แผนการสอนหรือแผนจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนในทุกระดับชั้น เปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่ช่วยให้ครูสามารถดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนได้เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ การจัดทำแผนการสอนนั้น ครูผู้สอน จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษาอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สามารถออกแบบแผนการสอนได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องครบถ้วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการจัดการศึกษาทั้งกับตัวผู้เรียนและตัวครูผู้สอนเอง โดยอาศัย โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการออกแบบแผนการสอนนั้น จะต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้ 1. หัวเรื่อง คือ ส่วนที่ต้องกำหนด ชื่อของเรื่องหรือหน่วยการเรียนรู้ ขั้นที่สอนและเวลาที่ใช้สอน 2. สาระสำคัญ คือ มโนทัศน์หลักหรือความคิดรวบยอดของการจัดการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งกำหนดเป็นภาพกว้างให้เห็นการเชื่อมโยงข้อมูลของสิ่งที่กำลังจะสอน 3. มาตรฐานและตัวชี้วัด คือ คุณลักษณะสำคัญของผู้เรียนที่กำหนดไว้ในหลักสูตร โดยในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะหยิบยกมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและคาดว่าจะเกิดกับผู้เรียน ซึ่งการที่ลักษณะของผู้เรียนเป็นไปตามมาตรฐานและตัวชี้วัดนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางและส่วนที่เพิ่มเติมให้หลักสูตรสถานศึกษา 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ คือ เป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับตัวผู้เรียนหลังจากที่เราได้ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนที่ได้วางไว้แล้ว โดยในการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้นั้นจะต้องเกิดจากการวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 5. สาระการเรียนรู้ คือเนื้อเรื่อง หรือองค์ความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนที่จะต้องเรียนรู้ในรายวิชานั้น ๆ 6. การบวนการการเรียนรู้ คือ การระบุกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน และขั้นสรุป 7. สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งการเรียนรู้ คือ เครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้ตามที่กำหนดในกิจกรรมการเรียนรู้ 8. การวัดและประเมินผล คือ การประเมินผลผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งควรระบุเครื่องมือวัดและเกณฑ์การให้คะแนน ซึ่งสามารถศึกษาได้จากคู่มือหลักสูตร 9. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ คือการบันทึกของครูผู้สอนจากสิ่งที่พบในการนำแผนจัดการเรียนรู้มาใช้ โดยแบ่งเป็น ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ปัญหาและอุปสรรค์ และ ข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ตามคุณครูสามารถดาวน์โหลดตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนวิชาภาษาไทยได้จากลิงก์ด้านล่างครับ เแรผยี นนกราู้ (รSจTัดEกMาร) บทเสภาสามัคคี เสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคี เสวก ม.๒ รหัส ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๔๒ รหัส ๖๑๑๓๑๑๐๙๐๕๑ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา คํานํ า การจัดทําชุดการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ เพือพัฒนาทักษะการ เรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย สาระที ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม เรืองบท เสภาสามัคคเสวก ตอน วิศวกรรมาและสามัคคีเสวก และบทละคร รามเกียรติ ตอน นารายณ์ปราบนนทก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษา ไทย ชันมัธยมศึกษาปที ๒ เพือช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เปนไปตาม ขันตอนอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้จัดทําได้พยายามศึกษาค้นคว้าจาก เอกสาร ตําราต่างๆ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ ทีเกียวข้องกับการทําชุดการ เรียนรู้ เพือให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามหลักวิชา ดังนันจึงได้จัด ทําชุดการเรียนรู้ทังหมด ๕ กิจกรรม แยกเปน ๒ หน่วยการเรียนรู้ ดังนี หน่วยการเรียนรู้ที ๒ บทเสภาสามัคคเสวก ตอน วิศวกรรมาและ สามัคคีเสวก ๑. กิจกรรมที ๑ เรือง การอ่านบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมา และ ตอนสามัคคีเสวก ๒. กิจกรรมที ๒ เรือง การพิจารณาคุณค่าบทเสภา หน่วยการเรียนรู้ที ๔ บทละครเรืองรามเกียรติ ตอน นารายณ์ปราบ นนทก ๓. กิจกรรมที ๓ เรือง การอ่านบทละครเรือง รามเกียรติ ตอนนารายณ์ ปราบนนทก ๔. กิจกรรมที ๔ เรือง คําไวพจน์และคําทีมาจากภาษาอืน ๕. กิจกรรมที ๕ เรืองการพิจารณาคุณค่ากลอนบทละคร องค์ความรู้ทีอยู่ในเอกสารฉบับนี เกิดขึนจากความรู้ ความเข้าใจ ความตังใจ ทีจะจัดทําให้สาํ เร็จอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากพบข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยและน้อมรับมา ณ ทีนี นางสาวทิพย์เกษร เชือตาหมืน แผนผงั แสดงขันตอนการเรยี นรูโ้ ดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ศึกษาคําแนะนํ าในการใชช้ ดุ กจิ กรรม ศึกษาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ ทาํ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตาม ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ทาํ แบบฝกหัดหลงั เรยี น ผา่ นเกณฑ์ ศึกษากจิ กรรมการเรยี นรูต้ อ่ ไป ข้ อ เ ส น อ แ น ะ ก า ร ใ ช้ ชุ ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รีย น รู้ เ ชิ ง รุ ก ๑. ข้อเสนอแนะในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย บทละคร เรือง รามเกียรติ ตอน นารายณ์ปราบนนทก และกลอน ๒. ส่วนประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย บทละคร เรือง รามเกียรติ ตอน นารายณ์ปราบนนทก และกลอน ๑. คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุ กเพือพัฒนาทักษะการ ๒. คําชีแจงสาํ หรับครู ผู้สอน ๕. มาตรฐานและตัวชีวัดชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี ๑ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ : ภาษาไทย ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปที ๒ รหสั วิชา ท๒๒๑๐๑ วิชา ภาษาไทย เวลา ๖๐ ชวั โมง หน่วยที ๒ ชอื หน่วย บทเสภาสามคั คเี สวก ตอน วิศวะกรรมมา และสามคั คเี สวก เวลา ๘ ชวั โมง เรอื งที ๑ เรอื ง การอ่านบทเสภาสามคั คเี สวก ตอนวิศวกรรมา และสามคั คเี สวก เวลา ๖ ชวั โมง มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชวี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ ท ๑.๑ ใชก้ ระบวรการอ่าน สรา้ งความรูแ้ ละความคิด เพือนาํ ไปใชต้ ัดสนิ ใจ ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย ตัวชวี ัด ๑. ท ๑.๑ (ม. ๒/๑) อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแกวและบทร้อยกรองได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ สมรรถนะของผเู้ รยี น ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ สาระสาํ คัญ ในพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั กล่าวถึงคณุ ค่าและความสา บทเสภาสามคั คีเสวก เปนพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกฏุ ขนั สรา้ งขนั ที ๑ นําเขา้ สบู่ ทเรยี น (ชวั โมงที ๑) ก.บทเสภาสามคั คีเสวก ๓.เรอื งนมี ใี จความเกียวกับอะไรเปนสาํ คัญ ก.ความสาํ คัญของศลิ ปะ ข.ความหมายของศลิ ปะ ๔. ชาติทีขาดชา่ งศลิ ปะเปรยี บได้กับอะไร ก.หญงิ ทีไมต่ กแต่งรา่ งกาย ๕. ผทู้ ีดถู กู ชา่ งศลิ ปะ จัดเปนบุคคลประเภทใด ก. คนชวั ข. คนโง่ ค. คนไรก้ ารศกึ ษา ง. คนปา ๒. ครูนาํ ภาพสถาปตยกรรมไทยเชน่ โบสถ์วิหารเจดียภ์ าพจิตรกรรม ๒.๑ ภาพทีได้ดเู ปนภาพอะไร (วัด / พญานาค /โบสถ์/อืนๆ) ๔. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กล่มุ กล่มุ ละ ๕ คน คละเพศ และคละนกั เรยี นเก่ง ๔.๒ ใหน้ กั เรยี นสง่ ตัวแทนออกมานาํ เสนอตามแนวคิดทีได้รว่ มอภิปราย กจิ กรรมกลมุ่ เปนการสรา้ งเสรมิ ทกั ษะในศั ตวรรษที ๒๑ ๕. นกั เรยี นดวู ีดิทัศนพ์ ระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเด็จพระ-ปรมนิ ทรม ขนั ที ๒ กิจกรรมการเรยี นรู้ ๖. ครูใหน้ กั เรยี นจับกล่มุ จํานวน ๕-๖ คน คละเพศ และคละนกั เรยี น ๗. นกั เรยี นชว่ ยกันบอกพระราชกรณยี กิจของสมเด็จพระปรมนิ ทรม ๘. นกั เรยี นอ่านออกเสยี งเรอื ง บทเสภาสามคั คีเสวก ตอน สามคั คี ๙. นกั เรยี นเขยี นสรุปเปนเรอื งราวรอ้ ยแก้วตามลําดับเนอื หา แล้ว ๑๐. นกั เรยี นแบง่ กล่มุ ใหแ้ ต่ละกล่มุ ชว่ ยกันนาํ เสนอความคิดเหน็ ๑๑. นกั เรยี นแต่ละล่มุ สง่ ตัวแทนออกมานาํ เสนอเรอื งดังกล่าวหนา้ ๑๒.นกั เรยี นเลือกเขยี นเรยี งความ แต่งนทิ าน หรอื บทรอ้ ยกรอง ขนั ที ๓ ฝกฝนผเู้ รยี น เสวก ตอน วิศวะกรรมมา และสามคั คีเสวก แล้วชว่ ยกันเฉลยคําตอบ สามคั คีเสวก แล้วคัดเลือกตอนทีชนื ชอบ วาดภาพประกอบ และเขยี น ขนั ที ๔ นําไปใช้ วิศวะกรรมมา และสามคั คีเสวก นาํ ไปปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจําวัน ขนั ที ๕ สรุป สามคั คีเสวก ตอน วิศวะกรรมมา และสามคั คีเสวกบนั ทึกลงในสมดุ สอื การเรยี นรู้ แหล่งการเรยี นรู้ การวัดและการประเมนิ ผล ๑. การทําใบงานแบบฝกหดั เครอื งมอื วัดประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ บนั ทึกขอ้ เสนอแนะ ของผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ลงชอื ........................................... บนั ทึกผลการเรยี นรู้ ลงชอื ........................................... วันที ..... เดือน ............ พ.ศ. ........ ใบความรูท้ ี ๑ ความเปนมาและประวัติผแู้ ต่ง บทเสภาสามคั คีเสวก (อ่านว่า เส - วก = ขา้ ราชการในราชสาํ นกั )เปน บทพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั พระราช นพิ นธข์ นึ เมอื พ.ศ.๒๔๕๗ บทเสภาสามคั คีเสวกเปนบททีใชส้ าํ หรบั ขบั อธบิ ายนาํ เรอื งในการฟอนราํ ตอนต่างๆพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้า เจ้าอยูห่ วั จงอธบิ ายสาเหตทุ ีทรงพระราชนพิ นธบ์ ทเสภาชุดนไี ว้ว่า “เมอื ขา้ พเจ้าไปพกั ผอ่ นอิรยิ าบทอยูท่ ีพระราชวังสนามจันทร์ ได้มขี า้ ราช บรพิ ารในราชสาํ นกั ผลัดเปลียนกันจัดอาหารเลียงกันทกุ ๆวันเสารแ์ ละ เมอื เลียงแล้วมกั จะมอี ะไรดกู ันเล่นอยา่ ง ๑ ครงั เมอื จวนจะถึงคราวที เจ้าพระยาธรรมาธกิ รณาธบิ ดีจัดเลียงเจ้าพระยาธรรมาได้ขอใหข้ า้ พเจ้า คิดหาการเล่นสกั อยา่ ง ๑ กินได้คิดผกู ระบาํ “สามคั คีเสวก” ขนึ ระบาํ ที เปล่านไี ด้เล่นตามแบบใหมเ่ ปนครงั แรก กล่าวคือ ไมม่ บี ทรอ้ งเลย มแี ต่ หนา้ พาทย์ ประกอบกับท่าระบาํ เท่านนั คราวนลี ําพงึ ขนึ ว่าในเวลาพกั ระหว่างตอนแหง่ ระบาํ นนั ครงั จะใหพ้ ณิ พาทยบ์ รรเลง พณิ พาทยน์ นั ก็ได้ ตีเหนด็ เหนอื ยตลอดเวลาทีระบาํ ควรทีใหพ้ มิ พภ์ าพนนั ได้พกั หายเหนอื ย บา้ ง ขา้ พเจ้าจึงตกลงแต่งบทเสภาขนึ สาํ หรบั ขบั ระหว่างตอน” จากคําอธบิ ายนี จะเหน็ ได้ว่า บทเสภาสามคั คีเสวก พระบาทสมเด็จ บทเสภาสามคั คีเสวกเปนบทเสภาขนาดสนั มี ๔ ตอน ได้แก่ ตอนที ๑ กิจการแหง่ พระนนที มเี นอื ความสรรเสรญิ พระนนทีผเู้ ปน ตอนที ๒ กรนี ริ มติ มเี นอื ความสรรเสรญิ พระคเณศเทพเจ้าแหง่ ตอนที ๓ วิศวกรรมา มเี นอื ความสรรเสรญิ พระวิศวกรรมผเู้ ปนเทพเจ้า ตอนที ๔ สามคั คีเสวก มเี นอื ความกล่าวถึงการสมานสามคั คีในหมู่ ใบความรูท้ ี ๒ ตอน วิศวะกรรมมา อนั ชาตใิ ดไรศ้ านตสิ ขุ สงบ ตอ้ งมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่ ณ ชาตนิ ั นนรชนไมส่ นใจ ในศิลปะวไิ ลละวาดงาม ๚ แตช่ าตใิ ดรุง่ เรอื งเมอื งสงบ วา่ งการรบอรพิ ลอนั ลน้ หลาม ยอ่ มจํานงศิลปาสงา่ งาม เพืออรา่ มเรอื งระยบั ประดบั ประดา ๚ อนั ชาตใิ ดไรช้ า่ งชาํ นาญศิลป เหมอื นนารนิ ไรโ้ ฉมบรรโลมสงา่ ใครใครเห็นไมเ่ ปนทจี ําเรญิ ตา เขาจะพากนั เยย้ ให้อบั อาย ๚ ศิลปกรรมนํ าใจให้สรา่ งโศก ชว่ ยบรรเทาทกุ ขใ์ นโลกให้เหือดหาย จําเรญิ ตาพาใจให้สบาย อกี รา่ งกายกจ็ ะพลอยสขุ สราญ ๚ แมผ้ ใู้ ดไมน่ ิ ยมชมสิงงาม เมอื ถงึ ยามเศรา้ อุราน่ าสงสาร เพราะขาดเครอื งระงบั ดบั ราํ คาญ โอสถใดจะสมานซงึ ดวงใจ ๚ เพราะการชา่ งนี สําคัญอนั วเิ ศษ ทกุ ประเทศนานาทงั น้ อยใหญ่ จงึ ยกยอ่ งศิลปกรรมน์ ั นทวั ไป ศรวี ไิ ลวลิ าศดเี ปนศรเี มอื ง ๚ ใครดถู กู ผชู้ าํ นาญในการชา่ ง ความคิดขวางเฉไฉไมเ่ ขา้ เรอื ง เหมอื นคนบา้ คนไพรไมร่ ุง่ เรอื ง จะพดู ดว้ ยนั นกเ็ ปลอื งซงึ วาจา ๚ แตก่ รุงไทยศรวี ไิ ลทนั เพือนบา้ น จงึ มชี า่ งชาํ นาญวเิ ลขา ทงั ชา่ งปนชา่ งเขยี นเพียรวชิ า อกี ชา่ งสถาปนาถกู ทาํ นอง ๚ ทงั ชา่ งรูปพรรณสวุ รรณกจิ ชา่ งประดษิ ฐร์ ชั ดาสงา่ ผอ่ ง อกี ชา่ งถมลายลกั ษณะจําลอง อกี ชาชองเชงิ รตั นะประกร ๚ ควรไทยเราชว่ ยบํารุงวชิ าชา่ ง เครอื งสําอางแบบไทยสโมสร ชว่ ยบํารุงชา่ งไทยให้ถาวร อยา่ ให้หยอ่ นกวา่ เขาเราจะอาย ๚ อนั ผองชาตไิ พรชั ชา่ งจดั สรร เปนหลายอยา่ งตา่ งพรรณเขา้ มาขาย เราตอ้ งซอื หลากหลากและมากมาย ตอ้ งใชท้ รพั ยส์ รุ ุย่ สรุ า่ ยเปนกา่ ยกอง ๚ แมพ้ วกเราชาวไทยตงั ใจชว่ ย เอออํานวยชา่ งไทยให้ทาํ ของ ชา่ งคงใฝใจผกู ถกู ทาํ นอง และทาํ ของงามงามขนึ ตามกาล ๚ เราชว่ ยชา่ งเหมอื นอยา่ งชว่ ยบา้ นเมอื ง ไดป้ ระเทอื งเทศไทยอนั ไพศาล สมเปนเมอื งใหญโ่ ตมโหฬาร พอไมอ่ ายเพือนบา้ นจงึ จะดี ๚ ถอดคําประพันธ์ ชาติใดทีมศี กึ สงครามไมม่ คี วามสงบสขุ ในแผน่ ดิน ประชาชนยอ่ มไมม่ ี จิตใจสนใจความงดงามของศลิ ปะแต่หากประเทศใด (ชาติใด) บา้ นเมอื งสงบสขุ ปราศจากสงคราม ประชาชนก็จะทํานบุ าํ รุงศลิ ปกรรมทังปวงใหเ้ จรญิ รุง่ เรอื ง ชาติใดทีปราศจากชา่ งศลิ ป ก็เปรยี บเสมอื นหญงิ สาวทีไมม่ คี วามงามไมเ่ ปนที ต้องตาต้องใจของใคร มแี ต่จะถกู เยาะเยย้ ใหไ้ ด้อาย อันศลิ ปกรรมนนั ชว่ ย ทําใหจ้ ิตใจคลายเศรา้ ชว่ ยทําใหค้ วามทกุ ขห์ มด ทําใหจ้ ิตใจของเรามคี วามสขุ ซงึ จะสง่ ผลใหร้ า่ งกายแขง็ แรงไปด้วย (ทําใหส้ ขุ ภาพใจและกายดี) ตรงกันขา้ ม หากใครไมเ่ หน็ คณุ ค่าความงามของศลิ ปะ เมอื เผชญิ ความทกุ ขก์ ็ไมม่ สี งิ ใดมา เปนยาชว่ ยรสมานบาดแผลของจิตใจ เขาเหล่านนั จึงเปนคนทีนา่ สงสารยงิ นกั เพราะความรูท้ างชา่ งศลิ ปสาํ คัญเชน่ นี นานาประเทศจึงนยิ มยกยอ่ งคณุ ค่า ของศลิ ปะและความสามารถเชงิ ชา่ งของชา่ งศลิ ปว่าเปนเกียรติยศ ความ รุง่ เรอื งของแผน่ ดิน คนทีไมเ่ หน็ คณุ ค่าของศลิ ปะก็เหมอื นคนปาคนดง ปวย การอธบิ าย พดู ด้วยก็เปลืองนาลายเปล่า แต่ประเทศไทยของเรานนั เหน็ คณุ ค่าของงานชา่ งศลิ ป เชน่ ชา่ งปน ชา่ งเขยี น ชา่ งสถาปตย์ ชา่ งทองรูปพรรณ ชา่ งเงิน ชา่ งถมและชา่ งอัญมณี ซงึ เราควรสนบั สนนุ งานชา่ งศลิ ปไทยให้ ก้าวหนา้ รุง่ เรอื งอยา่ ใหด้ ้อยนอ้ ยหนา้ กว่านานาประเทศ ชาวต่างชาติเมอื มา เยอื นเมอื งไทยจะได้ซอื หางานศลิ ปะเหล่านกี ลับไปเพราะเหน็ ในคณุ ค่า การ ชว่ ยสนบั สนนุ งานศลิ ปกรรม และสง่ เสรมิ ชา่ งศลิ ปะไทยใหส้ รา้ งสรรค์งาน ศลิ ปะขนึ จึงเท่ากับได้ชว่ ยพฒั นาชาติ ใหเ้ จรญิ พฒั นาอยา่ ถาวร ใบความรูท้ ี ๓ ตอน สามัคคเี สวก ประการหนงึ พงึ คิดในจิตมนั ว่าทรงธรรมเ์ หมอื นบดิ าบงั เกิดหวั หมายถึง สงิ หนงึ ทีเราควรมไี ว้ในจิตใจคือ พระเจ้าแผน่ ดินเปรยี บเสมอื นพอ่ ควรนกึ ว่าบรรดาขา้ พระบาท ล้วนเปนราชบรพิ ารพระทรงศรี เหมอื นลกู เรอื อยูใ่ นกลางหว่างวารี จําต้องมมี ติ รจิตรสนทิ กัน หมายถึง ควรนกึ ว่าพวกเราก็เปนขา้ รบั ใชข้ องพระเจ้าแผน่ ดินคนหนงึ แมล้ กู เรอื เชอื ถือผเู้ ปนนาย ต้องมงุ่ หมายชว่ ยแรงโดยแขง็ ขนั หมายถึง ถ้าลกู เรอื เชอื ฟงกัปตันก็จะต้องชว่ ยกัปตันอยา่ งแขง็ ขนั ต้องตังใจ แมล้ กู เรอื อวดดีมที ิฐิ และเรมิ รเิ ฉโกยุง่ โยเส หมายถึง แต่ถ้าลกู เรอื ไมเ่ ชอื ฟงกัปตันและเรมิ แตกคอกัน เวลาคลืนลมแรง แมต้ ่างคนต่างเถียงเกียงแก่งแยง่ นายเรอื จะเอาแรงมาแต่ไหน แมไ้ มถ่ ือเครง่ คงตรงวินยั เมอื ถึงคราวพายุใหญจ่ ะครวญคราง หมายถึง ถ้าลกู เรอื มวั แต่ทะเลาะกัน กัปตันก็จะไมม่ กี ําลังมาต่อสู้ ถ้าไม่ นายจะสงั สงิ ใดไมเ่ ขา้ จิต จะต้องติดตันใจใหข้ ดั ขวาง หมายถึง กัปตันสงั อะไรก็ไมฟ่ งพอถึงเวลาก็มขี อ้ ขดั แยง้ ต่อมาก็จะเกิด ถึงเสวีทีเปนขา้ ฝาพระบาท ไมค่ วรขาดความสมคั รสโมสร หมายถึง ถึงจะเปนขา้ รบั ใชข้ องพระเจ้าแผน่ ดินก็ไมค่ วรขาดความสามคั คี เหล่าเสวกตกทีกะลาสี ควรคิดถึงหนา้ ทีนนั เปนใหญ่ หมายถึง เหล่าขา้ ราชการในราชสาํ นกั ก็เหมอื นเปนกะลาสคี วรใหค้ วาม ไมค่ วรเลือกทีรกั มกั ทีชงั สามคั คีเปนกําลังพลังศรี หมายถึง ไมค่ วรแยกฝายเลือกทีจะเคารพเชอื ฟงใคร ควรทีจะสามคั คี แบบฝกหดั ที ๑ เรอื ง บทเสภาสามัคคเี สวก ตอน วิศวะกรรมมา และสามัคคเี สวก คําชแี จง ๑. ใครเปนผแู้ ต่งบทเสภาสามคั คีเสวก ๒.ใหน้ กั เรยี นเขยี นอธบิ ายบทเสภาสามคั คีเสวกดังต่อไปนี ๓.ใหน้ กั เรยี นตอบคําถามจากบทประพนั ธต์ ่อไปนี สอนชา่ งเขยี นให้เพียรเขยี นวาดสี แบบกระหนกนารศี รสี มร อกี กระบชี ะสงา่ งอน แบบสนุ ทรจติ การสมานรงค์ เรมิ ผกู ลวดเลศิ ประเสรฐิ กอ่ น อรชรกา้ นกงิ ยงิ ประสงค์ สลบั สีเพียบเพ็ญเบญจรงค์ จดั ประจงเปนภาพพิไลตา อนึ งปนเปนรูปเทวฤทธิ ดปู ระหนึ งวา่ มชี วี ติ พิศเพลนิ ใจ อกี สถาปนะการชาญฉลาด ปลกู ปราสาทเคหฐานทงั น้ อยใหญ่ กอ่ กําแพงกําแหงรอบกรุงไกร ทา้ ประยทุ ธช์ องชยั แห่งไพรี สรา้ งศาสตราอาวธุ รุทธก์ ําแหง เพือใชแ้ ยง้ ยทุ ธากรสมรศรี ทวยทหารไดถ้ อื เครอื งมอื ดี กส็ ามารถราวอี รลี าน อนึ งเครอื งประดบั สลบั แกว้ วะวบั แววแกว้ ทองสองสมาน ชา่ งประดษิ ฐค์ ิดประจงคงตระการ เครอื งสําราญนั ยนาน่ าพึงใจ ๓.๑ จากคําประพนั ธข์ า้ งต้นชา่ งของไทยทีกล่าวไว้มชี า่ งใดบา้ ง ๔. นกั เรยี นมวี ิธชี ว่ ยกันบาํ รุงรกั ษาศลิ ปะใหถ้ าวรสบื ไปอยา่ งไร ๑. ....................................................................................... เฉลยแบบฝกหดั ที ๑ คําชแี จง จงตอบคําถามต่อไปนี ๑. ใครเปนผแู้ ต่งบทเสภาสามคั คีเสวก ๒.ใหน้ กั เรยี นเขยี นอธบิ ายบทเสภาสามคั คีเสวกดังต่อไปนี ผเู้ ปนเทพเสวก เมอื พระอิศวรจะเสด็จไปแหง่ มดพระนนทีจะแปลงเปนโคอุสภุ ราช ๒.๒ บทเสภาตอนที ๒ กวีนริ มติ กล่าวถึง ความสรรเสรญิ พระคเณศเทพเจ้า ๒.๓ บทเสภาตอนที ๓ วิศกรรมา กล่าวถึงความสรรเสรญิ พระวิศวกรรมผเู้ ปน ๒.๔ บทเสภาตอนที ๔ สามคั คีเสวก กล่าวถึง ความกล่าวถึงการสมานสามคั คี ๓.ใหน้ กั เรยี นตอบคําถามจากบทประพนั ธต์ ่อไปนี สอนชา่ งเขยี นให้เพียรเขยี นวาดสี แบบกระหนกนารศี รสี มร อกี กระบชี ะสงา่ งอน แบบสนุ ทรจติ การสมานรงค์ เรมิ ผกู ลวดเลศิ ประเสรฐิ กอ่ น อรชรกา้ นกงิ ยงิ ประสงค์ สลบั สีเพียบเพ็ญเบญจรงค์ จดั ประจงเปนภาพพิไลตา อนึ งปนเปนรูปเทวฤทธิ ดปู ระหนึ งวา่ มชี วี ติ พิศเพลนิ ใจ อกี สถาปนะการชาญฉลาด ปลกู ปราสาทเคหฐานทงั น้ อยใหญ่ กอ่ กําแพงกําแหงรอบกรุงไกร ทา้ ประยทุ ธช์ องชยั แห่งไพรี สรา้ งศาสตราอาวธุ รุทธก์ ําแหง เพือใชแ้ ยง้ ยทุ ธากรสมรศรี ทวยทหารไดถ้ อื เครอื งมอื ดี กส็ ามารถราวอี รลี าน อนึ งเครอื งประดบั สลบั แกว้ วะวบั แววแกว้ ทองสองสมาน ชา่ งประดษิ ฐค์ ิดประจงคงตระการ เครอื งสําราญนั ยนาน่ าพึงใจ ๓.๑ จากคําประพนั ธข์ า้ งต้นชา่ งของไทยทีกล่าวไว้มชี า่ งใดบา้ ง ๔. นกั เรยี นมวี ิธชี ว่ ยกันบาํ รุงรกั ษาศลิ ปะใหถ้ าวรสบื ไปอยา่ งไร ไทยใหเ้ ปนทีประจักษ์ต่อสงั คม ๕. คําว่า “เสวก” อ่านว่า สะ-เหวก หมายความว่า ขา้ ราชการในราช- ๖. ผนู้ าํ ทีดีควรวางตนอยา่ งไรในการปกครองลกู นอ้ ง ๗. ว่าทรงธรรมเ์ หมอื นบดิ าบงั เกิดหวั ควรเคารพยาํ เยงและเกรงกลัว พระมหากษัตรยิ เ์ ปรยี บเสมอื นพอ่ ของแผน่ ดิน ต้องใหค้ วามเคารพ ๘. ลกู นอ้ งทีดีควรประพฤติปฏิบตั ิตนอยา่ งไรในการทํางานกับหวั หนา้ ๑. ต้องเชอื ฟงผเู้ ปนนายอยา่ งเครง่ ครดั ๙.พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงเปรยี บประเทศชาติ เรอื ๑๐.เหล่าขา้ ราชการบรพิ ารทังหลายเปรยี บเสมอื น แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี ๒ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ : ภาษาไทย ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปที ๒ รหสั วิชา ท๒๒๑๐๑ วิชา ภาษาไทย เวลา ๖๐ ชวั โมง หน่วยที ๒ ชอื หน่วย บทเสภาสามคั คเี สวก ตอน วิศวะกรรมมา และสามคั คเี สวก เวลา ๘ ชวั โมง เรอื งที ๒ เรอื ง การพจิ ารณาคณุ ค่าบทเสภา เวลา ๒ ชวั โมง มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชวี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ ท ๓.๑ สามารถเลือกฟงและดอู ยา่ งมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความ ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ ง ตัวชวี ัด ๑. ท ๑.๑ (ม. ๒/๒) จับใจความสาํ คัญ สรุปความ และอธิบายรายละเอียดจากเรอื ง ทีอ่าน ๒. ท ๑.๑ (ม. ๒/๔) อภิปรายแสดงความคิดเห็นและขอโต้แย้งเกียวกับเรอื งทีอ่าน ๓. ท.๓.๑ (ม.๒/๑) พดู สรุปใจความสําคัญของเรืองทีฟงและดู ๔. ท.๓.๑(ม.๒/๓) วิเคราะหแ์ ละวิจารณ์เรอื งทีฟงและดอู ยา่ งมีเหตผุ ล เพือนํา ขอ้ คิดมาประยุกต์ใชใ้ นการดําเนนิ ชีวิต ๕. ท.๓.๑(ม.๒/๕) พดู รายงานเรอื งหรอื ประเด็นทีสกึ ษาค้นคว้า ๖. ท.๓.๑(ม.๒/๖) มมี ารยาทในการฟง การดู และการพูด ๗. ท ๕.๑ (ม. ๒/๑) สรุปเนอื หาวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่านในระดับทียากขนึ ๘. ท ๕.๑ (ม. ๒/๒) วิเคราะหว์ ิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิน ทีอ่าน เพรอ้ มยกเหตผุ ลประกอบ ๙. ท ๕.๑ (ม. ๒/๓) อธิบายคณุ ค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่าน ๑๐. ท ๕.๑ (ม. ๒/๔) สรุปความรูแ้ ละข้อคิดจากการอ่านไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ จุดประสงค์การเรยี นรู้ สมรรถนะของผเู้ รยี น ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ สาระสาํ คัญ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสาํ คัญของศลิ ปะ ทีมตี ่อเกียรติภมู ขิ องชาติและอํานาจ บทเสภาสามคั คีเสวก เปนพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกฏุ ขนั ที ๑ นําเขา้ สบู่ ทเรยี น ๑. ครูสนทนากับนกั เรยี นเกียวกับแนวคิดของบทเสภาสามคั คีเสวก ตอน วิศวกรรมาและสามคั คี เสวก ๒. นกั เรยี นชว่ ยกันบอกว่าการพจิ ารณาวรรณคดีทีเปนบทเสภาควร พจิ ารณาในเรอื งใดบา้ ง ๓. ครูเสนอแนวทางในการพจิ ารณาวรรณคดีทีเปนบทเสภาว่ามแี นวทางใน การพจิ ารณาเชน่ เดียวกับรอ้ ยกรองประเภทอืน ๆ โดยพจิ ารณาจากเนอื หา รูปแบบ และภาษา ขนั ที ๒ กิจกรรมการเรยี นรู้ ซองที ๑ นกั เรยี นคิดว่าเหตใุ ดบทเสภาสามคัคคีเสวกจึงเปนวรรณคดี ซองที ๒ บทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวิศวกรรมาและตอนสามคั คีเสวก ซองที๓ นกั เรยี นเหน็ ด้วยหรอื ไมก่ ับคํากล่าวในบทเสภาสามคั คีเสวก ซองที๔ นกั เรยี นคิดว่าการดํารงไว้ซงึ ชาติบา้ นเมอื งและความสงบสขุ ๓.นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ออกมาแสดงความคิดเหน็ ตามแนวคาถามทีจับได้ ขนั ที ๓ ฝกฝนผเู้ รยี น ขนั ที ๔ นําไปใช้ ชวี ิตประจําวัน ขนั ที ๕ สรุป สอื การเรยี นรู้ แหล่งการเรยี นรู้ การวัดและการประเมนิ ผล ๑. การทําใบงานแบบฝกหดั หลังเรยี น เครอื งมอื วัดประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ บนั ทึกขอ้ เสนอแนะ ของผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ลงชอื ........................................... บนั ทึกผลการเรยี นรู้ ลงชอื ........................................... วันที ..... เดือน ............ พ.ศ. ........ ใบความรูท้ ี ๔ คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป หมายเปนทีจับใจผอู้ ่านนนั เรยี กว่า วรรณศลิ ป กลวิธกี ารประพนั ธท์ ีสาํ คัญที วรรณศลิ ปจากเรอื งบทเสภาสามคั คเี สวก มกี ารใชภ้ าษาทีสวยงาม มกี ารเล่นคํา การเล่นเสยี งและการใชภ้ าพพจน์ การเล่นคํา เชน่ เหมอื นคนปาคนไพรไมร่ ุง่ เรอื ง จะพดู ด้วยนนั ก็เปลืองซงึ วาจา ทังชา่ งรูปพรรณสวุ รรณกิจ ชา่ งประดิษฐร์ ชั ดาสง่าผอ่ ง การเล่นเสยี ง การเล่นเสยี งพยญั ชนะ เชน่ การเล่นเสยี งสระ เชน่ อันชาติใดไรศ้ านติสขุ สงบ ต้องมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่ ใครใครเหน็ ไมเ่ ปนทีจําเรญิ ตา เขาจะพากันเยย้ ใหอ้ ับอาย เพราะขาดเครอื งระงับดับราํ คาญ โอสถใดจะสมานซงึ ดวงใจ การใชภ้ าพพจน์ บทเสภาสามคั คเี สวก มคี ณุ ค่าและความดเี ด่นด้าน วรรณศลิ ป ดังนี ๑. การใชภ้ าพพจน์ บทเสภาสามคั คีเสวก มคี วามดีเด่นด้านการใช้ ภาพพจนแ์ บบอุปมา โดยเฉพาะบทเสภาตอน สามคั คีเสวก ทีรชั กาลที ๖ ทรงเปรยี บเทียบประเทศชาติกับเรอื ลําใหญท่ ีกําลังแล่นอยูใ่ นทะเล โดยมี พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปนผนู้ าํ ประเทศเปรยี บได้กับกัปตันเรอื หรอื นายเรอื และเหล่าเสวกและขา้ ราชการทังหลายเปรยี บได้กับกะลาสเี รอื การทีทรง เปรยี บเทียบเชน่ นี ทําใหผ้ อู้ ่านหรอื ผฟู้ งสามารถเขา้ ใจความสมั พนั ธ์ ระหว่างประเทศชาติ พระมหากษัตรยิ แ์ ละขา้ ราชการได้อยา่ งชดั เจน เนอื ง ด้วยรชั กาลที ๖ ทรงแสดงใหเ้ หน็ ว่าพระมหากษัตรยิ จ์ ะทรงนาํ ประเทศชาติ หรอื “รฐั นาวา” ใหเ้ คลือนทีหรอื ก้าวหนา้ ต่อไปได้ต้องอาศยั ความรว่ มมอื รว่ มใจกัน ตลอดจนการปฏิบตั ิงานด้วยความแขง็ ขนั และด้วยความมี ระเบยี บวินยั ของบรรดาขา้ ราชการ จึงจะสามารถฝาคลืนลมหรอื อุปสรรค ทังหลายไปได้ ๒. การหลากคําและการแตกศพั ท์ บทเสภาสามคั คีเสวก ตอน วิศว กรรมาและ ตอน สามคั คีเสวกมกี ารหลากคํา คือ มกี ารใชค้ ําทีมคี วามหมาย เหมอื นกันในบทประพนั ธเ์ ดียวกันเพอื ใหเ้ กิดเสยี งสมั ผสั ใน ซงึ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสามารถในการเลือกสรรถ้อยคําทีหลากหลายมาใชใ้ นการแต่งบท ประพนั ธต์ อนเดียวกันได้อยา่ งเหมาะสมและมกี ารแตกศพั ท์ คือ การนาํ ศพั ท์คําหนงึ มาแต่ใหเ้ ปนหลายคํา โดยมกี ารเปลียนแปลงรูปเล็กนอ้ ยและยงั มคี วามหมายใกล้เคียงกับความหมายเดิมมากทีสดุ บทเสภาสามคั คีเสวก ตอน สามคั คีเสวก มกี ารหลากคําทีมคี วาม คณุ ค่าทางด้านสงั คม ๑. สะท้อนความงามทางด้านศลิ ปะ คือ ศลิ ปะยอ่ มทําใหผ้ คู้ นเกิด ๒. สะท้อนความรุง่ เรอื งของบา้ นเมอื ง คือ ผลงานทีศลิ ปนและชา่ ง ด้วยเหตนุ นี านาประเทศจึงต่างยกยอ่ งศลิ ปะว่าเปนสงิ “ศรวี ิไลวิลาศดี เปนศรเี มอื ง” คือ ศลิ ปะเปนสงิ แสดงความเจรญิ ของบา้ นเมอื ง เปนสงิ ที สวยงามและเปนเกียรติเปนศรแี ก่ประเทศชาตินอกจากนศี ลิ ปะยงั เปนสงิ แสดงถึงความสงบสขุ ของชาติ ซงึ หากชาติใดไมม่ คี วามสงบสขุ คณุ ในชาติก็ จะมงุ่ ต่อสทู้ ําศกึ สงครามจนไมม่ คี วามสนใจในการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ แต่หากชาติใดบา้ นเมอื งสงบสขุ คนในชาติก็ยอ่ มสรา้ งสรรค์ศลิ ปะเพอื ประดับประดาบา้ นเมอื งใหง้ ดงาม ศลิ ปะจึงมคี ณุ ค่าในฐานะเปนเพอื นแสดงถึงความเจรญิ รุง่ เรอื งของ ๓. สะท้อนคณุ ธรรมหนา้ ทีและความสามคั คี บทเสภา ตอน สามคั คี สรุปขอ้ คิดเสภาสามคั คเี สวก ตอน วิศวกรรมา ๑. หากเรามศี ลิ ปะอยูใ่ นใจก็เหมอื นกับเรามเี ครอื งผอ่ นคลายความทกุ ขอ์ ยู่ สรุปขอ้ คิดบทเสภาสามคั คเี สวก ตอน สามคั คเี สวก ๑. เหล่าขา้ ราชการต้องใหค้ วามรว่ มมอื กับองค์พระมหากษัตรยิ ผ์ ทู้ รงเปน ขอ้ คิดทสี ามารถนําไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจําวัน ๑. ใหม้ คี วามรกั และภมู ใิ จในศลิ ปะของชาติ กล่าวคือ ศลิ ปะเปนสงิ ที ๒. ใหต้ ระหนกั ในหนา้ ทีของตน ประเทศชาติจะพฒั นาได้ยอ่ มต้องอาศยั ๓. ใหเ้ หน็ ถึงความสาํ คัญของความสามคั คี ประเทศชาติประกอบด้วย ๔. ใหเ้ กิดความจงรกั ภักดีต่อพระมหากษัตรยิ ์ เนอื งจากพระมหากษัตรยิ ์ แบบทดสอบหลังเรยี น ใหน้ กั เรยี นกากบาทหนา้ ขอ้ ทีถูกทีสุด ๑.บทรอ้ ยกรองเรอื งนมี ชี อื เต็มว่าอะไร ๒.ใครเปนผแู้ ต่งบทรอ้ ยกรองนี ๓.เรอื งนแี ต่งด้วยคําประพนั ธ์ชนดิ ใด ๔.เรอื งนแี ต่งขนึ เพอื ความมงุ่ หมายใด ๕.เรอื งนมี ใี จความเกียวกับอะไรเปนสําคัญ ๖.ศลิ ปะจะเกิดขนึ และเจรญิ รุง่ เรอื งในภาวการณ์อยา่ งไร ๗.ผไู้ มน่ ยิ มศลิ ปะจะได้รบั ความเสยี หายประการสาํ คัญทีสดุ อยา่ งไร ๘.ชาติทีขาดชา่ งศลิ ปะเปรยี บได้กับอะไร ๙.ศลิ ปะมคี วามสมั พนั ธ์กับสขุ ภาพอยา่ งไร ๑๐.ผทู้ ีดถู ูกชา่ งศลิ ปะ จัดเปนบุคคลประเภทใด ก.คนชวั ข.คนโง่ ค.คนไรก้ ารศกึ ษา ง.คนปา ๑๑.เมอื งไทยมคี วามเจรญิ เท่าเทียมเพอื นบา้ นเพราะเหตผุ ลใดเปนสาํ คัญ ๑๒.ขอ้ ใดใช้สมั ผสั ของคําดีเด่นทีสดุ ๑๓.ในขอ้ ๑๒ ขอ้ ใด ไมม่ ี สมั ผสั สระภายในวรรคครบทุกวรรค ก.ขอ้ ก ข.ขอ้ ข ค.ขอ้ ค ง.ขอ้ ง ๑๔. "ทังชา่ งรูปพรรณสวุ รรณกิจ ชา่ งประดิษฐร์ ชั ดาสง่าผอ่ ง ๑๕.ขอ้ ความ จะพูดด้วยนนั ก็เปลืองซึงวาจา หมายความว่าอยา่ งไร เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น ใหน้ กั เรยี นกากบาทหนา้ ขอ้ ทีถกู ทีสุด ๑. บทรอ้ ยกรองเรอื งนมี ชี อื เต็มว่าอะไร ๒. ใครเปนผแู้ ต่งบทรอ้ ยกรองนี ๓. เรอื งนแี ต่งด้วยคําประพันธช์ นิดใด ๔. เรอื งนแี ต่งขนึ เพอื ความมงุ่ หมายใด ๕. เรอื งนมี ใี จความเกียวกับอะไรเปนสําคัญ ๖. ศลิ ปะจะเกิดขนึ และเจรญิ รุง่ เรอื งในภาวการณ์อยา่ งไร ๗. ผไู้ มน่ ยิ มศลิ ปะจะได้รบั ความเสียหาย ประการสําคัญทีสดุ อยา่ งไร ๘. ชาติทีขาดชา่ งศลิ ปะเปรยี บได้กับอะไร ๙. ศลิ ปะมคี วามสมั พันธก์ ับสขุ ภาพอยา่ งไร ๑๐. ผทู้ ีดถู ูกชา่ งศลิ ปะ จัดเปนบุคคลประเภทใด ก.คนชวั ข.คนโง่ ค.คนไรก้ ารศกึ ษา ง.คนปา ๑๑.เมอื งไทยมคี วามเจรญิ เท่าเทียมเพอื นบา้ นเพราะเหตผุ ลใดเปนสาํ คัญ ๑๒.ขอ้ ใดใช้สมั ผสั ของคําดีเด่นทีสดุ ๑๓.ในขอ้ ๑๒ ขอ้ ใด ไมม่ ี สมั ผสั สระภายในวรรคครบทุกวรรค ก.ขอ้ ก ข.ขอ้ ข ค.ขอ้ ค ง.ขอ้ ง ๑๔. "ทังชา่ งรูปพรรณสวุ รรณกิจ ชา่ งประดิษฐร์ ชั ดาสง่าผอ่ ง ๑๕.ขอ้ ความ จะพูดด้วยนนั ก็เปลืองซึงวาจา หมายความว่าอยา่ งไร แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี ๓ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ : ภาษาไทย ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปที ๒ รหสั วิชา ท๒๒๑๐๑ วิชา ภาษาไทย เวลา ๖๐ ชวั โมง หน่วยที ๔ ชอื หน่วย บทละครเรอื งรามเกยี รติ ตอนนารายณ์ปราบนนทก เวลา ๘ ชวั โมง เรอื งที ๒ เรอื ง การอ่านบทละครเรอื ง รามเกยี รติ ตอนนารายณ์ปราบนนทก เวลา ๔ ชวั โมง มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชวี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ ท ๑.๑ ใชก้ ระบวรการอ่าน สรา้ งความรูแ้ ละความคิด เพอื นาํ ไปใชต้ ัดสนิ ใจแก้ปญหา ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็ ตัวชวี ัด จุดประสงค์การเรยี นรู้ สมรรถนะของผเู้ รยี น ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ |