ที่มาหน้าประชาชื่น มติชนรายวัน ผู้เขียนวิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่วันที่ 5 กันยายน 2560
ประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญหนึ่งของชาติ คือการกอบกู้บ้านเมืองของพระเจ้าตากสินมหาราช จากเวลานั้นถึงวันนี้รวมเวลาประมาณ 250 ปี มีหลักฐานให้สืบค้นไม่น้อย ตั้งแต่พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งที่ใช้หรือสร้างขึ้นในยุคนั้น เรื่องราวของชุมชนที่เกิดเหตุ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ท้าทายและเชิญชวนให้ติดตามยิ่ง
ส่วนที่จะชวนท่านผู้อ่านติดตามในวันนี้เป็นเพียงช่วงหนึ่งของเหตุการณ์สำคัญนั้น คือการเดินทางไปรวบรวมไพร่พลจากหัวเมืองตะวันออก
การเดินทางไปหัวเมืองตะวันออกอาจเป็นเพียงฉากหนึ่งของสงครามใหญ่ แต่เป็นฉากสำคัญที่มีผลให้สยามได้ชัยชนะ ซึ่งในช่วง 1-2 เดือนนี้ นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” นำเสนออย่างต่อเนื่อง
เดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่าน นิตยสารศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความชื่อ “พระเจ้าตากกับการปราบปรามโจรสลัดในชายฝั่งทะเลตะวันออก” โดย กำพล จำปาพันธ์ ที่ผู้เขียนค้นคว้าอย่างละเอียดกับเอกสารมากมายกว่า 50 รายการ ที่ทำให้เห็นว่า
พระองค์ทรงเลือกหัวเมืองตะวันออก เพราะอุดมสมบูรณ์เรื่องทรัพยากร ทำให้มีการซ่องสุมกำลังเพื่อปล้นสะดมพ่อค้า โดยผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน เนื่องจากหัวเมืองชายทะเลอยู่ห่างไกลจากอำนาจการปกครองของรัฐส่วนกลาง ไพร่พลที่กวาดต้อนมาจำนวนไม่น้อยก็คือผู้คนเหล่านี้
ฉบับนี้ถ้าท่านใดพลาดการจับจอง ลองติดต่อที่ร้านมติชนบุ๊กคลับ ที่บริษัทมติชนฯ น่าจะพอมีอยู่บ้าง
ส่วนเดือนกันยายน 2560 นี้ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมเสนอบทความชื่อว่า “ข้อสังเกตเส้นทางออกจากกรุงฯ สู่หัวเมืองตะวันออก ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ” โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ ข้อมูลที่ใช้เขียนบทความคราวนี้มาจากการลงไปดูพื้นที่จริงและพูดคุยกับผู้คนในชุมชน
ความเดิมตามข้อมูลการเดินทัพของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉบับหมอบรัดเลย์, ฉบับพระราชหัตถเลขา, ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวว่า พระเจ้าตากสินมหาราชทรงฝ่าวงล้อมออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อคิดกู้บ้านเมืองเดินทางไปรวบรวมไพร่พลจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออก
หากวลัยลักษณ์ ทรงศิริ ตั้งข้อสงสัยว่าเส้นทางเดินทัพดังกล่าว
เพราะการใช้เส้นทางเดินทัพตามพระราชพงศาวดารนั้นเสี่ยงเกินไป เสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับพม่า ทั้งผลของการเสี่ยงก็ดูจะไม่คุ้มทุนนัก
โดยเฉพาะเส้นทางตามพระราชพงศาวดารบางช่วง คือระยะทางตั้งแต่ปากน้ำโจ้โล้ ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทราจนถึงเมืองระยอง ที่กล่าวถึงการเคลื่อนทัพจากพานทอง มาบางปลาสร้อย ศรีราชา บางละมุง นาเกลือ…ก่อนเข้าเมืองระยอง
วลัยลักษณ์ให้เหตุผลว่า “หากจะเดินทัพผ่านไปยังบางปลาสร้อยและหัวเมืองชายฝั่งทะเล ซึ่งน่าจะมีประชากรอยู่ไม่มากและการเดินทางบกถือว่าห่างไกล แม้ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ ก่อนจะมีความนิยมการพักผ่อนตามชายหาดทะเล
การที่ทัพพระเจ้าตากสินฯ จะเดินทางผ่านไปยังบางปลาสร้อยแล้วเลียบทะเลไปยังบ้านนาเกลือ พัทยา นาจอมเทียน ทุ่งไก่เตี้ย สัตหีบ แล้วเดินทางไปเมืองระยองที่ย่านปากน้ำระยองหรือคลองใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางบกแต่เลียบชายฝั่งทะเลในระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 150 กิโลเมตร
อีกทั้งระยะทางไปยังนาเกลือ นาจอมเทียน และสัตหีบ เขตเมืองบางละมุงแล้วจึงวกเลียบชายฝั่ง ผ่านบ้านพลา มาบตาพุดเข้ามายังเมืองระยองยังเป็นการเดินทางที่อ้อมไกล มีชุมชนเบาบาง เพราะไม่ใช่พื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารและแหล่งน้ำ
และโดยปกติผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบันไม่ใช้วิธีการเดินทางไกลเช่นนี้ และกล่าวถึงนายกล่ำหรือนายกลมที่เป็นหัวหน้าชุมชนที่อยู่ห่างไกลมีกำลังไม่มาก ออกต่อต้านแต่กลายมาเป็นพวกในภายหลัง นำพาไปจนถึงพัทยา นาจอมเทียนในระยะทางที่ห่างกันกว่า 10 กิโลเมตร และเป็นเส้นทางเลียบชายฝั่ง จากนั้นไม่ปรากฏนามอีกเลย”
แล้วเส้นทางใด คือเส้นทางทัพที่พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลือกใช้
วลัยลักษณ์เสนอว่าน่าจะเป็นอีกเส้นทางหนึ่งโดยให้เหตุผลว่า
“หลังจากเสร็จศึกใหญ่ในแถบย่านอำเภอราชสาส์นปัจจุบันกับพม่าที่ประจำคุมอยู่ ณ ปากน้ำโจ้โล้ ทัพจากกรุงศรีอยุธยาของพระเจ้าตากสินฯ น่าจะเลือกเดินทางโดยใช้แนวคลองหลวงหรือลำน้ำพานทองจากจุดที่เป็นต้นคลองพานทองที่เมืองพระรถในอำเภอพนัสนิคมปัจจุบัน ตัดไปยังชุมชนเก่าภายในอันเป็นเมืองสมัยทวารวดีเช่นกัน
ซึ่งเส้นทางนี้เป็นเส้นทางท้องถิ่นเก่าแก่ที่ใช้เดินทางเข้าสู่ชุมชนภายใน และผ่านไปยังหัวเมืองและชายฝั่งทะเลทางตะวันออกได้ไม่ยาก และคนในพื้นที่น่าจะรู้จักการเดินทางเข้าสู่ชุมชนภายในแผ่นดินนี้ ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า ‘เมืองพญาร่ง’ ในอำเภอบ่อทอง แล้วตัดลงบ้านค่ายที่เป็นอำเภอบ้านค่าย ในจังหวัดระยองปัจจุบัน”
ถามว่าแล้ววลัยลักษณ์มีอะไรเป็นหลักฐานเราจึงควรเชื่อตามที่เธอเสนอ
ตอบได้คำเดียวว่า “เพียบ” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากพื้นที่, สิ่งของ, เรื่องเล่าในท้องที่ ฯลฯ แต่โดยกฎ กติกา และมารยาท คงต้องขอให้ท่านผู้อ่านติดตามบทความฉบับเต็มจาก “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกันยายนนี้ที่จะชวนคุณตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์เสมอๆ