การจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ มีภาระภาษีอะไรบ้าง?
กรณีนี้ขอกล่าวถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน เพราะคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งความเป็นจริงจะต้องพิจารณารายละเอียด ดังนี้
1. จ่ายค่าบริการเป็นเงินได้ประเภทใด
2. จ่ายไปประเทศใดมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่
วิธีดูการหักภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับค่าบริการ ให้ดูที่กฏหมาย มาตรา 70 ซึ่งมีใจความว่า
1. เป็นบริษัทต่างประเทศ
2. ที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
3. แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
4. เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2)(3)(4)(5) หรือ (6)
ให้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายภายใน 7 วันของเดือนถัดไป (ภ.ง.ด.54)
วิธีการดูเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการจ่ายค่าบริการให้ดูที่กฏหมาย มาตรา 83/6 ซึ่ง มีใจความว่า
1. ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
( ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.104/2544 ) ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 7 วันของเดือนถัดไป(ภ.พ.36)
ตัวอย่าง 1.การจ่ายค่าโฆษณา
บริษัทในประเทศไทยมีการจ่ายค่าโฆษณา Google ให้กับบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา เรามาพิจารณาว่า ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด และค่าบริการดังกล่าว เป็นให้บริการในต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศไทยหรือไม่
คำตอบ
1. ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภท 40(8) ไม่ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
2. การโฆษณา Google แน่นอนต้องมีคนในประเทศไทยเห็น ถือว่าเป็นบริการในต่างประเทศและมีการใช้บริการในประเทศไทย ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.36) และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้
ตัวอย่าง 2 การจ่ายค่า Software
บริษัทในประเทศไทยซื้อโปรแกรม Software จากคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เรามาพิจารณาว่า โปรแกรม Software จัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด และค่าบริการดังกล่าว เป็นให้บริการในต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศไทยหรือไม่
คำตอบคือ
1. ค่าโปรแกรม Software จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(3) ค่าสิทธิ ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ในการหัก ณ ที่จ่าย 5%
(เพราะประเทศสหรัฐอเมริกา มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ระบุว่าถ้าจ่ายค่า Software ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 5%) และนําส่งกรมสรรพากรด้วยแบบ (ภ.ง.ด.54)
2. ค่าโปรแกม Software นั้นถูกนํามาใช้ในประเทศไทย ดังนั้นต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (ภ.พ.36) และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน
IDG บริการรับทำบัญชีและภาษี ให้คำแนะนำพื้นฐานทางด้านการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีและภาษี
สอบถามเพิ่มเติม Click !
OUR BLOG
ค่าสิทธิ (Royalty Fee ) คืออะไร แล้วนอกจากจะต้องเสียภาษีเงินได้แล้ว จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไหม วันนี้ IDG จะพาคุณไปรู้จักเกี่ยวกับค่าสิทธิกัน !
ค่าสิทธิ (royalty Fee) คือค่าตอบแทน โดยฝ่ายที่เป็นผู้ได้รับอนุญาตหรือผู้ได้รับสัมปทาน จ่ายให้อีกฝ่ายที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยส่วนใหญ่ (ผู้อนุญาตหรือผู้ให้สัมปทาน) เพื่อเป็นสิทธิ์ในการใช้สินทรัพย์นั้น ๆ
ค่าสิทธิ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) (ซึ่งจะประกอบด้วย ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล) อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย
ค่าสิทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้นั้น หากผู้มีเงินได้จากค่าสิทธิเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศและมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ผู้จ่ายค่าสิทธิมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 15% ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70 แต่อย่างไรก็ดีหากผู้มีเงินได้จากค่าสิทธิเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มี อนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) กับประเทศไทย ก็อาจได้รับการลดอัตราภาษีตามอนุสัญญาภาษีซ้อน
ค่าสิทธินอกจากจะอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้แล้ว ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย หมายถึง ผู้รับค่าสิทธิที่เป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลเพิ่มมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้จ่ายค่าสิทธิพร้อมออกใบกำกับภาษีให้ด้วย แต่ถ้าผู้รับค่าสิทธิมิได้เป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย เมื่อได้รับเงินค่าสิทธิผู้จ่ายในประเทศไทย ผู้จ่ายมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ของค่าสิทธิตามประมวลรัษฎกร มาตรา 83/6
ภาษีที่เกี่ยวกับกับค่าสิทธิ มี 2 แบบคือ
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. 54)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 36)
ข้อสะกิดใจ
- หากผู้จ่ายค่าสิทธินั้นได้หักภาษีไว้เกิน ทางผู้รับค่าสิทธิต่างประเทศมีสิทธิขอคืนจำนวนภาษีที่ถูกหักไว้เกินได้โดยยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร แบบ ค.10 ภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นรายการภาษี ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
- แต่ถ้าหากผู้จ่ายค่าสิทธินั้นได้หักภาษีไว้ขาด ผู้จ่ายค่าสิทธิต้องยื่นแบบภาษีเพิ่มเติมนับตั้งแต่วันที่ยื่นแบบภาษี และคิดเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีกด้วย ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
- หากผู้รับค่าสิทธินั้นไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายค่าสิทธิต้องเป็นผู้รับภาระจ่ายภาษีแทน !!! OMGGGGG
IDG บริการรับทำบัญชีและภาษี ให้คำแนะนำพื้นฐานทางด้านการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีและภาษี
สอบถามเพิ่มเติม Click !
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
ความเหมือนคล้ายของเครื่องหมายการค้า
ก่อนที่เราจะเริ่มทำธุรกิจจำหน่ายหรือผลิตสินค้าสักหนึ่งอย่าง สิ่งสำคัญที่เราต้องมีก่อนอันดับแรกเลยคือชื่อเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อใช้เป็นตราสินค้าของเราและเป็นที่จดจำของผู้ใช้สินค้า
อ่านต่อ »