานที่แทบทุกแห่ง มีผีให้ความคุ้มครองรักษาอยู่ ความเชื่อนี้จึงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เห็นได้ จากขนบธรรมเนียม ประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ ของชาว เหนือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟัง ธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่น สังเวยผีปู่ย่าด้วยพระดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔
จากพระราชดำรัสฯดังกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การรักษามรดกทางวัฒนธรรมคือ การรักษาชาติ ถ้าเรา สูญวัฒนธรรมก็เท่ากับเราสูญชาตินั่นเอง และเมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ย้ำว่า “ วัฒนธรรมไทย ” คือ เอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นรากฐานการสร้างสรรค์ความสามัคคี และความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งที่แสดงถึงศักดิ์ศรี เกียรติยศและความภาคภูมิใจร่วมกันของคนไทย ฉะนั้นจำเป็นจะต้องส่งเสริมให้ วัฒนธรรมไทยมีความเจริญก้าวหน้า เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางสังคม และคุณภาพชีวิตคนไทย การรักษาและป้องกันวัฒนธรรม คือ การรักษาจิตวิญญาณของความเป็นชาติ
องค์การศึกษาแห่งสหประชาชาติ กำหนดความหมายของวัฒนธรรมว่าหมายถึง วิถี ชีวิต ทั้งหมด ของประชาชน และวัฒนธรรมมีองค์ประกอบ ๔ ส่วน คือ ๑. มรดกทางวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมสมัย ๒. ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีหรือศิลปะและวิทยาการสาขาต่างๆ ๓. สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย และ ๔.วัฒนธรรมของทุกประเทศ ซึ่งแบ่งฐานันดรออกเป็น ๓ ระดับคือ
-วัฒนธรรมพื้นฐาน วัฒนธรรมประจำเผ่า
– วัฒนธรรมประจำชาติ (รวมทั้งราชสำนัก)
– วัฒนธรรมสากลหรืออนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งเวียนนา
จุดสำคัญในการประมวลแนวทางและบริบทของวัฒนธรรมแต่ละระดับ คือ วัฒนธรรมโลก วัฒนธรรมประจำชาติ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนที่ขัดแย้งและไม่สามารถประสานกันได้
วัฒนธรรมโลก มุ่งความเสมอภาคและมาตรฐานคุณภาพของคนตาม แนวทางประเทศอุตสาหกรรม โดยมียุโรป และอเมริกาเป็นแกนตามรากเหง้ากรีกและโรมัน ฯลฯ
วัฒนธรรมประจำชาติ มุ่งความผาสุกและความสงบของคนในชาติ ตามขนบธรรมเนียมประเพณีวิถีชีวิตซึ่งเรียนรู้ สืบทอดกันมาในประวัติศาสตร์ คือละลด กิเลส ตัณหาตามหลักพระพุทธศาสนา
วัฒนธรรมท้องถิ่น มุ่งแนวปฏิบัติตามหลักจารีตประเพณีซึ่งถือมาในอดีตเกี่ยวกับวิถีชีวิต พิธีกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเผ่าพันธุ์
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้จะทำอย่างไรให้วัฒนธรรมประจำชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยเราสามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการครอบงำ และดำรงความเป็นชาติไทยคือ
๑. การพัฒนาการศึกษาให้คนในชาติในท้องถิ่นมีความรู้ รักและหวงแหนใช้วัฒนธรรมของตนเองเป็นเครื่องในดำรงชีพ ยึดปรัชญาที่ว่าการศึกษาคือ กระบวนการสืบทอดและสร้างสรรค์วัฒนธรรมตนเอง (ชาติ – ท้องถิ่น) โดยจัดทำหลักสูตรให้การศึกษาอยู่บนรากเหง้าวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อให้เยาวชนเกิดภูมิคุ้มกันสามารถใช้ในชีวิตประจำวันเช่น
๑.๑ เข้าใจซาบซึ้งและมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมตนเองหรือท้องถิ่นที่บรรพชนสืบต่อกันมา
๑.๒ รักษาสืบทอด และพัฒนารูปแบบในการดำรงชีพที่ดีรวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค สุขภาพพลานามัย และที่อยู่อาศัยในชีวิตประจำวัน
๑.๓ รักษาและประพฤติตามแนวทาง และบรรทัดฐานท้องถิ่น คือ ใช้หลักธรรมทางศาสนา เป็นแกนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
๑.๔ สืบทอดและพัฒนาภาษาถิ่น ภาษาชาติรวมทั้งกริยามารยาทที่ดี เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่สามารถอยู่ร่วมในสังคมอย่างสันติ
๑.๕ รักษารูปแบบศิลปะและการละเล่นตามเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไว้เป็นหลัก
๑.๖ รักษารูปแบบครอบครัว สังคม เครือญาติ และปกครองตนเองได้
๒. การปรับปรุงทางสังคม : เน้นหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม
๒.๑ เน้นคุณภาพของพลเมือง การปรับปรุงสิทธิมนุษยชนพื้นฐานให้ประชาชนในชาติเข้าใจคุณค่าของคน ค่านิยม วิถีชีวิตที่เป็นไทย
๒.๒ ปรับระบบพื้นฐานทางสังคมให้เหมาะสมกับยุคโลกาภิวัตน์ และยึดแนวทางเอกลักษณ์ของสังคมดั้งเดิมไว้ ไม่ให้สูญเสียรูปแบบที่มีความเอื้ออาทร และความอบอุ่นในครอบครัวเครือญาติ เพื่อนบ้านและชุมชน (ครอบครัวเข้มแข็ง)
๒.๓ ปรับระบบเศรษฐกิจเพื่อให้งานมีศักยภาพสามารถผลิตและใช้เอง ไม่ตกเป็นทาสทาง บริโภคตามแนวทางของประเทศทุนนิยม คือ “ ทำพอกินมีพอใช้ ”
๓. การพัฒนาทางเศรษฐกิจ
๓.๑ สร้างปัจจัยพื้นฐานทางสาธารณูปโภคโดยระมัดระวังไม่ให้เกินความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชุมชน
๓.๒ ในการพัฒนาเศรษฐกิจพยายามใช้วัสดุอุปกรณ์ ปัจจัยในการผลิตจากวัสดุในท้องถิ่นและให้สัมพันธ์กับเทคโนโลยีไทย
๓.๓ การพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นบ้าน จะต้องเป็นการพัฒนายั่งยืนไม่ทำลายสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยา และเกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม
๓.๔ ต้องมีการกระจายรายได้ให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม
๔. การพัฒนาทางการเมือง การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการแก้ไขสภาพทางสังคม จะต้องมีการกระจายอำนาจให้ประชาชน ในท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจปกครองตนเอง รักษารูปแบบวัฒนธรรมพื้นบ้านไว้โดย
๔.๑ การกระจายอำนาจให้องค์กรในท้องถิ่นพัฒนาตนเอง ภายใต้กรอบแผนงานโครงการที่ร่วมกันคิดร่วมกันสร้าง
๔. ๒ ลดบทบาทของอำนาจรัฐบาลและเปลี่ยนบทบาทของราชการจากการกำกับดูแลเป็นการเฝ้าระวังและการบริการ
๔.๓ สร้างความเสมอภาคและสมานฉันท์ให้เกิดการเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
๔.๔ ให้ท้องถิ่นดำเนินการฟื้นฟูวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ดีงาม เพื่อรักษาเอกลักษณ์ตนเองไว้โดยวิธีต่าง ๆ เช่น การกำหนดนโยบายพัฒนาวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบและกระบวนการตามวัฏจักรการดำเนินงานจัด องค์กรให้ชัดเจน ใครมีบทบาทในส่วนไหนและควรทำอย่างไร และฝึกบุคลากรรวมทั้งองค์กรในท้องถิ่นให้ชำนาญในการบริหารและจัดการ
ฉะนั้นการที่จะให้วัฒนธรรมไทยดำรงอยู่อย่างมั่นคงคู่ชาติไทยได้ ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจจาก ประชาชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมไทยช่วยกันจรรโลง พัฒนาชาติให้คงความเป็นชาติไทย ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ดำรัสว่า “ อิฐเพียงแผ่นเดียวก็มีค่า ควรที่เราจะได้ช่วยกันรักษาไว้ ” เปรียบเหมือนวัฒนธรรมไทยเป็นของคนทั้งชาติ จึงควรมีการร่วมมือกัน อนุรักษ์ พัฒนาให้เจริญงอกงามทัดเทียมอารยะประเทศ ดังข้อคิดของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตตโต) ได้ให้คำจำกัดความ “ วัฒนธรรม ” ว่า “ วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เจริญงอกงามสืบมา และเป็นเนื้อตัวของความเจริญงอกงามที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็น พื้นฐานของความเจริญงอกงามต่อไป ตลอดจนเป็นเครื่องวัดระดับความเจริญงอกงามของสังคมนั้น ๆ ” ซึ่งความหมายของวัฒนธรรมในทัศนะของท่าน หมายถึง “ ตัววัฒนธรรมที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ชีวิตของประชาชนนั่นเอง ”