เทคโนโลยีลีอวกาศ เป็นการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการสำรวจอวกาศรวมถึงการศึกษาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับโลกของเราผ่านมุมมองบนอวกาศ, ศึกษาเรื่องของเอกภพ, ปรากฏการณ์ ยิ่งเทคโนโลยีด้านนี้มีการพัฒนาไปสูงมากเท่าไหร่ยิ่งบ่งบอกความสามารถของมนุษย์ได้มากขึ้นเท่านั้น หากังนึกภาพไม่ออกจะยกตัวอย่างให้ชัดๆ เช่น จรวด, สถานอวกาศ, ยานอวกาศ, ยานสำรวจ, ดาวเทียม, สถานีควบคุมดาวเทียม, กล้องโทรทัศน์อวกาศ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางอวกาศด้วยกันทั้งสิ้น ว่าแล้วลองมาดูประโยชน์ที่เราได้รับจากการใช้ในชีวิตประจำวันบ้างดีกว่าว่ามีอะไร
ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศต่อชีวิตประจำวันของทุกคน
1. ใช้ในเรื่องของการสื่อสาร – ในยุคนี้การสื่อสารกลายเป็นสิ่งสำคัญซึ่งหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการที่เราสามารถสื่อสารได้หลายช่องทางในปัจจุบันทั้งมือถือหรืออินเตอร์เน็ตล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากเทคโนโลยีอวกาศด้วยกันทั้งนั้น อย่างดาวเทียมเพื่อการสื่อสารมีหน้าที่สำคัญในเรื่องการรับส่งคลื่นวิทยุแล้วนำไปใช้ต่อในด้านการสื่อสารกับการคมนาคมไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ เราจึงพบว่าการที่โทรศัพท์, โทรสาร, การถ่ายทอดสัญญาณวิทยุหรือโทรทัศน์ที่เกิดขึ้นให้เราเห็นกันจนชินตาก็มาจากส่วนนี้นั่นเอง
2. ใช้ในเรื่องการพยากรณ์อากาศ – กรมอุตุนิยมวิทยาทุกแห่งจะต้องใช้ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาสำหรับการส่งสัญญาณภาพถ่ายทางอากาศอันประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของอุตุนิยมวิทยา เช่น ระดับความแปรปรวนของอากาศ, ชนิดกับจำนวนของเมฆ, ความชื้น, ความเร็วลม, อุณหภูมิ ฯลฯ จากสิ่งเหล่านี้เองจึงเป็นคำตอบว่าทำไมกรมอุตุนิยมวิทยาถึงรู้ล่วงหน้าว่าสภาพอากาศของโลกส่วนไหนเป็นอย่างไรแล้วมีการออกเตือนประชาชนให้ระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้
3. ใช้ในเรื่องของการสำรวจเกี่ยวกับทรัพยากร – เรื่องนี้จะเป็นกาใช้งานดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่หลักของดาวเทียมตัวนี้จะเคลื่อนที่เพื่อสำรวจจุดต่างๆ บนพื้นผิวโลกพร้อมทั้งสำรวจการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจุดไหนก็ตาม เทคโนโลยีอวกาศในเรื่องนี้ยังควบรวมเรื่องธรณีวิทยาและนิเวศวิทยาอีกด้วย ส่งผลระโยชน์ต่อกลุ่มคนด้านการเกษตรกับกลุ่มคนผู้อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศที่เราสามารถสัมผัสได้โดยตรงจากชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปอยู่เท่านั้น คิดง่ายๆ หากไม่มีการประกาศเตือนเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศคนยุคนี้คงจบชีวิตมากกว่าที่เป็นกันอยู่หรือแม้แต่การสื่อสารคงไม่ได้ทันสมัย รวดเร็ว ล้ำหน้ามากอย่างที่เกิดในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสุดๆ ที่มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศต่อไปแบบไม่มีจุดสิ้นสุดเพื่อให้โลกของเราก้าวไปข้างหน้าแบบไม่หยุดยั้งและเพิ่มความสามารถไปเรื่อยๆ
"นั่นคือก้าวเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ" ถ้อยคำที่นีล อาร์มสตรองกล่าวไว้ ขณะเหยียบลงบนพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 ซึ่งเป็นคำกล่าวที่โด่งดังติดหูไปทั่วโลกนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันน่าอัศจรรย์ที่มนุษย์สามารถทำได้ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน
แต่หลายคนคงคาดไม่ถึงว่า เทคโนโลยีอวกาศระดับสูงเช่นนี้จะส่งผลกระทบถึงชีวิตประจำวันของคนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ด้วย โดยงบประมาณมหาศาลในโครงการอะพอลโล ซึ่งคิดเป็นมูลค่าถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามอัตราค่าเงินในปัจจุบันนั้น ได้ทำให้เกิดนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่หลายคนไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
1. การทำความสะอาดกลายเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ติดขัดยุ่งเหยิง
คำบรรยายภาพ,
"ดัสต์บัสเตอร์" เครื่องดูดฝุ่นไร้สายเครื่องแรกของโลก ออกวางตลาด 10 ปีให้หลังเหตุการณ์มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกในปี 1979 โดยพัฒนามาจากอุปกรณ์ที่มนุษย์อวกาศในโครงการอะพอลโลใช้
อุปกรณ์ไฟฟ้าไร้สายนั้นมีมาก่อนโครงการอวกาศอะพอลโลจะเริ่มขึ้น แต่การเดินทางไปเยือนดวงจันทร์นั้นช่วยพัฒนาให้เครื่องมือเหล่านี้มีหน้าตาอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
แบล็ก แอนด์ เดกเคอร์ (B&D) บริษัทผู้ผลิตเครื่องมือสัญชาติอเมริกัน วางตลาดสินค้าใหม่เป็นเครื่องเจาะ ไร้สายตั้งแต่ปี 1961 แต่บริษัทเดียวกันนี้ได้พัฒนาเครื่องเจาะชนิดพิเศษสำหรับเก็บตัวอย่างชั้นดินหินใต้พื้นผิวของดวงจันทร์ให้กับองค์การนาซาด้วย
ความรู้ที่ได้จากการพัฒนาเครื่องยนต์และแบตเตอรีของอุปกรณ์ตัวนี้ ทำให้ B&D สามารถบุกเบิกตลาดสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใหม่ ๆ ได้อีกหลายชิ้น รวมถึงเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นแรกของโลก "ดัสต์บัสเตอร์" (Dustbuster) ซึ่งจำหน่ายได้ถึง 150 ล้านเครื่อง ภายในระยะเวลา 30 ปี หลังออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1979
2. นาฬิกาที่จับเวลาได้แม่นยำขึ้น
คำบรรยายภาพ,
บัซซ์ อัลดริน มนุษย์คนที่สองที่ได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ สวมนาฬิกาข้อมือระหว่างปฏิบัติภารกิจในโครงการอะพอลโล 11
ความเที่ยงตรงของการบอกเวลานั้น นับว่าสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของภารกิจเหยียบดวงจันทร์ ความแตกต่างเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถส่งผลต่อความเป็นความตายของนักบินอวกาศได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่องค์การนาซาต้องการนาฬิกาที่เที่ยงตรงแม่นยำที่สุดเพื่อควบคุมภารกิจให้ลุล่วง
ผลที่ได้จากการแก้ปัญหาเรื่องจับเวลานี้ก็คือ นาฬิกาควอตซ์หรือนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งถูกนำมาผลิตเป็นสินค้าที่ใช้กันแพร่หลายในเวลาต่อมา โดยเวลาที่นาฬิการุ่นนี้บอกจะคลาดเคลื่อนไปเพียง 1 นาทีต่อปีเท่านั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า แทบไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงนวัตกรรมนี้ระหว่างที่มีการดำเนินภารกิจอะพอลโล 11 เนื่องจากนีล อาร์มสตรอง และบัซซ์ อัลดริน มนุษย์อวกาศคนที่สองที่ได้ลงเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ ต่างก็สวมใส่นาฬิกาข้อมือที่ใช้กลไกแบบเก่าระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในอวกาศ
คำบรรยายภาพ,
ต้องขอบคุณนาซาที่ทำให้ดวงตาของเราระคายเคืองน้อยลงเมื่ออยู่ในน้ำ
เทคโนโลยีที่ทำให้น้ำดื่มน้ำใช้บนยานอะพอลโลสะอาดบริสุทธิ์นั้น ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์หลากหลายชนิด เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และสาหร่ายที่ปนเปื้อนมากับแหล่งน้ำ
โครงการอะพอลโลเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ใช้คลอรีนเป็นตัวฆ่าเชื้อ แต่หันไปใช้ซิลเวอร์ไอออนหรืออนุภาคมีประจุไฟฟ้าของธาตุเงินในการทำให้น้ำสะอาดแทน ทุกวันนี้เราจะพบว่าระบบดังกล่าวมีใช้กันทั่วไปตามสระว่ายน้ำและน้ำพุสำหรับใช้ดื่มทุกแห่งทั่วโลก
4. รองเท้ากีฬาสุดแกร่งจากชุดนักบินอวกาศ
คำบรรยายภาพ,
เทคโนโลยีที่ใช้ผลิตชุดนักบินอวกาศ ให้กำเนิดรองเท้ากีฬารุ่นใหม่ที่ทนทานมากยิ่งขึ้น
นักบินอวกาศในทุกวันนี้ยังคงสวมชุดที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อภารกิจอะพอลโลในปี 1965 ซึ่งมุ่งออกแบบให้ปกป้องร่างกายของนักบินอวกาศขณะปฏิบัติหน้าที่บนดวงจันทร์เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งของชุดนักบินอวกาศนี้เป็นแรงบันดาลใจให้มีการผลิตรองเท้ากีฬาที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น เกาะพื้นผิวและดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ออกมาวางตลาดในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาด้วย
5. ผ้าทนไฟและเสื้อคลายร้อน
คำบรรยายภาพ,
ผ้าทนไฟที่นาซาพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานในอวกาศ ขณะนี้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
เหตุไฟไหม้ที่ทำลายยานอะพอลโล 1 ในระหว่างปฏิบัติการฝึกซ้อมเมื่อปี 1967 ทำให้นักบินอวกาศที่อยู่ในยานเสียชีวิตไปถึง 3 ราย และทำให้โครงการอวกาศของสหรัฐฯต้องพบกับความปั่นป่วนไปพักใหญ่
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อุบัติเหตุดังกล่าวได้ทำให้นาซามีโอกาสพัฒนาผ้าทนไฟรุ่นใหม่ขึ้นมาใช้งาน รวมทั้งมีการคิดค้นเสื้อทำความเย็นขึ้นมาช่วยคลายความร้อนที่สะสมในตัวนักบินอวกาศขณะออกปฏิบัติงานนอกตัวยานอีกด้วย
ในภายหลังสิ่งประดิษฐ์ทั้งสองนี้ถูกนำมาใช้กับงานทั่วไปบนโลก เช่นเสื้อทำความเย็นสำหรับคนไข้โรคปลอกประสาทอักเสบในระบบประสาทส่วนกลาง (Multiple Sclerosis) ที่จะรู้สึกไวต่อความร้อนเป็นพิเศษ หรือแม้กระทั่งประยุกต์เป็นชุดทำความเย็นสำหรับสวมให้ม้าแข่ง
6. เครื่องกระตุ้นหัวใจขนาดจิ๋วแบบฝังติดตัว
คำบรรยายภาพ,
ผู้ประดิษฐ์เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบฝังใต้ผิวหนัง ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีวงจรไฟฟ้าขนาดเล็กของนาซา
อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็กสำหรับผู้ป่วยซึ่งมีการเต้นของหัวใจผิดปกติแบบเสี่ยงอันตรายตลอดเวลานั้น มีผู้คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกและนำออกใช้งานในช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากนาซาสามารถพัฒนาเทคโนโลยีวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋วให้ก้าวล้ำไปได้อีกขั้น
เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบนี้ต่างจากอุปกรณ์ที่หน่วยกู้ภัยและหน่วยปฐมพยาบาลต่าง ๆ ใช้กันอยู่มาก เพราะมีขนาดเล็กจนสามารถผ่าตัดฝังไว้ใต้ผิวหนังของคนไข้ เพื่อคอยเฝ้าระวังจังหวะการเต้นของหัวใจได้ตลอดเวลา หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น เครื่องก็จะปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเพื่อแก้ไขในทันที
7. อาหารแห้งมื้อย่อส่วนพกสะดวก
คำบรรยายภาพ,
อาหารแห้งด้วยวิธีแช่เยือกแข็งสำหรับนักบินอวกาศ ถูกนำมาผลิตเพื่อการค้าโดยเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจมากขึ้น
เพื่อที่จะไปให้ถึงดวงจันทร์ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางในอวกาศทั้งขาไปและขากลับรวม 13 วัน นาซาได้คิดหาหนทางที่จะประหยัดพื้นที่เก็บของและทำให้ยานอวกาศเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงเป็นที่มาของการคิดค้นวิธีเก็บเสบียงอาหารโดยไม่ให้เน่าเสีย ทั้งมีขนาดเล็กพกสะดวกไม่เทอะทะหรือรับประทานได้ลำบาก
ทางออกสำหรับเรื่องนี้คืออาหารที่ทำแห้งด้วยวิธีแช่เยือกแข็ง (Freeze-drying) กระบวนการที่ว่านี้จะดึงน้ำออกจากอาหารสดที่เพิ่งปรุงสำเร็จในภาวะอุณหภูมิต่ำ หากต้องการรับประทานเมื่อใดก็เพียงเติมน้ำร้อนเข้าไปเท่านั้น
นอกจากอาหารแบบนี้จะดีต่อนักบินอวกาศแล้ว ยังเป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขาและคนที่ตั้งแคมป์ในป่ามาหลายชั่วรุ่นเพราะมีราคาถูก บางชนิดมีราคาเพียงห่อละ 4 ดอลลาร์ หรือ 123 บาทเท่านั้น
8. ผ้าห่มอวกาศช่วยชีวิตผู้ประสบภัย
คำบรรยายภาพ,
ผ้าห่มอวกาศมีความสำคัญในการใช้งานบนโลกเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
แผ่นกันความร้อนที่สะท้อนแสงดูแวววาว ซึ่งนาซาใช้ห่อหุ้มยานส่วนที่ลงจอดบนดวงจันทร์ในภารกิจอะพอลโลนั้น เดิมมีจุดประสงค์เพื่อใช้ป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ แต่ในเวลาต่อมา "ผ้าห่มอวกาศ" นี้ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตอย่างหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ในงานกู้ภัยและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
ผ้าห่มที่ดูเหมือนแผ่นฟอยล์โลหะทำมาจากพลาสติก แผ่นฟิล์ม และอะลูมิเนียม ปัจจุบันใช้เป็นผ้าห่มกักเก็บความร้อนซึ่งป้องกันไม่ให้นักกีฬาหรือผู้ประสบภัยสูญเสียความร้อนภายในร่างกายออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จนทำให้เกิดภาวะตัวเย็นหรืออุณหภูมิกายต่ำผิดปกติ (Hypothermia) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ทุกวันนี้เราอาจได้เห็นผ้าห่มอวกาศสีเงินหรือสีทองแวววาวตามงานแข่งขันวิ่งมาราธอน รวมทั้งในโรงพยาบาลต่าง ๆ และตามภาพข่าวการช่วยเหลือผู้ประสบภัยบ่อยครั้ง