Copyright © 2015 Thailand International Cooperation Agency (TICA). All rights reserved. Thailand International Cooperation Agency (TICA), The Government Complex, Ratthaprasasanabhakti (B) Building, South Zone, 8th Floor, 120 Moo 3, Chaengwattana Road, Thungsonghong Sub District, Laksi District, Bangkok 10210 Thailand
สังคม-วัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Rating
Organisationer : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ศิลปวัฒนธรรมถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของประชาชาติในอาเซียน วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในภูมิภาคนี้ในขั้นเริ่มต้นมีพัฒนาการทางวัฒนธรรมที่ร่วมกัน แต่ในสมัยต่อมาได้มีการรับวัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดีย จากจีน และจากตะวันตกที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ทำให้แต่ละประเทศในภูมิภาคนี้มีทั้งความเหมือนและความต่างทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะงานศิลปกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนความคิดและความเชื่อทางศาสนาของแต่ละชนชาติ ที่ปรากฏขึ้นในงานศิลปกรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์ศิลปะ จึงเข้ามาทำการวิเคราะห์อธิบาย และแสดงให้เห็นถึงหลักฐานทางด้านศิลปกรรมของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนว่ามีลักษณะรูปแบบที่มาเป็นอย่างไรในแต่ละยุคสมัย รวมถึงมีแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปกรรมของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ผ่านคติความเชื่อที่มีร่วมกัน ทว่ามีรูปแบบของงานศิลปกรรมที่แตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่นทางสังคม ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการผสมผสานศรัทธากับการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละดินแดนเช่นกัน
Data source cannot be displayed.
สังคม-วัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Visualization
{{current_url}}?id={{cur_meta.id}}&is_fullscreen=1
Resource Info : {{cur_meta.name}}
Resource last updated date | |
Resource creation date | |
Resource format | |
Resource ID | |
Beskrivning | |
เงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูล | |
หน่วยที่ย่อยที่สุดของการจัดเก็บข้อมูล | |
วันที่เริ่มต้นสร้าง | |
วันที่ปรับปรุงเนื้อหาข้อมูลล่าสุด |
Data Key | e09773b0-a72e-4bbf-8580-53da8aa9ca3a |
Taggar | ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม |
Synlighet | Offentlig |
Dataset create date | April 29, 2021 |
Maintain date | Oktober 31, 2021 |
ประเภทชุดข้อมูล | ข้อมูลระเบียน |
ชื่อผู้ติดต่อ | ผู้ดูแลระบบ |
อีเมลผู้ติดต่อ | |
วัตถุประสงค์ | ไม่ทราบ |
หน่วยความถี่ของการปรับปรุงข้อมูล | ไม่มีการปรับปรุงหลังจากการจัดเก็บข้อมูล |
ค่าความถี่ของการปรับปรุงข้อมูล (ความถี่น้อยที่สุด) | 1 |
ขอบเขตเชิงภูมิศาสตร์หรือเชิงพื้นที่ | ประเทศ |
แหล่งที่มา | ไม่ทราบ |
รูปแบบการเก็บข้อมูล | ไม่ทราบ |
หมวดหมู่ข้อมูลตามธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ | ข้อมูลสาธารณะ |
Licens | Creative Commons Attributions |
ภาษาที่ใช้ | ไทย |
High Value Dataset | No Show |
Related
จำนวนพุทธศาสนิกชนอายุ 13 ปีขึ้นไป
Last update dataset : november 12, 2022
จำนวนวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี ตามการเคยมีเพศสัมพันธ์
Last update dataset : november 12, 2022
ร้อยละของวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี ตามการเคยมีเพศสัมพันธ์
Last update dataset : november 12, 2022
E-mail * :
Objective * :
Objective Description * :
Du kan kopiera och klistra in koden i ett CMS eller en blogg som stödjer rå HTML
7 ประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกจัดอยู่ในลำดับ 40 ประเทศแรกที่ ‘น่าดึงดูดที่สุดในโลกสำหรับการลงทุนด้านพลังงานทดแทน/พลังงานสะอาด’ ได้แก่ จีนที่อันดับ 2 (รองจากสหรัฐฯ ที่อันดับ 1 หลังจากหวนคืนข้อตกลงปารีส และตามมาด้วยอินเดียที่อันดับ 3) ญี่ปุ่น (8) เกาหลีใต้ (17) ไต้หวัน (28) ขณะที่เพื่อนบ้านฝากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฟิลิปปินส์ (31) เวียดนาม (34) และไทย (39) – ตามการจัดอันดับ The Renewable Energy Country Attractiveness Index (RECAI) ฉบับพฤษภาคม 2564 โดยบริษัท Ernst & Young (EY) ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษา-ตรวจสอบบัญชี-บริหารความเสี่ยง
โดยทั้งสองอนุภูมิภาคของเอเชียต่างมีความต้องการด้านพลังงานสะอาดเพิ่มสูงขึ้น และมี ‘จุดขาย’ ที่ต่างกันไป ทั้งในแง่ที่เอเชียตะวันออกได้แสดงความมุ่งมั่นจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเปราะบางต่อความผันผวนของภาวะโลกรวน มีความต้องการพลังงานสะอาดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2583 (2040)
‘จุดขายหรือจุดดึงดูด’ ที่เรียกนักลงทุนให้มาลงทุนใน 7 ประเทศข้างต้นนั้นแตกต่างกันไป จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนในด้านพลังงานสะอาดและการให้คำมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนนานาชาติแล้วจึงเป็นประเทศที่มี ‘ศักยภาพสูง’ ทั้งด้านห่วงโซ่อุปทานและเทคโนโลยี ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงมีประชากรกว่า 45 ล้านคนยังอาจไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้โดยที่คาดว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นราว 25% ในแง่นี้พลังงานสะอาดยิ่งทวีบทบาทสำคัญเพื่อตอบความต้องการที่มีเพิ่มขึ้น และเป็นจุดที่นักลงทุนเห็นว่าการลงทุนจะเป็นประโยชน์
ทำให้บรรดาผู้ลงทุนเห็นช่องทางหรือศักยภาพของการผลิตพลังงานทดแทนที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่มีมากขึ้นดังกล่าว ในขณะเดียวกับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการพึ่งพาถ่านหิน ลดการสนับสนุนทางการเงินในพลังงานฟอสซิล ไปพร้อมกับตอบโจทย์วาระของบริษัทที่เร่งเดินหน้าตาม ‘การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล’ (Environmental, Social and Governance: ESG) มากขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โรคระบาดเป็นต้นมา
นอกจากนี้ ในแง่ของ ‘ความก้าวหน้า’ ด้านพลังงานสะอาด งานวิจัยของ EY เมื่อปี 2563 ระบุว่า โครงการเกี่ยวกับพลังงานสะอาดมากกว่า 800 โครงการของอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม รวมกันแล้วมีมูลค่าการลงทุนราว ๆ 316 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทว่าความก้าวหน้าได้แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ในกรณีของฟิลิปปินส์มีการดำเนินการห้ามการใช้เงินทุนในถ่านหิน ปี 2563 เวียดนามติดตั้งแผงโซลาเซลล์บนดาดฟ้าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 9 กิกะวัตต์ เติบโตเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปีเดียวกัน จีนได้เพิ่มพลังงานลม 72.4 กิกะวัตต์มากกว่าทุกประเทศรวมกัน ขณะที่ไต้หวันที่มีการออกโรดแมปและเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยที่ไทยไม่ได้มีการเพิ่มศักยภาพในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม รวมถึงว่ากัมพูชาและอินโดนีเซียเองยังไม่มีการประกาศนโยบายพลังงานสะอาดที่เป็นการดึงดูดนักลงทุนเลย
บทวิเคราะห์ของ EY ชี้ว่าศักยภาพการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในโลกเพิ่มขึ้น 2% เป็น 303.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็นตัวเลขที่มากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ โดยสามารถมองได้จากมุมของการลงทุน แต่ถึงแม้จะมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น ประเด็นเรื่องการมี ‘เงินทุน’ (financing) ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในภูมิภาคนี้ในภาพรวม และการจะไปถึงจุดหมายของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ EY ย้ำว่าจะต้องรุดหน้าสู่พลังงานสะอาดให้เร็วกว่านี้ และต้องลงทุนมากขึ้นที่ประมาณ 5.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับที่การขับเคลื่อนด้านพลังงานสะอาดจะต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องและเต็มที่
นอกจากนี้ EY มองว่าเวที COP26 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้เห็นว่ารัฐบาลแต่ละประเทศได้ให้คำมั่นไว้ว่าอย่างไรและการดำเนินงานจริงจนถึงปัจจุบันนั้นเป็นเช่นนั้นหรือไม่ โดยระบุว่าผู้นำโลกจะต้องพยายามไปให้ถึงเป้าหมายของการมี ‘ความโปร่งใส’ ในการจัดทำแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีการให้แรงจูงใจทางตลาด เช่น การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) รวมถึงการไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับพลังงานฟอสซิล เป็นต้น
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG7 เข้าถึงพลังงานสะอาด
– (7.2)
เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการผสมผสานการใช้พลังงานของโลก ภายในปี 2573
– (7.a) ในด้านการสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด ภายในปี 2573
– (7.b) ขยายโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับบริการพลังงานสมัยใหม่และยั่งยืนให้โดยถ้วนหน้าในประเทศกำลังพัฒนา ภายในปี 2573
#SDG13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในในนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการวางแผนระดับชาติ
แหล่งที่มา:
//www.ey.com/en_gl/recai/is-finance-the-biggest-hurdle-in-the-race-to-net-zero
//www.eco-business.com/news/east-asia-firmly-established-as-attractive-investment-destination-for-renewables/
Last Updated on มกราคม 12, 2022
Editor | อยากรู้ความคิดของคนต่างพื้นเพ ต่างสังคมและวัฒนธรรม สนใจความเป็นไปของโลก ความมั่นคง และการพัฒนา แล้วนำมาถ่ายทอดร้อยเรียงเรื่องราวเล่าให้ฟัง
จำนวนครั้งที่เข้าชม: 3,287