สิ่งที่คนทำธุรกิจมักจะตั้งคำถามคือ จดบริษัทดีไหม ควรจดเมื่อไร และควรเลือกรูปแบบไหนดี
สำหรับคำถามสองข้อแรกนั้น บอกตรงๆ ว่ามีปัจจัยหลายข้อให้คิดและตัดสินใจมากมาย
แต่สิ่งที่ตอบได้ในบทความนี้คือ รูปแบบการจดทะเบียนนั่นเองครับ โดยคำถามที่มักถามตามมาทันทีก็คือ จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนดีกว่ากัน
- จดนิติบุคคล เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนดี?
- บริษัทจำกัดคนเดียว กับ
สองคนจัดการบริษัท
- About Author
จดนิติบุคคล เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนดี?
สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ผมอยากให้โฟกัสประเด็นสำคัญ 3 ข้อดังนี้ครับ
ประเด็น | ห้างหุ้นส่วน | บริษัท |
จำนวนผู้เริ่มก่อตั้ง | 2 รายขึ้นไป | 3 รายขึ้นไป |
ความรับผิดชอบ | หุ้นส่วนผู้จัดการ รับผิดชอบไม่จำกัด | รับผิดชอบ แค่มูลค่าของหุ้น |
การเปลี่ยนมือ | หุ้นส่วนผู้จัดการ ต้องได้รับความยินยอม | ผู้ถือหุ้นทั้งหมด สามารถโอนอย่างอิสระ |
จากข้อกำหนดทั้ง 3 ข้อที่ลิสต์มานี้ ทำให้หลายคนมองว่าการจดบริษัทนั้นมีความสะดวกและคุ้มค่ากว่า ประกอบกับค่าธรรมเนียมในการจดบริษัทและห้างหุ้นส่วนนั้นแตกต่างกันไม่มาก (ห้างหุ้นส่วน 1,000 บาท บริษัท 5,500 บาท) ดังนั้นในปัจจุบัน การจดบริษัทจึงเป็นที่นิยมมากกว่า
นอกจากนั้น การจดบริษัทยังมีแนวทางเพิ่มเติมในปี 2563 ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกในการจดบริษัทจำกัดคนเดียว และ การเริ่มก่อตั้งบริษัทด้วยคนสองคน รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ให้สะดวกต่อการประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น ดังนี้ครับ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่...
//www.facebook.com/TaxBugnoms/photos/a.192327474126010/5326784367346936/
บริษัทจำกัดคนเดียว กับ สองคนจัดการบริษัท
โดยประเด็นสำคัญสำหรับการตั้งบริษัทคนเดียวนั้น คือการเปิดโอกาสให้คนที่ต้องการจัดตั้งธุรกิจด้วยตนเอง สามารถจัดการและวางแผนธุรกิจได้ด้วยตัวคนเดียว เพื่อความสะดวกต่างๆ ในการบริหารจัดการนั่นเองครับ
ในทางเดียวกัน การให้อำนาจคนสองคน (จากเดิมสามคน) มาจัดการและดูแลบริษัทได้ก็เป็นในทางเดียวกัน นั่นคือต้องการสนับสนุนให้ผู้ถือหุ้นรวมถึงผู้ก่อตั้งบริษัทมีความคล่องตัวเช่นเดียวกันครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแนวทางนั้นยังเป็นร่างกฎหมาย (ที่รออนุมัติ) อยู่ ซึ่งถ้าหากอนุมัติแล้ว ผมคิดว่าแนวทางในการเลือกตัดสินใจนั้นอยู่ที่ประเด็นสำคัญต่อไปนี้ครับ
- ขนาดธุรกิจ (เมื่อเริ่มต้น) ในกรณีที่ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจแบบไม่ซับซ้อนมากนัก หรือต้องการขยับขยายมาจากรูปแบบของบุคคลธรรมดา ทางเลือกของบริษัทจำกัดคนเดียวอาจจะสะดวกกว่าในช่วงแรก แล้วจึงค่อยแปรสภาพในภายหลังเป็นบริษัทจำกัดก็ได้เช่นเดียวกัน
แต่ถ้าหากเริ่มต้นธุรกิจจากโครงสร้าง แนวทาง หรือ รูปแบบที่ซับซ้อน การเลือกบริษัทจำกัด อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วมองว่ายังไงก็ต้องขยายอยู่ดีนั่นเองครับ
- ผู้ร่วมทุน และความต้องการเงินทุน กรณีที่เริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่มาก หรือไม่ต้องการผู้ถือหุ้นร่วมทุนมาร่วมก่อตั้ง การเลือกบริษัทจำกัดคนเดียวก็จะทำให้เราคล่องตัวมากกว่า แต่ถ้าหากมีผู้ร่วมทุนเมื่อไรแล้ว ผมว่าการมองไปที่บริษัทจำกัดนั้นน่าสนใจกว่าครับ
- ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของกฎหมาย ความง่ายในการจดทะเบียน รวมถึงโอกาสต่างๆ ทางด้านภาษี ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากกฎหมายบังคับใช้แล้ว ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำมาพิจารณากันอีกทีเหมือนกันครับว่า แบบไหนสะดวกกว่ากัน
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่า นอกจากการรอกฎหมายแล้ว เราควรวางโครงสร้างของธุรกิจทั้งหมดให้ดีด้วย เพราะว่าสุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดย่อมจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอนครับ
เริ่มต้นจัดการข้อมูลบริษัทด้วยโปรแกรมบัญชี FlowAccount ได้ฟรี 30 วันที่นี่
เชื่อว่าหนึ่งในความฝันหรือเป้าหมายของคนทำงานประจำหรือคนทำงานออฟฟิศ คือการ เปิดบริษัท ของตัวเอง ยิ่งได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความรู้มาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ย่อมอยากนำไปใช้กับสิ่งที่เป็นของตัวเอง ลงทุนลงแรงเอง แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเปิดบริษัท มีหลายเรื่องให้ต้องพิจารณาเลย 10 ข้อน่ารู้ก่อนตัดสินใจเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง มีอะไรบ้าง ไปหาคำตอบกัน
1.เลือกทำธุรกิจที่เป็นตัวเอง
การจะเลือกทำอะไรสักอย่าง เราควรเริ่มทำจากความชอบ หรือเริ่มทำจากความถนัดก่อน เช่นเดียวกับการ เปิดบริษัท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ควรต้องนำมาประกอบการพิจารณายังรวมไปถึง ตลาดในช่วงเวลานั้น หากทำอะไรที่เป็นการสวนกระแสมาก ๆ เราต้องมั่นใจว่า เรามีดีพอ แต่หากทำอะไรตามกระแส ก็ต้องสร้างความแตกต่างของธุรกิจของตัวเอง เฟ้นหาจุดเด่นออกมาให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น 5hkคุณมีความสามารถหรือทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ คุณอาจ เปิดบริษัท เพราะต้องการรับงานด้านนี้มาทำเพิ่ม เป็นการใช้ความสามารถของตัวเองในการทำงาน และยังช่วยประหยัดงบในการจ้างพนักงานด้วย
2.เลือกรูปแบบบริษัท
การเลือกรูปแบบบริษัทที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการจดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับประเภทธุรกิจของเรา โดยแบ่งเป็นดังนี้
2.1 เจ้าของคนเดียว
คือมีคน ๆ เดียวเป็นเจ้าของธุรกิจ ลงทุนเอง และแบกความรับผิดชอบทั้งหมดของบริษัทไว้ ทางกฎหมายจะเรียกว่าเป็น “บุคคลธรรมดา” เมื่อจดทะเบียนบริษัท และต้องทำการยื่นแบบภาษี จะเป็น “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และหากบริษัทของคุณต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์ตาม พรบ. ทะเบียนพาณิชย์ ก็ต้องดำเนินการจดด้วย
2.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญ
เมื่อมีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมกันลงทุน จนกลายเป็นหุ้นส่วน โดยรูปแบบของการลงทุน อาจมาในรูปของสินทรัพย์ แรงงาน หรือเงินก็ได้ มีสถานะ เป็น “บุคคลธรรมดา” จดทะเบียนด้วยการเสีย “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนสามัญ ไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ก็จะมีสภาพเป็นนิติบุคคล ยื่น “ภาษีเงินได้นิติบุคคล” นั่นเอง
2.3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- “หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิด” หมายถึง เครดิตภาษีเงินปันผล ส่วนกำไรของห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือบริษัทที่ถูกหักภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว
- “หุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด” หมายถึง หุ้นส่วนต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจำกัดจำนวน ไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนไปเท่านั้น
2.4 บริษัทจำกัด
มีหุ้นส่วน 3 คนขึ้นไปมาร่วมลงทุน แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่ากัน แต่ “ผู้ถือหุ้น” แต่ละคนอาจมีจำนวนหุ้นไม่เท่ากันได้ ผู้ถือหุ้นแต่ละคนจะได้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัท ตามสัดส่วนหุ้นที่ตนเองถืออยู่ และมีส่วนรับผิดชอบไม่เกินมูลค่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่ ข้อดีคือ มีความน่าเชื่อถือที่สุด อัตราภาษีเงินได้ขั้นสูงสุดต่ำกว่าบุคคลธรรมดา
3.ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท
สิ่งสำคัญที่ต้องทำจากนั้นคือการจดทะเบียนบริษัท ซึ่งหลัก ๆ จะมีขั้นตอนดังนี้
3.1 ตรวจและจองชื่อบริษัท ไปทำการตรวจและจองชื่อบริษัทที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์ โดยจองได้ 3 ชื่อ แต่ต้องไม่เคยจดทะเบียนไปแล้ว
3.2 จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ หรือ ข้อมูลสำคัญการจัดตั้งบริษัท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 30 วัน นับจากวันที่นายทะเบียนรับรองชื่อบริษัท โดยข้อมูลในหนังสือบริคณห์สนธิ ประกอบด้วย
- ชื่อบริษัท (ตามที่ได้จองชื่อไว้)
- ที่ตั้งสํานักงานใหญ่ / สาขา
- วัตถุประสงค์บริษัท
- ทุนจดทะเบียน
- ชื่อ ที่อยู่ อายุ สัญชาติ ของพยาน 2 คน
- ข้อบังคับ (ถ้ามี)
- จํานวนทุน (ค่าหุ้น) ที่เรียกชําระแล้ว อยางน้อยร้อยละ 25% ของทุนจดทะเบียน
- ชื่อ ที่อยู่ อายุของกรรมการ
- รายชื่อหรือจํานวนกรรมการที่มีอํานาจลงชื่อแทนบริษัท (อํานาจกรรมการ)
- ชื่อ เลขทะเบียนผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมค่าตอบแทน
- ชื่อ ที่อยู่ สัญชาติ และจํานวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน
3.3 ยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้
- แบบจองชื่อนิติบุคคล
- สําเนาบัตรประจําตัวของผู้เริ่มก่อการและกรรมการทุกคน
- สําเนาหลักฐานการรับชําระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้น
- แผนที่แสดงที่ตั้งสํานักงานใหญ่
3.4 ระยะเวลาในการจดทะเบียน
- การจองชื่อและยื่นตรวจสอบเอกสารผ่านทางออนไลน์ ใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน
- นายทะเบียนตรวจสอบเอกสารเสร็จแล้ว สามารถยื่นจดทะเบียน ใช้เวลาอีกประมาณ 1 วัน
4.ค่าธรรมเนียม
แน่นอนว่าจดทะเบียน เปิดบริษัท ต้องมีค่าธรรมเนียม ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ 50 บาท/ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 500 บาท และไม่เกิน 25,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนบริษัท 500 บาท/ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 5,000 บาท และไม่เกิน 250,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรอง ฉบับละ 200 บาท
- ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน ฉบับละ 100 บาท
- ค่ารับรองสำเนาเอกสาร หน้าละ 50 บาท
5.หน้าที่แต่ละเดือนในฐานะบริษัท
พอเป็นรูปแบบของบริษัท ก็จะมีหน้าที่และภาระผูกพันตามมา คือ
- จัดทำบัญชี และมีการตรวจสอบงบการเงินโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
- ยื่นส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ยื่นส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ยื่นแบบ ภงด.1 เงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับพนักงานประจำ
- ยื่นแบบ ภงด.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ใช่พนักงานประจำ
- ยื่นประกันสังคม บริษัทที่ขึ้นทะเบียนนายจ้าง และมีพนักงานประจำ จะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม ด้วยแบบ สปส.1-10 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
6.ต้องมีพนักงานไหม
ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าของบริษัทเลยว่า มีความจำเป็นต้องมีพนักงานไหม และต้องมีจำนวนกี่คน ตำแหน่งอะไรบ้าง หากช่วงแรกงานยังไม่มาก คุณสามารถลงมือทำได้เอง อาจใช้จ้างเป็น outsource ไปก่อน เช่น พนักงานบัญชี เป็นต้น
7.มีแผนธุรกิจพร้อม
แผนธุรกิจสำคัญมาก เป็นตัวขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางของบริษัทคุณเลยก็ว่าได้ จะประสบความสำเร็จหรือว่าจะแป็ก ซึ่งแผนธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนได้ระหว่างทาง โดยต้องมีการกำหนดแผนคร่าว ๆ เช่น รายรับ รายจ่าย กำไร ต้นทุน จะดึงดูดลูกค้าได้อย่างไร
8.ดูเรื่องกฎหมายให้ดี
หากคุณมีกำลังทรัพย์แนะนำให้จ้างทนายที่ปรึกษา และควรศึกษาและทำความเข้าใจ กฎหมายแรงงานเอาไว้ให้ดี ทำสัญญาจ้างแรงงานเมื่อมีพนักงาน กำหนดระเบียบพนักงานและ สวัสดิการพนักงานต่าง ๆ การจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย รวมไปถึงกฎหมายระเบียบบริษัท การจัดตั้งบริษัท ก็ควรมีความรู้และศึกษาไว้
9.เลือกทำเลที่ตั้ง
สถานที่ตั้งของที่ทำงานหากเลือกได้ควรอยู่ในพื้นที่เข้าออกสะดวกง่ายต่อการติดต่องาน และจัดทำ Website และช่องทาง Social Media ต่าง ๆ เพื่อเแสดงผลงาน และแจ้งที่อยู่ในการติดต่อ ให้ธุรกิจมีความสะดวก รวดเร็ว ทั้งการหาพนักงาน ติดต่อธุรกิจ การขายสินค้าและบริการต่าง ๆ นั่นเอง
10.ตรวจสอบเงินลงทุน
เรื่องสำคัญสำหรับการเปิดบริษัท ก็คือเงินทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัท ที่คุณจะเปิดด้วย หรือธุรกิจว่าต้องใช้เงินทุนมากน้อยแค่ไหน และต้องไม่ลืมเตรียมเงินในส่วนของการดำเนินการจัดตั้งบริษัทด้วย รวมถึงค่าเช่าสถานที่ เงินเดือนพนักงาน และเงินทุนสำรอง
ก่อนจะตัดสินใจเปิดบริษัท แนะนำให้อ่านทั้ง 10 ข้อน่ารู้ก่อนตัดสินใจเปิดบริษัทเป็นของตัวเองให้ดี และหากคุณมองหาพนักงานเพื่อร่วมงานกับคุณ สามารถเข้าไปสืบค้นได้ที่แอปพลิเคชัน JobsDB
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android