สีในงานคอมพิวเตอร์กราฟิก โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีที่สร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการมองเห็นสี ที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4ระบบคือ 1. ระบบสีแบบ RGB เป็นระบบสีที่ประกอบด้วยแม่สี 3 สีคือ แดง (Red), เขียว (Green) และ น้ำเงิน (Blue) ในสัดส่วนความเข้มข้นที่แตกต่างกัน เมื่อนำมาผสมกันทำให้เกิดสีต่างๆ บนจอคอมพิวเตอร์ได้มากถึง 16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นได้โดยปกติ และจุดที่สีทั้งสามสีรวมกันจะกลายเป็นสีขาว นิยมเรียกการผสมสีแบบนี้ว่าแบบ “Additive” หรือการผสมสีแบบบวก ซึ่งเป็นการผสมสีขั้นที่ 1 หรือถ้านำเอา Red Green Blue มาผสมครั้งละ 2 สี ก็จะทำให้เกิดสีใหม่ เช่น Blue + Green = Cyan แสงสี RGB มักจะถูกใช้สำหรับการส่องสว่างทั้งบนจอทีวีและจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสร้างจากการให้กำเนิดแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ทำให้สีดูสว่างกว่าความเป็นจริง อ้างอิง – ภาพ
http://www.urlnextdoor.com สีฟ้า (Cyan), สีม่วงแดง (Magenta), สีเหลือง (Yellow), และเมื่อนำสีทั้ง 3 สีมาผสมกันจะเกิดสีเป็น สีดำ (Black) แต่จะไม่ดำสนิทเนื่องจากหมึกพิมพ์มีความไม่บริสุทธิ์ โดยเรียกการผสมสีทั้ง 3 สีข้างต้นว่า “Subtractive Color” หรือการผสมสีแบบลบ หลักการเกิดสีของระบบนี้คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนสีจากสีหนึ่งแล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่างๆ เช่น สีฟ้าดูดกลืนสีม่วงแล้วสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสีที่สะท้อนออกมาจะเป็นสีหลักของระบบ RGB การเกิดสีนี้ในระบบนี้จึงตรงข้ามกับการเกิดสีในระบบ RGB 3. ระบบสีแบบ HSB – Hue คือ สีต่างๆ ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุเข้ามายังตาของเรา
ทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่างๆ ได้ ซึ่งแต่ละสีจะแตกต่างกันตามความยาวของคลื่นแสงที่มากระทบวัตถุและสะท้อนกลับ ที่ตาของเรา Hue ถูกวัดโดยตำแหน่งการแสดงสีบน Standard Color Wheel ซึ่งถูกแทนด้วยองศา 0 ถึง 360 องศา แต่โดยทั่วๆ ไปแล้วมักจะเรียกการแสดงสีนั้นๆ เป็นชื่อของสีเลย เช่น สีแดง สีม่วง สีเหลือง อ้างอิง – ภาพ http://www.tomjewett.com 4. ระบบสีแบบ Lab L หรือ Luminance เป็นการกำหนดความสว่างซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง
100 ถ้ากำหนดที่ 0 จะกลายเป็นสีดำ แต่ถ้ากำหนดที่ 100 จะกลายเป็นสีขาว อ้างอิง – ภาพ http://ea.hamradio.si ทฤษฎีสี คำจำกัดความของสี ประวัติความเป็นมาของสี มนุษย์เริ่มมีการใช้สีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีทั้งการเขียนสีลงบนผนังถ้ำ ผนังหิน บนพื้นผิวเครื่องปั้นดินเผา และที่อื่นๆภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ(ROCK PAINTING) เริ่ม ทำตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยคนก่อนสมัยประวัติศาสตร์ในสมัยหินเก่าตอนปลาย ภาพเขียนสีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้พบที่ประเทศฝรั่งเศษและประเทศสเปนในประเทศ ไทย กรมศิลปากรได้สำรวจพบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนผนังถ้ำ และ เพิงหินในที่ต่างๆ จะมีอายุระหว่าง 1500-4000 ปี เป็นสมัยหินใหม่และยุคโลหะได้ค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 ครั้งแรกพบบนผนังถ้ำในอ่าวพังงา ต่อมาก็ค้นพบอีกซึ่งมีอยู่ทั่วไป เช่น จังหวัดกาญจนบุรี อุทัยธานี เป็นต้นสีที่เขียนบนผนังถ้ำส่วนใหญ่เป็นสีแดง นอกนั้นจะมีสีส้ม สีเลือดหมู สีเหลือง สีน้ำตาล และสีดำสีบนเครื่องปั้นดินเผา ได้ค้นพบการเขียนลายครั้งแรกที่บ้านเชียงจังหวัดอุดรธานีเมื่อปี พ.ศ.2510 สีที่เขียนเป็นสีแดงเป็นรูปลายก้านขดจิตกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆสมัยสุโขทัย และอยุธยามีหลักฐานว่า ใช้สีในการเขียนภาพหลายสี แต่ก็อยู่ในวงจำกัดเพียง 4 สี คือ สีดำ สีขาว สีดินแดง และสีเหลืองในสมัยโบราณนั้น ช่างเขียนจะเอาวัตถุต่างๆในธรรมชาติมาใช้เป็นสีสำหรับเขียนภาพ เช่น ดินหรือหินขาวใช้ทำสีขาว สีดำก็เอามาจากเขม่าไฟ หรือจากตัวหมึกจีน เป็นชาติแรกที่พยายามค้นคว้าเรื่องสีธรรมชาติได้มากกว่าชาติอื่นๆ คือ ใช้หินนำมาบดเป็นสีต่างๆ สีเหลืองนำมาจากยางไม้ รงหรือรงทอง สีครามก็นำมาจากต้นไม้ส่วนใหญ่แล้วการค้นคว้าเรื่องสีก็เพื่อที่จะนำมาใช้ ย้อมผ้าต่างๆ ไม่นิยมเขียนภาพเพราะจีนมีคติในการเขียนภาพเพียงสีเดียว คือ สีดำโดยใช้หมึกจีนเขียน สีสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ สีธรรมชาติ เป็นสีที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ เช่น สีของแสงอาทิตย์ สีของท้องฟ้ายามเช้า
เย็น สีของรุ้งกินน้ำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม้ ต้นไม้ พื้นดิน ท้องฟ้า น้ำทะเล โหมดสีพื้นฐาน โหมดสี หรือ Color Mode คือโมเดลสีแบบต่างๆ ในโปรแกรมที่เราสามารถเลือกมาใช้ให้เหมาะสมกับ รูปภาพที่จะนำไปใช้งาน โดยใน Photoshop เราสามารถเปลี่ยนรูปภาพที่นำมาตกแต่งให้ไปเป็นโหมดต่างๆ เพื่อความเหมาะสมในการใช้งานได้ตามที่ต้องการ ดูได้อย่างไรว่าภาพอยู่ในโหมดไหน โหมดสีของรูปภาพที่เลือกทำงานอยู่ จะถูกแสดงไว้ที่มุมซ้ายบนของกระดานวาดภาพ เช่น เราสามารถเปลี่ยนโหมดสีไปตามที่ต้องการได้โดย คลิกเมนู Image > Mode และเลือกโหมดที่ต้องการ ในที่นี้ต้องการนำไปใช้ในงานพิมพ์จึงเปลี่ยนให้เป็นโหมด CMYK โหมดสีแบบต่างๆ และความเหมาะสมในการใช้งาน โหมดสีจะมีอยู่ 8 แบบ โดยแต่ละแบบก็จะมีความเหมาะสมในการทำงานต่างกันไป คือ * โหมดสีแบบ Bitmap ไม่ต้องการรายละเอัยดของสีอื่นๆ ภาพที่ได้จะมีความละเอียดน้อยมาก แต่ก็จะมีขนาดของ ไฟล์ที่เล็กมากตามไปด้วย * โหมดสีแบบ Grayscale * โหมดสีแบบ Duotone เป็นโหมดสีที่มีการกำหนดโทนสีที่จะใช้งานได้ตั้งแต่ 1-4 โทนสี จะคล้าย * โหมดสีแบบ Indexed color ใช้สีได้เพียง 256 สี ทำให้ไม่เหมาะจะนำไปใช้ในงานพิมพ์ที่ต้องการสีที่สมจริง เพราะจะทำให้ ภาพที่ได้ออกมาไม่ละเอียดเท่าที่ควร
* โหมดสีแบบ RGB ( Red, Green, Blue) จะแบ่งออกเป็น 3 Channel สีคือ แดง เขียว และน้ำเงิน โดยที่ในแต่ละสีได้อีก 256 ลำดับทำให้สีที่ได้มีความละเอียดสมจริงมากพอสมควร * โหมดสีแบบ CMYK (Cyan, Magenta, Yellow, Black) ซึ่งสีทั้ง 4 ที่กล่าวมาจะเป็นสีแบบเดียวกับการพ่นหมึกเพื่อพิมพ์งานของ เครื่องพิมพ์คุณภาพสูง * โหมดสีแบบ Lab Color * โหมดสีแบบ Multichanel แม่สี (PRIMARIES) สีต่างๆนั้นมีอยู่มากมายแหล่งกำเนิดของสีและวิธีการผสมของสีตลอดจนรู้สึก ที่มีต่อสีของมนุษย์แต่ละกลุ่มย่อมไม่เหมือนกัน สีต่างๆที่ปรากฎนั้นย่อมเกิดขึ้นจากแม่สีในลักษณะที่แตกต่างกันตามชนิดและ ประเภทของสีนั้น แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม สีขั้นที่ 2 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้ สีขั้นที่ 3 คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะได้สีอื่น ๆ วรรณะของสี คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน-เย็น ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และ สีตรงข้าม หรือสีตัดกัน
หรือสีคู่ปฏิปักษ์ เป็นสีที่มีค่าความเข้มของสี ตัดกันอย่าง สีกลาง คือ สีที่เข้าได้กับสีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้ำตาล กับ สีเทา แม่สีวัตถุธาตุ (PIGMENTARY RRIMARIES) แม่สีวัตถุธาตุนั้นหมายถึง “วัตถุที่มีสีอยู่ในตัว”
สามานำมาระบาย ทา ย้อม และผสมได้เพราะมีเนื้อสีและสีเหมือนตัวเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แม่สีของช่างเขียนสีต่างๆจะเกิดขึ้นมาอีกมากมาย ด้วยการผสมของแม่สีซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 สีคือ สีแดง (CRIMSION LAKE) สะท้อนรังสีของสีแดงออกมาแล้วดึงดูดเอาสีน้ำเงินกับสีเหลืองซึ่งต่างผสมกัน ในตัวแล้วกลายเป็นสีเขียว อันเป็นคู่สีของสีแดง สีกับความรู้สึก
การเลือกใช้สีกับงานกราฟฟิก Step การเลือกสี 1. เราต้องเลือกโทนสีก่อนว่าต้องการโทนใด เช่นแดง เขียว เหลือง ฟ้า ม่วง หรืออะไรก็แล้วแต่ 2.จากนั้นเราค่อยเลือกน้ำหนักสี เช่นความสว่้าง ความเข้มจางของสี 3.ถ้าต้องการเลือกสีให้ตัดกันสองสีให้ทำการ เลือกสีก่อนหลังจากนั้น OK แล้วกลับมาเลือกอีกครั้งสีที่เราเลือกครั้งแรกจะลงมาอยู่แถบสีด้านล่างแล้ว เราก็เลือกสีที่สองที่ ต้องการนำมาตัดกัน หลักการนำมาใช้ในการออกแบบ 1.การเลือกสีโทนเดียวกันที่มีน้ำหนักและความสว่างของสีต่างกัน 2.เลือกสีต่างโทนแต่น้ำหนักและความสว่างสีเท่ากัน 4.เลือกกันหลายๆ กลุ่มและมารวมกันเป็นชิ้นงาน การใช้ Tool และคำสั่งใน Photoshop ในการปรับแต่งหรือเปลี่ยนแปลง น้ำหนักความสว่างของสี Photoshop มี Tool ในการปรับเปลี่ยนสีและน้ำหนักและความส่วางของสีได้ดั่งใจ คำสั่งที่นิยมใช้กันก็คือ Hue/Sturation (Images –> Adjust –> Hue/Sturation) Hue/Sturation จะช่วยให้สะดวกในการเลือกสีเปรียบเทียบสี จนเราพอใจ ไม่ว่าจะเป็นสีโทนเดียวหรือหลายๆ โทนสลับกัน สามารถปรับเปลี่ยนทั้งน้ำหนักและความวสว่างของสีได้ มาดูความหมายของแต่ละตัวกันบ้างว่าเอาไว้ใช้ทำอะไรบ้าง Hue คือ การปรับเปลี่ยนโทนสี ที่เราเลือก Saturation คือ ปรับน้ำหนักของสี หรือ ความ อิ่มตัวของสี Lightness คือ ปรับความสว่างของสี Colorize คือ ปรับสีแบบโทนเดียว ใช้กับงานที่ต้องการให้ออกมาสีโทนเดียว ถ้าต้องการหลายโทนก็ไม่ต้องเลือก |