บทบาทของผู้บริหารแบ่งออกเป็นกี่แบบ

               ภายใต้ความไม่แน่นอน สิ่งที่เราควรทำก็คือ การปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงให้ได้โดยไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ โดยเฉพาะคนทำงานในระดับที่สร้างผลกระทบสูงต่อองค์กร จะต้องรีบพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ท้าทาย เพื่อสร้างโอกาสในด้านอาชีพการงานของตน ขณะเดียวกัน ก็เพื่อดูแลให้กิจการสามารถอยู่รอดเติบโตต่อไปได้ เราต้องไม่ลืมว่าคนเปลี่ยน องค์กรจึงเปลี่ยน ฉะนั้น การพัฒนาคนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

                คนทำงานในองค์กร ถ้าแบ่งกว้างๆ ตามบทบาทที่ทำ จะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มแต่ละบทบาทก็มีความสำคัญแตกต่างกัน กล่าวคือ 1) ผู้นำ 2) ผู้บริหาร 3) ผู้ผลิต

                ถ้าไม่มีผู้ผลิต เราก็ไม่มีสินค้าหรือบริการ ที่จะส่งมอบให้ลูกค้า

                ถ้าไม่มีผู้บริหารบทบาทของผู้ผลิตและคนปฏิบัติการในส่วนงานต่างๆ ก็อาจจะสับสนและกำกวมไม่ชัดเจน ไม่มีประสิทธิภาพในกระบวนการประกอบธุรกิจ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร

                ถ้าไม่มีผู้นำ องค์กรก็จะขาดทิศทางและวิสัยทัศน์ ผู้คนไม่สามารถรับรู้เกี่ยวกับพันธกิจ กลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ธุรกิจอยู่ในความเสี่ยง และคนทำงานก็ขาดแรงบันดาลใจ

                ฉะนั้น ในการบริหารองค์กร จึงต้องจัดโครงสร้างให้มีบุคลากรทำงานภายใต้บทบาททั้งสามอย่างที่เหมาะสมโดยบทบาทของผู้นำจะแฝงอยู่ในตำแหน่งของผู้บริหาร หลายๆ คนเป็นผู้บริหารที่เก่ง แต่เป็นผู้นำที่แย่ จึงไม่สามารถนำพาองค์กรให้เจริญก้าวหน้าได้

                ความแตกต่างระหว่างภาวะผู้นำและการบริหาร

                ตำแหน่งผู้บริหาร มักมีการระบุขอบเขตของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไว้ชัดเจน แต่ภาวะผู้นำไม่ได้เกิดจากอำนาจที่เป็นทางการ เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ผู้บริหารแต่ละคนจะต้องสร้างขึ้นด้วยตนเอง เราจึงมักจะวางแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำ ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าการบริหาร

                ภาวะผู้นำ เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง มุ่งเน้นที่แนวคิดมากกว่ากระบวนการ สามารถแยกออกเป็นสองส่วน:

  • การกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทางค่านิยมและวัตถุประสงค์เพื่อให้ความมั่นใจว่าเส้นทางที่เดินไปนั้นถูกต้องและสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิผล
  • การสร้างแรงบันดาลใจและจูงใจผู้คน เพื่อให้ทำงานร่วมกันด้วยวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์เดียวกัน 

               ผู้นำบางคนมีวิสัยทัศน์ แต่ขาดคุณสมบัติในการสร้างทีม ผู้นำบางคนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ สร้างทีมได้ แต่ขาดวิสัยทัศน์ ฉะนั้น ผู้นำจึงต้องมีทั้งความฉลาดด้านสติปัญญา และทักษะในการบริหารคน

                การบริหาร จะเกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งที่ซับซ้อนรับผิดชอบในการจัดโครงสร้างและระบบต่างๆ จะให้ความใส่ใจกับประสิทธิภาพในกระบวนการดำเนินการ วิธีการทำงาน ระเบียบขั้นตอนปฏิบัติและนโยบายต่างๆ รวมทั้งการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น

                ในความเป็นจริงคือ ไม่ใช่ผู้บริหารทุกคนจะมีภาวะผู้นำโดยธรรมชาติ เพราะคุณสมบัติบางอย่างอาจมองเป็นเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยทางจิตวิทยา พิสูจน์แล้วว่าภาวะผู้นำเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้ การพัฒนาความสามารถในด้านภาวะผู้นำอาจจะเป็นการเดินทางตลอดชีวิต แต่เราก็สามารถแสดงออกถึงภาวะผู้นำ ณ เวลาใดๆ เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย การฝึกฝนจะทำให้ภาวะผู้นำเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

คุณสมบัติพื้นฐานทั่วไปของภาวะผู้นำที่สำคัญ สรุปได้ย่อๆ 12 ข้อ ดังนี้

ด้านสติปัญญา

             1.มีความรู้และข้อมูลเป็นอย่างดีเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ ทั้งด้านอุตสาหกรรม ธุรกิจ และลำดับความสำคัญ

             2.ให้ความสำคัญกับเรื่องอนาคต โดยจัดการเรื่องงานระยะสั้น ตามลำดับของความสำคัญของงานระยะยาว

             3.ตัดสินใจได้ดีแม้ว่าข้อเท็จจริงต่างๆ จะยังไม่ครบถ้วน สามารถเลือกทางเดินในสถานการณ์ที่ยุ่งยากได้

             4.สามารถทำงานได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน แม้มีตัวช่วยที่พึ่งพาได้น้อยมาก ปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลง

ด้านอารมณ์และสังคม

            5.ตระหนักรู้ ให้ความใส่ใจว่าพฤติกรรมของตนมีผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร

            6.มีความเห็นอกเห็นใจต่อความต้องการ ความกังวล และเป้าหมายของผู้อื่น

           7.มั่นคงหนักแน่น รักษามุมมองในเชิงบวกและมุ่งมั่น สามารถนำผู้อื่นได้แม้ในภาวะที่สบสนอลหม่าน

           8.น่าเชื่อถือ การกระทำสอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ รักษาคำมั่นสัญญาได้

ด้านองค์กร

           9.ทำงานร่วมกันได้ดีกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และสมาชิกในทีม เพื่อส่งมอบผลงานที่โดดเด่น

          10.มีอิทธิพลชักจูงและโน้มน้าวให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการในองค์กร สามารถรับฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ เพื่อค้นหาส่วนร่วม และแสดงออกความเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน

          11.เข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กร สามารถจับกระแสได้ว่า ผู้มีอิทธิพลหลักๆ คิดอย่างไร และรู้ว่าจะหาแหล่งการสนับสนุนได้จากที่ไหน

          12.ท้าทายสถานะที่เป็นอยู่ สามารถจูงใจผู้อื่นให้ตั้งมาตรฐานที่สูงขึ้น และตั้งเป้าหมายที่ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น

           การบริหารและการใช้ภาวะผู้นำเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนส่งเสริมกัน และไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทุกวันนี้ เลือกใช้สมรรถนะทั้งด้านการบริหารและภาวะผู้นำเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่องค์กร เรามักจะเรียกงานที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคนิคและการจัดการว่า ผู้บริหาร และเรียกงานที่เกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และการจูงใจว่าผู้นำ

           เมื่อเราเป็นได้ทั้งผู้บริหารที่เก่งและผู้นำที่ดี ในขณะเดียวกัน เราย่อมเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า ทั้งต่อตนเองและต่อองค์กร