ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจและการเงินมีความผันผวนอย่างมาก อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่าง ๆ การขึ้นลงประจำวันของราคาน้ำมัน การขึ้นลงของอัตราเงินเฟ้อ การปฏิรูปทางกการเงินและการเกิดนวัตกรรมทางการเงิน ทำให้ผู้บริหารการเงินต้องเรียนรู้ และปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ ต่าง ๆ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีและวิทยาการทางการเงินสมันใหม่เข้ามาใช้ บทบาทและหน้าที่ของผู้บริหารการเงินจึงต้องมีขอบข่ายงานกว้างขวางจากเดิม เพื่อให้ครอบคลุมถึงหน้าที่และความรับผิดชอบต่อบุคคลหลายฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องรวมทั้งรัฐบาลได้เพิ่มบทบาทเข้ามาควบคุมการดำเนินงานของธุรกิจ เพื่อเป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจและสวัสดิการแก่สังคมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ธุรกิจจำเป็นต้องดำเนินงานและประสานงานกับหลาย ๆ ฝ่าย ทำให้การบริหารงานของผู้บริหารการเงินต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ความรับผิดชอบต่อเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น คือ ต้องการให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราสูงสุด2. ความรับผิดชอบต่อลูกจ้าง (พนักงาน) คือ ต้องส่งเสริมให้ลูกจ้างมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ และความมั่นคงในการทำงาน ตลอดจนจัดให้มีสวัสดิการแก่ลูกจ้างด้วย
3. ความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ คือ การบริหารงานให้มีความมั่นคงทางการเงิน เพื่อเจ้าหนี้จะได้มีความมั่นใจว่าธุรกิจสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา
4. ความรับผิดชอบต่อรัฐบาล คือ ธุรกิจต้องดำเนินงานโดยไม่ขัดต่อรัฐบาล และกฎหมายของประเทศที่ตนดำเนินงานอยู่
5. ความรับผิดชอบต่อชุมชนในสังคม คือ ธุรกิจต้องดำเนินงานโดยไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ หรือศีลธรรมอันดีต่อประชาชน
หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารการเงิน (The Financial Staff’s Responsibilities) ไม่ว่าธุรกิจจะมีรูปแบบองค์กรเป็นอย่างไรก็ตาม จะเป็นกิจการขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ ผู้บริหารการเงินจะมีหน้าที่หลักในการบริหารเพื่อทำให้เกิด มูลค่าเพิ่มแก่กิจการ นั่นหมายถึงการบริหารเพื่อให้เกิดผลกำไรและขยายกิจการให้เกิดความเจริญ เติบโตในอนาคตอันจะส่งผลให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุดแก่กิจการ (Maximizing Value of the Firm) ดังนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารการเงินจะมี 5 ประการคือ
- หน้าที่ในการพยากรณ์และวางแผน (Forecasting and Planning)
- หน้าที่ในการตัดสินใจลงทุนและจัดหาเงินทุน (Investment and Financing Decision)
- หน้าที่ในการประสานงานและควบคุม (Coordination and Control)
- หน้าที่ในการเป็นตัวแทนขององค์กรทำการติดต่อกับตลาดการเงิน (Dealing with the Financial Market)
- หน้าที่ในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
หน้าที่ในการพยากรณ์และวางแผน (Forecasting and Planning) ผู้บริหารการเงินจะมีหน้าที่ในการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กรเพื่อรับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการพยากรณ์ และวางแผนทางการเงิน ซึ่งการพยากรณ์และการวางแผนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ - การพยากรณ์และการวางแผนการเงินระยะสั้น - การพยากรณ์และการวางแผนการเงินระยะยาว เพื่อพยากรณ์หรือคาดการณ์เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินสดของกิจการว่าเป็นอย่างไร ในแต่ละเดือนมีเงินสดส่วนเกินหรือเงินสดขาดมือจำนวนเท่าใด ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผนว่าถ้าในเดือนที่กิจการมีเงินสดส่วนเกินควรนำเงินไปลงทุนอย่างไร หรือเดือนใดที่เงินสดขาดมือ ควรจัดหาเงินสดมาจากแหล่งใด การพยากรณ์และวางแผนการเงินระยะสั้นนี้ช่วยให้กิจการได้ใช้เงินทุนระยะสั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดและรักษาสภาพคล่องของกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการพิจารณาการตัดสินใจลงทุน ซึ่งกิจการต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง โดยให้ผลตอบแทนในระยะยาว จึงจำเป็นต้องทำการพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนข้อมูลที่นำมาประกอบการตัดสินใจต้องเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำเพื่อให้การวิเคราะห์นั้นตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด จึงสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน้าที่ในการตัดสินใจลงทุนและจัดหาเงินทุน (Investment and Financial Decision) ปัญหาการตัดสินใจของผู้บริหารการเงินแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ปัญหาการตัดสินใจระยะสั้น เช่น ปัญหาในกรณีที่กิจการจะทำการผลิตชิ้นส่วนเอง หรือซื้อ ปัญหาว่าควรขายสินค้า หรือผลิตต่อแล้วขาย หรือปัญหาว่าควรยกเลิกสินค้าที่มีผลขาดทุนหรือไม่ ปัญหาการตัดสินใจระยะยาว ซึ่งหมายถึงโครงการลงทุนต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อทดแทนโรงงานเดิม การผลิตสินค้าใหม่เพิ่มเติม เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว การตัดสินใจจะมีประเด็นที่สำคัญอยู่ 2 ประการคือ การตัดสินใจจัดหาเงินทุน และการตัดสินใจใช้เงินลงทุน โดยมีหลักการว่า ในการจัดหาเงินทุนควรเป็นแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุดและความเสี่ยงต่ำที่สุด โดยเงินทุนจะได้มาจากหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ซึ่งเงินทุนจากส่วนนี้จะมีต้นทุนในรูปของดอกเบี้ยจ่ายซึ่งจะต่ำกว่า เงินทุนจากส่วนของเจ้าของที่จะมีต้นทุนในรูปของเงินปันผลหรือกำไร(ขาดทุน) นอกจากนี้ความเสี่ยงก็ต่ำกว่าด้วยการตัดสินใจนำเงินทุนไปใช้ แบ่งออกเป็น 2 ทางคือ ใช้ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนซึ่งจะทำให้กิจการมีสภาพคล่องสูง แต่ความสามารถในการทำกำไรจะต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
หน้าที่ในการประสานงานและควบคุม (Coordination and Control) ในการปฏิบัติงานผู้บริหารการเงินจะต้องประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการเพื่อมั่นใจว่ากิจการจะมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การตัดสินใจทุก ๆ ด้านของกิจการจะต้องมีส่วนสัมพันธ์หรือมีผลกับเรื่องของการเงินเสมอ เช่น การตัดสินใจด้านการตลาดเกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีผลกระทบต่อความต้องการในการขยายการลงทุน การจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อความต้องการในการขยายการลงทุน การจัดหาเงินลงทุนจากแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อนโยบายสินค้าคงคลังและความสามารถในการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ การดำเนินงานเหล่านี้จะเกิดประสิทธิภาพได้จะต้องอาศัยการประสานงานกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะนำข้อมูลมาช่วยตัดสินใจในการวางแผนอันเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมการดำเนินงานโดยการตรวจสอบและประเมินผลตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้หรือไม่
หน้าที่ในการเป็นตัวแทนองค์กรทาการติดต่อกับตลาดการเงิน (Dealing with the Financial Market) ผู้บริหารการเงินจำเป็นต้องติดต่อตลาดการเงินเพื่อการระดมทุน โดยสามารถแบ่งตลาดการเงินออกได้เป็น 3 ตลาดดังนี้ ตลาดการเงิน (The Financial Market) ตลาดเงิน (Money Market) ตลาดทุน (Capital Market) ทำหน้าที่ในการระดมเงินทุนระยะสั้นที่มีอายุการชำระหนี้ไม่เกิน 1 ปี แหล่งเงินทุนหรือสถาบันที่ทำหน้าที่เป็นตลาดเงินได้แก่ เจ้าหนี้การค้า เงินเบิกเกินบัญชี (overdraft account) ตลาดรับซื้อคืน (Reperchase Market ) แต่ละตลาดมีหน้าที่ในการระดมเงินทุนหรือจัดหาเงินทุนให้แก่ธุรกิจโดย ทำหน้าที่ในการระดมเงินทุนระยะยาวที่มีอายุการชำระหนี้เกิน 1 ปี โดยมีแหล่งเงินทุน ได้แก่ เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดOTC ดังนั้นการที่ธุรกิจจัดหาเงินทุนต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไร ถ้าลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ควรจัดหาเงินทุนจากตลาดเงิน แต่ถ้าต้องการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรควรจัดหาเงินทุนจากตลาดทุน โดยพิจารณาเงินทุนแต่ละแหล่งว่ามีต้นทุนของเงินทุนและความเสี่ยงเป็นอย่างไร ซึ่งผู้บริหารควรเลือกแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนและความเสี่ยงต่ำสุด
หน้าที่ในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) กิจการทุก ๆ แห่งต้องเผชิญกับความเสี่ยง 2 ลักษณะ คือ
- ความเสี่ยงนอกระบบ (Unsystematic Risk) เป็นความเสี่ยงอันเกิดจากภายในองค์กร และองค์การสามารถควบคุมได้ขึ้นอยู่กับ ผู้บริหารขององค์กรว่ามีความสามารถบริหารงานเพื่อขจัดความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เช่น ความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของกิจการ
- ความเสี่ยงภายในระบบ (Systematic Risk) ความเสี่ยงอันเกิดจากภายนอกกิจการ เป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการพยากรณ์ทิศทางหรือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง เช่น กาเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) หรืออัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Foreign Exchange Rate)
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ประชากรศาสตร์ ความเสี่ยงในระบบ (Systematic Risk) หน้าที่ต่าง ๆ ภายในองค์กรธุรกิจ
ความเสี่ยงนอกระบบ (Unsystematic Risk)
รูปแบบองค์กรธุรกิจ
(Alternative Forms of Business Organization)
ในการจัดตั้งองค์กรธุรกิจ สามารถจัดตั้งได้หลายรูปแบบด้วยกันขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ลักษณะและขนาดของเงินทุน หรือขอบข่ายความต้องการในการบริหารงานของเจ้าของกิจการ โดยแต่ละรูปแบบจะมีขั้นตอนการจัดตั้ง ลักษณะองค์กรตลอดจนข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบขององค์กรธุรกิจที่สำคัญ 3 รูปคือ
- กิจการเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship)
- ห้างหุ้นส่วน (Partnership)
- บริษัท (Company)
กิจการเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship) แหล่งเงินทุนในส่วนของเจ้าของกิจการจะได้มาจากเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับกิจการขนาดเล็กโครงสร้างองค์กรไม่ยุ่งยากซับซ้อน และกิจการจะมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา
ข้อดี
- รูปแบบองค์กรไม่สลับซับซ้อน
- ง่ายต่อการจัดตั้งเพราะไม่ต้องจดทะเบียนเป็น นิติบุคคลและใช้เงินทุนต่ำ
- เสียภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา ซึ่งจะทำ ให้กิจการเสียภาษีต่ำลง
- การตัดสินใจในการบริหารงานสะดวกและรวดเร็ว เพราะขึ้นอยู่กับเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว
- กรณีที่กิจการมีผลกำไร ก็จะเป็นของเจ้าของเพียง คนเดียว
ข้อเสีย
- กิจการเจ้าของคนเดียวมีเงินทุนจำกัด
- เนื่องจากเงินทุนมีจำกัด การขยายกิจการจึงทำได้ยาก
- โอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจมีน้อย
- กรณีที่กิจการมีผลขาดทุน เจ้าของกิจการต้อง รับผิดชอบผลขาดทุนแต่เพียงผู้เดียว
- ความรู้ความสามารถในการบริหารงานจำกัดเพียง บุคคลคนเดียว คือเจ้าของกิจการเท่านั้น
- ลูกจ้างของกิจการขาดความก้าวหน้า เนื่องจาก กิจการขนาดเล็ก
ดังนั้นกิจการเจ้าของคนเดียวจึงถือเป็นรูปแบบขององค์กรธุรกิจที่เกิดขึ้นเป็นประเภทแรกและส่วนใหญ่จะเป็นกิจการขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามธุรกิจไทยส่วนมากจะเริ่มจากกิจการเจ้าของคนเดียวและแปรสภาพมาเป็นรูปของบริษัทในเวลาต่อมาเพื่อต้องการที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้แก่กิจการ เพราะกิจการเจ้าของคนเดียวจะมีความเสียเปรียบในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับธุรกิจในรูปแบบอื่น ๆ
ห้างหุ้นส่วน (Partnership) กิจการที่เกิดจากการจัดทำข้อตกลงหรือสัญญาของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ว่าด้วยเรื่องของการลงทุนร่วมกัน เพื่อประสงค์ที่จะร่วมแบ่งปันผลกำไรและผลขาดทุนอันเกิดจากการดำเนินกิจการ ซึ่งข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนอาจจะมีขึ้นด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร การร่วมลงทุนนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนสามารถนำเอาเงินสดทรัพย์สินอื่น ๆ หรือแรงงานมารลงทุนก็ได้ แล้วแต่ข้อตกลงหรือสัญญาที่ระบุไว้ กิจการห้างหุ้นส่วนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ - ห้างหุ้นส่วนสามัญ - ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล - ห้างหุ้นส่วนจำกัด ข้อดี -ข้อเสียของกิจการห้างหุ้นส่วน ข้อดี
- ง่ายต่อการจัดตั้ง เพราะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจัดตั้งห้างหุ้นส่วนประเภทใด
- สามารถจัดหาเงินทุนได้มากกว่ากิจการแบบเจ้าของคนเดียว เพราะเงินทุนได้มาจากผู้เป็นหุ้นส่วน
- ประสิทธิภาพในการบริหารสูงขึ้น เพราะความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่นำมาใช้ในการบริหารมิได้มาจากบุคคลเพียงคนเดียว
- ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกิจการห้างหุ้นส่วนต่ำ
ข้อเสีย
- การที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ดังนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนชนิดไม่จำกัดความรับผิดชอบจะมีอำนาจในการบริหารงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง และเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ
- กรณีที่เป็นหุ้นส่วนประเภทรับผิดในหนี้สินของห้างโดยไม่จำกัดจำนวนจะมีความเสี่ยงสูงในการรับผิดชอบชดใช้หนี้สินของห้างด้วยสินทรัพย์ส่วนของตน
- อาจขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน ถ้าหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตาย ถอนตัวหรือประกาศยกเลิกกิจการตามกฎหมาย
บริษัท (Company) เป็นกิจการที่มีวิธีการระดมเงินทุนโดยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มูลค่าหุ้น ๆ ละเท่า ๆ กัน จำนวนหุ้นจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ การจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบของบริษัทได้รับความนิยมสูงสุ เนื่องจากสามารถจัดหาหรือระดมเงินทุนได้ง่าย นอกจากนี้บริษัทยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ - บริษัทจำกัด (Limited Company) - บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company)
- ผู้ถือหุ้นไม่ถึง 100 คนรวมทั้งนิติบุคคลด้วย
- มูลค่าหุ้นไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท
- ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทจำกัดจำนวนเท่าที่ลงทุนไป
- ผู้เริ่มก่อการ 7 คนขึ้นไป
บริษัทมหาชนจำกัด
- มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป รวมทั้งนิติบุคคล
- ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัดไม่เกินค่าหุ้นที่ต้องชำระ
- มีผู้ร่วมก่อการ 15 คนขึ้นไป
ข้อดี -ข้อเสียของบริษัท
- สามารถระดมเงินได้ง่าย จึงมีความได้เปรียบในเรื่องขนาดของเงินทุน
- ได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะธุรกิจในรูปแบบของบริษัท จะมีขนาดกิจการค่อนข้างใหญ่ ซึ่งจะมีความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนต่อหน่วย
- ผู้ลงทุนจะรับผิดชอบจำกัดจำนวนเท่ากับเงินที่ลงทุนในหุ้น
- ง่ายต่อการเลิกลงทุน โดยวิธีการขายหุ้นต่อให้แก่นักลงทุนรายอื่น ๆ
- อายุของกิจการค่อนข้างต่อเนื่อง เพราะกิจการในรูปของบริษัทมีฐานะเป็นนิติบุคคลหากผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่งถอนหุ้น ตาย หรือผู้บริหารไร้ความสามารถจะไม่มีผลทำให้บริษัทต้องเลิกกิจการ
- การก่อตั้งทำได้ยาก เพราะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
- เสียค่าใช้จ่ายในการก่อตั้งสูง เพราะจะต้องเสียเงินค่าจดทะเบียนและเสียเวลา
- ใช้เงินทุนค่อนข้างสูง
- จะต้องปฏิบัติภายใต้ข้อบังคับกฎหมาย เพราะธุรกิจที่เกิดจากเงินลงทุนคนจำนวนมาก ดังนั้นทางการจึงต้องเข้ามากำกับดูแล รักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุนรายย่อยเพื่อไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างผู้ลงทุน
- เสียภาษีซ้ำซ้อน คือ จะต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิของบริษัท อีกทั้งกำไรที่นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ก็จะต้องเสียภาษีอีกครั้งหนึ่ง
- จะต้องเปิดเผยข้อมูลประจำปีให้สาธารณชนรับทราบ
เป้าหมายของธุรกิจที่สำคัญได้
เดิมเป้าหมายในการประกอบธุรกิจ คือการแสวงหากำไรสูงสุด(Maximized Profit) ในการพิจารณากำไรนั้นสามารถแยกพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ กำไรรวมที่ได้รับและกำไรต่อหุ้น แต่ในปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจมีบทบาทในการรับผิดชอบต่อบุคคลหลายกลุ่มในสังคม จึงทำให้เป้าหมายในการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแนวความคิดจากเดิมเพื่อแสวงหากำไรสูงสุดเป็นแนวความคิดใหม่ คือ เพื่อให้มีความมั่งคั่งสูงสุด (Maximized Wealth) หรืการพยายามทำให้มูลค่าของธุรกิจสูงสุด (Maximized Value of the Firm) สิ่งที่จะสะท้อนถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ผู้ถือหุ้นได้รับ ธุรกิจที่เป็นบริษัท สามารถพิจารณาได้จาก ราคาตลาดของหุ้นสามัญสูงสุด อย่างไรก็ตามการที่ผู้บริหารการเงินไม่ใช้กำไรสูงสุดมาเป็นเป้าหมายในการบริหารทางการเงิน เพราะมีข้อบังคับอยู่หลายประการ คือ
1. ไม่ได้คำนึงถึงค่าของเงินตามกาลเวลา (Time Value of Money) คือ ไ ม่ได้ให้ความสำคัญของมูลค่าเงินที่เปลี่ยนไปตามเวลา
2. ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง เนื่องจากธุรกิจต้องการกำไรสูงสุด ดังนั้น ผู้บริหารจะยอมรับโครงการลงทุนที่ให้กำไรสูงสุดโดยไม่ได้สนใจในเรื่องความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โครงการที่มีผลกำไรสูง โดยทั่วไปมักจะมีความเสี่ยงสูง ถ้าผู้บริหารมุ้งจะพิจารณาแต่กำไรต่อหุ้นย่อมทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ เพราะไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของธุรกิจหรือธุรกิจที่มีกำไรต่อหุ้นเท่ากัน ก็ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงของธุรกิจจะเท่ากัน
3. วิธีการบันทึกทางบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป มีหลายวิธี เช่น การตีราคาสินค้าคงเหลือและการคิดค่าเสื่อมราคา เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้ามีการเปรียบเทียบบริษัทสองบริษัทที่นำมาวิเคราะห์ ซึ่งมีวิธีการบันทึกบัญชีที่แตกต่างกัน ก็จะไม่สามารถวัดได้ว่าบริษัทไหนดีกว่ากันถ้าบริษัททั้งสองมียอดขายที่ ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายสินทรัพย์ถาวรสุทธิเท่ากันแต่ใช้วิธีคิดค่าเสื่อมราคาแตกต่างกัน
4. นโยบายการจัดหาเงินทุน กรณีธุรกิจจัดหาเงินทุนจากการกู้ยืม ดอกเบี้ยจ่ายถือเป็นรายจ่ายก่อนคำนวณภาษี มีผลทำให้กำไรสุทธิของธุรกิจลดลง
5. ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบของนโยบายเงินปันผล ถ้าธุรกิจต้องการกำไรสูงสุดธุรกิจจะไม่ยอมจ่ายเงินปันผล แต่จะนำกำไรที่ได้รับไปลงทุนต่อเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินในปัจจุบันจึงมีผลกระทบ ทำให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญของธุรกิจลดลง ดังนั้นเป้าหมายกำไรสูงสุดจึงมีข้อบกพร่อง
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นเป้าหมายทางธุรกิจจึงมีแนวคิดใหม่ โดยการดำเนินธุรกิจจะมุ้งเน้นให้มูลค่าของธุรกิจสูงสุด (Maximized Value of the Firm) เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีความมั่งคั่งสูงสุด ( Maximized Wealth ) การทำให้เกิดความมั่งคั่งสูงสุดพิจารณาได้จากราคาของตลาดหุ้นสามัญที่สูงสุด แต่ราคาของตลาดหุ้นสามัญมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้นสามัญประกอบด้วย
ปัจจัยภายนอก เป็นสิ่งที่กระทบต่อธุรกิจ และเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่สามารถความคุมได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การเมือง ราคาน้ำมัน อัตราภาษี เป็นต้น
ปัจจัยภายใน เป็นสิ่งที่ธุรกิจสามารถควบคุมได้ ได้แก่ ฐานะทางการเงินของธุรกิจ ความเสียงและความมั่นคงของธุรกิจ เป็นต้น
มูลค่าของธุรกิจที่เป็นบริษัท สามารถวัดได้จากกมูลค่ารวมของราคาตลาดหุ้นสามัญที่ธรกิจนำออกมาจำหน่าย ผู้บริหารทางการเงินต้องพยายามทำให้มูลค่าของธุรกิจมีค่าสูงสุด ปัจจัยที่กำหนดมูลค่าของธุรกิจ
1. ความสามารถในการทำกำไร
2. ความเสี่ยง
ปัจจัยที่กระทบต่อมูลค่าของธุรกิจ ได้แก่
1. ประเภทของธุรกิจ ธุรกิจแต่ละประเภทจะมีความสามารถในการทำกำไร และความเสสี่ยงแตกต่างกัน ธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรสูงสุดจะมีความเสี่ยงสูง ส่วนธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรต่ำจะมีความเสียงต่ำตาม
2. ขนาดของธุรกิจ ธุรกิจที่มีเงินทุนมากความเสี่ยงจะสูงและมีโอกาสที่จะทำกำไรสูง แต่ธุรกิจที่ใช้เงินทุนน้อยจะมีความเสี่ยงต่ำ และมีโอกาสที่จะทำกำไรน้อย
3. ชนิดของเครื่องจักร ธุรกิจที่ลงทุนใช้เครื่องจักรที่มีคุณภาพสูง มักจะใช้เงินลงทุนสูงประสิทธิภาพในการผลิตจะสูงด้วย ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูง และความเสี่ยงก็จะสูงด้วย
4. การใช้ประโยชน์จากหนี้ ธุรกิจที่กู้ยืมเงินมาลงทุนมาก ต้นทุนของเงินทุนต่ำทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะสูง ตรงกันข้ามถ้ายืมเงินมาลงงทุนน้อย กำไรก็จะน้อย และความเสี่ยงต่ำ
สภาพคล่อง ธุรกิจที่ต้องการสภาพคล่องสูงเงินทุนหมุนเวียนจะมาก และลงทุนในสินทรัพย์ไมหมุนเวียนน้อย กำไรก็จะน้อย ถ้าธุรกิจต้องการกำไรมาก ก็จะลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนน้อย และจะลงทุนในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมากทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง กำไรสูง
ความหมายของภาษีอากร
ภาษีอากร คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎรและนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร
- ภาษีอากร คือ เงินได้หรือทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล และไม่สามารถเรียกคืนได้
- ค่าธรรมเนียม คือ เงินที่ราชการเรียกเก็บจากประชาชนซึ่งได้ประโยชน์จากรัฐเฉพาะอย่าง เช่น ใบทะเบียนสมรส ค่าธรรมเนียมค่าปรับศาล
- ค่าธรรมเนียมต่างจากภาษี
ลักษณะของภาษีอากรที่ดี
1. มีความเป็นธรรม
2. มีความแน่นอน ชัดเจน
3. มีความสะดวก
4. มีประสิทธิภาพและประหยัด
5. มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ
6. อำนวยรายได้
7. มีความยืดหยุ่น
นโยบายภาษีอากร
1. ส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
2. กระจายรายได้ให้เป็นธรรม
3. รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4. จัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ
5. จัดให้มีการใช้งานเต็มกำลัง
6. นโยบายอื่น ๆ
การแบ่งลักษณะภาษี
1. ภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล
2. ภาษีทางอ้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต
ภาษีศุลกากรภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax )
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีทางตรงจัดเก็บจากฐานเงินได้
- จัดเก็บจากบุคคลธรรมดา และผู้ที่กฎหมายกำหนด
- ฐานภาษี จัดเก็บจากเงินได้สุทธิ (ฐานในการคำนวณภาษี)
เงินได้พึงประเมิน (แต่ไม่รวมเงินได้ที่ได้รับการยกเว้น)
หัก ค่าใช้จ่ายหัก ค่าลดหย่อนและบริจาค
เงินได้สุทธิ แล้วจึงคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
- ระยะเวลาของเงินได้ที่คำนวณ คือ ปีภาษี (ปีปฏิทิน 1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) - ชำระภาษีโดยประเมินตนเองภายในวันที่ 31มีนาคมของปีถัดไปภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่บัญญัติไว้ ในประมวลรัษฎากร จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหลักการจัดเก็บที่สำคัญๆ โดยลำดับดังนี้
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
- ฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลคำนวณจากกำไรสุทธิ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
- รอบระยะเวลาบัญชี
- กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- เงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ
- เงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (รายจ่ายต้องห้าม)
- อัตราภาษีและการคำนวณภาษี
- การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
ภาษีเงินได้นิติบุคคลคำนวณจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการจำหน่ายกำไรไปนอกประเทศ
- สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- บัญชีอัตราภาษี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายแต่สามารถขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กำหนดเวลาการจดทะเบียน
- สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การเปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
- การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
- กำหนดเวลา สถานที่ยื่นแบบและการชำระภาษี
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.2 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ
ภาษีสรรพสามิต คือ ภาษีการขายเฉพาะที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท ซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น สินค้าที่บริโภคแล้วอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี สินค้าและบริการที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ หรือสินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้บริโภค หรือเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมกรมสรรพสามิต มีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีจากสินค้าและบริการเฉพาะอย่างจากผู้ผลิตสินค้าหลายประเภท เรียกว่า ภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ให้รัฐบาลนำไปบริหารประเทศ และทะนุบำรุงท้องถิ่นต่าง ๆ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย
ภาษีศุลกากรบทบาทของภาษีศุลกากรเพื่อใช้เป็นวัตถุประสงค์ในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจึงลดน้อยถอยลงตามลำดับ การเก็บภาษีของรัฐจุดมุ่งหมายของรัฐโดยทั่วไปก็คือการหารายได้เข้ารัฐ แต่จุดมุ่งหมายรองๆลงมาก็ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและบริการที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีการเก็บภาษีศุลกากร นอกจากจะเป็นเหตุผลในการหารายได้แล้ว ความมุ่งหมายหลักก็คือ เพื่อการคุ้มกันการค้าของประเทศเพราะสินค้านำเข้าเมื่อต้องเสียภาษีศุลกากรก็จะมีราคาแพงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่ผลิตในประเทศอย่างไรก็ตามนโยบายในการกีดกันทางการค้าด้วยภาษีนี้เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
การจัดเก็บภาษี
1. รัฐบาลกลางจัดเก็บ เช่นภาษีสรรพากร ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต
2. ราชการส่วนท้องถิ่นจัดเก็บ เช่นภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่
การชำระภาษี
1. การหักภาษี ณ ที่จ่าย
2. การประเมินภาษีด้วยตนเอง
3. การประเมินภาษีด้วยพนักงาน
4. ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
ฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คำนวณจากเงินได้ที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ดังนั้น เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น โดยทั่วไปได้แก่กำไรสุทธิที่คำนวณตาม เงื่อนไขที่กำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรมและอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ จึงได้มี
การบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคล จากเงินได้หรือฐานภาษี ที่แตกต่างกัน ดังนี้
(1) กำไรสุทธิ
(2) ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
(3)
เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
(4) การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย