การจดทะเบียนให้หุ้นส่วนทุกคนไปจดทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นๆ ไปจดทะเบียน ก็ได้
ผลการจดทะเบียนเมื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็จะได้รับเอกสาร หนังสือสำคัญการจดทะเบียน หนังสือรับรอง และต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป
ลักษณะเฉพาะของห้างหุ้นส่วนจำกัดภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยคือ การแบ่งแยกระหว่างหุ้นส่วนผู้รับผิดจำกัดกับหุ้นส่วนผู้จัดการ แตกต่างจากห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งหุ้นส่วนทั้งหมดรับผิดในหนี้สินร่วมกันอย่างไม่จำกัด ในห้างหุ้นส่วนจำกัด หุ้นส่วนผู้จัดการหรือหุ้นส่วนอื่นจะถูกสันนิฐานว่ารับผิดในหนี้สินร่วมกันโดยไม่จำกัด ในขณะที่หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดจะรับผิดเฉพาะจำนวนเงินที่พวกเขาลงหุ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่สำคัญซึ่งหุ้นส่วนจำกัด ความรับผิดอาจต้องร่วมรับผิดในหนี้สินโดยไม่จำกัดได้ ในกรณีที่เขาหรือเธอ “แทรกแซง” การจัดการของห้างหุ้นส่วน ตามมาตรา 1088 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
- “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกัน ในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จำกัดจำนวน
- การออกความเห็นและแนะนำก็ดี ออกเสียงเป็นคะแนนนับในการตั้งและถอนถอนผู้จัดการ ตามกรณีที่มีบังคับไว้ในสัญญาหุ้นส่วนนั้นก็ดี หานับว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนนั้นไม่”
ดังนั้น ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจซึ่งต้องพิจารณาคือ เมื่อใดที่ถือว่าหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดแทรกแซงการจัดการของห้างหุ้นส่วน ศาลฎีกาได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในคำพิพากษาที่ 2066/2545 กระบวนการพิจารณาคดีเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องระหว่างโจทก์ที่เป็นบริษัทผู้ฟ้องร้องจำเลย (ซึ่งต่อไปนี้คือจำเลยที่ 1) ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ศาลได้กล่าวถึงเรื่องนี้ดังต่อไปนี้
“จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดแต่เป็นผู้ติดต่อส่งสินค้าไปยังต่างประเทศและได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ให้สั่งจ่ายเช็คได้ทั้งจำเลยที่ 3 ยังได้ทำบันทึกความเข้าใจ พร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1ด้วย โดยทำในนามของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง”
กฎหมายเกี่ยวกับบริษัทในประเทศไทยนั้นมีความซับซ้อน นอกจากนี้โครงสร้างองค์กรที่แตกต่างกันอาจเหมาะสำหรับการประกอบธุรกิจหลายประเภท นักลงทุนต่างชาติควรปรึกษากับทนายความที่มีความสามารถก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
Category: กฎหมายธุรกิจ
About the Author (Author Profile)
สยาม ลีเกิ้ล เป็นสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งประกอบไปด้วยทนายความผู้มีประสบการณ์ทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ สำนักงานในประเทศไทยนี้ให้บริการทางกฎหมายอย่างครอบคลุมต่อลูกความท้องถิ่นและต่างประเทศสำหรับคดีความ เช่น คดีแพ่งและอาญา ข้อพิพาททางแรงงาน คดีทางการค้า การหย่า การรับเป็นบุตร การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ฉ้อโกง และคดีเกี่ยวกับยาเสพย์ติด ความเชี่ยวชาญอีกด้านหนึ่งของสำนักงานคือ บริการเกี่ยวกับกฎหมายบริษัท เช่น การจดทะเบียนบริษัท และการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย กฎหมายครอบครัว ทรัพย์สิน และการสืบสวนส่วนบุคคล
ความหมายของห้างหุ้นส่วน ในการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไปมี 3 รูปแบบ คือ กิจการเจ้าของคนเดียว กิจการห้างหุ้นส่วน และบริษัทจำกัด ซึ่งกิจการห้างหุ้นส่วนเป็นรูปแบบการประกอบธุรกิจการค้าที่นิยมกันมาก เพราะมีวิธีการจัดตั้งง่ายกว่าบริษัทจำกัด และใช้เงินทุนจำนวนน้อย เหมาะสำหรับกิจการค้าขนาดกลางและขนาดย่อม มีบุคคลที่ร่วมมาลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผลกำไรที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจก็จะนำมาแบ่งปันกันตามอัตราที่ตกลงในสัญญาการจัดตั้งห้างหุ้นส่วน ความหมายของห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วน (Partnership) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 บัญญัติไว้ว่า “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น”
จากบทบัญญัติดังกล่าว สามารถสรุปลักษณะที่สำคัญของห้างหุ้นส่วนได้ดังนี้
1. ต้องมีสัญญาระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
2. ต้องมีการเข้าทุนกัน ซึ่งบุคคลที่เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องลงทุนด้วยกัน สิ่งที่นำมา ลงทุนในห้างหุ้นส่วนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ คือ
2.1 เงินสด
2.2 สินทรัพย์อื่น เช่น ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ลูกหนี้ สินค้า เป็นต้น
2.3 ลงแรงงาน แรงงานในที่นี้อาจเป็น แรงกาย ชื่อเสียง สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ
3. ต้องกระทำกิจการร่วมกัน คือ ร่วมกันดำเนินการอย่างเดียวกัน
4. ต้องมีความประสงค์ที่จะแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำตามที่ตกลงกันในสัญญา ประเภทของห้างหุ้นส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1013 ได้กำหนดห้างหุ้นส่วนออกเป็น 2 ประเภทคือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ
และห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership) คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินของห้างทั้งหมดโดยไม่จำกัดจำนวน เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เป็นหุ้นส่วนใช้หนี้จากสินทรัพย์ส่วนตัวได้ และผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิที่จะจัดการกับห้างหุ้นส่วนได้ ห้างหุ้นส่วนสามัญจำแนกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียน มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา คำนำหน้าชื่อห้างหุ้นส่วนใช้คำว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ถ้าไม่ได้ระบุลงในสัญญาห้าง ตามกฎหมายให้ถือว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิที่จะจัดการกับห้างหุ้นส่วนได้
1.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน มีสภาพเป็นนิติบุคคล แยกต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน คำนำหน้าชื่อห้างหุ้นส่วนใช้คำว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” ห้างหุ้นส่วนประเภทนี้มีผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกเดียวคือหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด โดยผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วน โดยไม่จำกัดจำนวน และในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันเอง จะตกลงให้มีผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนเป็นผู้จัดการของ ห้างหุ้นส่วนก็ได้
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทที่มีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 จำพวก ได้แก่
2.1 หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ได้แก่ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งต้องรับผิดในบรรดาหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน และหุ้นส่วนจำพวกนี้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างได้
2.2 หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด ได้แก่ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งรับผิดจำกัดเพียงจำนวนเงินที่ตนรับว่าจะลงทุนในห้างหุ้นส่วนเท่านั้น และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างไม่ได้
ข้อแตกต่างระหว่างห้างหุ้นส่วนสามัญ และห้างหุ้นส่วนจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ห้างหุ้นส่วนสามัญ และห้างหุ้นส่วนจำกัด มีข้อแตกต่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีดังนี้
ห้างหุ้นส่วนสามัญ มีลักษณะสำคัญคือ 1. มีผู้เป็นหุ้นส่วนเพียงประเภทเดียว คือ ประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบในหนี้สิน
2. ผู้เป็นหุ้นส่วนมีสิทธิเข้าจัดการกับห้างหุ้นส่วนได้
3. ทุนที่นำมาเป็นเงินสด สินทรัพย์ต่าง ๆ และแรงงานได้
4. จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้
5. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เป็นหุ้นส่วนใช้หนี้จากสินทรัพย์ส่วนตัวได้
6. เมื่อหุ้นส่วนผู้ใดถึงแก่ความตายหรือลาออกจากห้างหุ้นส่วน หรือล้มละลาย สัญญาเข้าเป็นหุ้นส่วนเป็นอันสิ้นสุดต้องเลิกกิจการ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด มีลักษณะสำคัญคือ 1. มีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภท คือประเภทที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบ และประเภทที่จำกัดความรับผิดชอบ
2. ผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบไม่มีสิทธิเข้าจัดการกับห้างหุ้นส่วน
3. หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบลงทุนเป็นแรงงานไม่ได้
4. ต้องจดทะเบียน และมีสถานภาพเป็นนิติบุคคล
5. เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ใช้หนี้จากสินทรัพย์ส่วนตัวของผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบ
6. หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบ ตาย ลาออก หรือล้มละลาย ไม่ต้องเลิกกิจการ
การกรอกแบบคำขอจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วน
ในการจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนนั้น ผู้ประสงค์จะขอจดทะเบียนต้องกรอกข้อมูลลงในแบบพิมพ์คำขอจดทะเบียนพร้อมเอกสารการจดทะเบียน โดยการกรอกข้อความในแบบพิมพ์คำขอ และเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนให้พิมพ์ดีด หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อยื่นขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ซึ่งสถานที่ในการจดทะเบียน มีดังนี้
1. ในเขตภูมิภาคสามารถยื่นจดทะเบียนได้ที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดนั้น ๆ
2. ในเขตกรุงเทพมหานครสามารถยื่นจดทะเบียนสำนักงานบริการจดทะเบียน หน่วยงาน ประกอบด้วย
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 1 (ปิ่นเกล้า)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 2 (พหลโยธิน)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 3 (รัชฎาภิเษก)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 4 (สุรวงศ์)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 5 (รามคำแหง)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 6 (ศรีนครินทร์)
สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 7 (แจ้งวัฒนะ)
ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง (อาคารกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 9)
3. ทางอินเตอร์เน็ต เว็ปไซต์ www.dbd.go.th
แบบประเมินผลการเรียนรู้หน่วยที่ 3
แบบประเมินผลการเรียนรู้หน่วยที่ 3