หากคุณต้องการจัดของในบ้านและทำให้บ้านเป็นระเบียบอยู่เสมอ เคล็ดลับทั้ง 7 ข้อ นี้จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ลองปฏิบัติตามคู่มือด้านล่างที่เต็มไปด้วยไอเดียจัดบ้านใหม่ๆ เพื่อให้บ้านของคุณนั้นไม่เพียงแค่น่าอยู่เท่านั้น แต่ยังเป็นระเบียบ จนใครๆ ต้องพากันอิจฉาอีกด้วย
หากคุณกำลังจะจัดระเบียบบ้านครั้งใหญ่ ลองแขวนถุงขยะขนาดใหญ่ไว้ที่ประตูของแต่ละห้อง เพื่อช่วยลดเวลาในการที่คุณจะต้องลากสิ่งของที่ไม่ต้องการไปมา อีกทั้งยังช่วยให้คุณทราบว่าได้จัดระเบียบสิ่งของในแต่ละบริเวณไปเท่าใดแล้ว
วิธีการจัดบ้าน
จัดพื้นที่ไว้สำหรับทุกอย่างให้พร้อม – พื้นที่ในบ้านที่คุณใช้งานเป็นประจำ มักจะเต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ใด ดังนั้นคุณจะต้องหาที่สำหรับสิ่งของเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน แผนที่ กุญแจ เครื่องกีฬา ร่ม และอุปกรณ์ทำสวน ล้วนแต่ควรต้องมีที่อยู่ที่เหมาะสมภายในบ้าน อย่าลืมบอกให้ทุกคนในครอบครัวรู้ว่าควรเก็บของเหล่านี้ไว้ที่ใด เพื่อจะได้ไม่ต้องสับสน หรือคุณอาจจะทำป้ายติดให้เห็นชัดเจนก็ได้
เก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมทันทีหลังใช้เสร็จ – หากคุณทานขนม ก็อย่าลืมเอาขนมที่ทานไม่หมดใส่ตู้เย็น หรือหากคุณเอาแผนที่ออกมากางดู ก็อย่าลืมพับเก็บให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้สิ่งของต่างๆ กระจายเต็มบ้านอยู่อย่างนั้น เพราะจะทำให้บ้านยิ่งรกหนักกว่าเดิม แล้วยังทำให้หาของไม่เจอสักอย่างอีกด้วย
หมั่นเก็บของในบริเวณต่างๆ ไม่ให้รกรุงรัง – ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ หลังตู้ โต๊ะข้างเตียง และโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วคุณจะพบว่าการที่บ้านเป็นระเบียบไม่มีของวางเกะกะนั้นสร้างความแตกต่างได้มากเพียงใด กระดาษและหนังสือบนโต๊ะนั้นควรเรียงซ้อนกันให้เหลือแค่หนึ่งถึงสองตั้ง และอย่าลืมเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว อาหารต่างๆ และจานชามไปไว้ในตู้ให้เรียบร้อย แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้บนโต๊ะในครัว
ใช้ตู้เก็บของทรงสูง – นี่เป็นเคล็ดลับที่ดีในการเพิ่มพื้นที่ในบ้านของคุณให้มากขึ้น ลองหาซื้อชั้นวางหนังสือ ชั้นที่เรียงซ้อนกันได้ และตู้ทรงสูงมาไว้สำหรับใส่ของในบ้าน หรือคุณอาจจะเลือกใช้ตะขอ ซึ่งใช้ประโยชน์ได้มากมายหลายอย่าง เช่น ใช้แขวนกระทะในครัว ทำให้คุณมีพื้นที่ในตู้ไว้สำหรับวางของอื่นๆ แทน
จัดระเบียบข้าวของและโยนสิ่งที่คุณไม่ต้องการทิ้งไป – ในบ้านนั้นมักจะเต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่จำเป็น ลองพิจารณาดูว่าคุณยังต้องเก็บนิตยสารเก่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนไว้อีกหรือไม่ อย่าใจอ่อน โยนทุกอย่างที่คุณไม่ต้องใช้ทิ้งไป ไม่ว่าจะนำไปรีไซเคิล ยกให้เพื่อน หรือบริจาค หรือจะทิ้งถังขยะไปเลยก็ได้ อาจจะฟังดูแล้วทำใจยากสำหรับคนที่ชอบเก็บสะสม แต่การฝึกฝนทักษะการทิ้งของสิ่งนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น
จัดเก็บข้าวของทีละนิดทุกวัน – แทนที่จะสะสมงานทำความสะอาดและจัดระเบียบเอาไว้ทำทีเดียว ลองค่อยๆ เก็บกวาดไปเรื่อยๆ เช่น ทุกครั้งที่ถอดเสื้อให้นำเสื้อกลับไปแขวนที่เดิม แทนที่จะทิ้งกองสุมกันไว้ในห้อง หรือคอยเก็บเสื้อผ้าสกปรกไปใส่ตะกร้าผ้าซัก อย่าทิ้งให้กระจายเกลื่อนห้อง
กำหนดวันและเวลาในการจัดระเบียบ – แบ่งเวลาเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อจัดระเบียบบ้านโดยเฉพาะ วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับงานบ้านที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น เอาอาหารเก่าเก็บหรือหมดอายุไปทิ้ง เอาจดหมายเก่าๆ ไปรีไซเคิล จัดระเบียบชั้นวางรองเท้า หรือเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่ตามมุมต่างๆ ไปซัก
เคล็ดลับทั้ง 7 ข้อนี้ จะช่วยตอบคำถามว่า “ฉันจะจัดบ้านอย่างไรดี” อย่าเพิ่งถอดใจเมื่อบ้านรก เพราะเคล็ดลับพื้นฐานดีๆ ที่เราแนะนำไปข้างต้นนี้จะช่วยให้บ้านของคุณเป็นระเบียบ สะอาดตา และน่าอยู่อย่างแน่นอน
สไตล์การตกแต่งบ้าน มีกี่แบบ สไตล์การตกแต่งบ้านแต่ละแบบมีลักษณะอย่างไร อยากตกแต่งบ้านแบบห้องตัวอย่าง จะคุยกับช่างอย่างไรให้เข้าใจตรงกัน มาดูไปพร้อม ๆ กันเลย
เซฟรูปห้องตัวอย่างเก็บเอาไว้เพียบ แบบนั้นก็ชอบ ห้องนี้ก็ใช่ แต่พอเก็บข้อมูลจะเอาไปคุยกับช่าง รู้สึกไม่แน่ใจว่าแบบห้องที่อยากได้เรียกว่าการตกแต่งบ้านสไตล์อะไร กลัวสื่อสารผิดพลาด เข้าใจไม่ตรงกัน ทำให้งานออกมาเพี้ยนไปจากที่อยากได้ ถ้าอย่างนั้นมาดูพร้อม ๆ กันค่ะว่ามีสไตล์การตกแต่งบ้านแบบไหนบ้าง แล้วสไตล์การตกแต่งบ้านแต่ละแบบมีจุดเด่นอย่างไร จะได้เอาไปคุยกับช่างรู้เรื่อง
1. สไตล์โบฮีเมียน
สไตล์โบฮีเมียน (Bohemian Style) หรือ โบโฮ-ชิค (Boho-Chic) ไม่ได้มีข้อจำกัดแน่นอนว่าจะต้องสีนั้นสีนี้หรือเน้นหนักไปที่การใช้วัสดุชนิดใดชนิดหนึ่ง เรียกได้ว่าค่อนข้างฟรีสไตล์ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล เลยทำให้เป็นสไตล์ตกแต่งบ้านที่มีความเป็นเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนออกมาอย่างชัดเจน แต่มีจุดที่สังเกตได้ชัด ๆ เลยก็คือ การตกแต่งบ้านสไตล์โบฮีเมียนมักจะสีสันจัดจ้าน เล่นกับเส้นสายลวดลาย ภายใต้แสงไฟซอฟต์ ๆ บรรยากาศสบาย ๆ ออกแนวชวนฝัน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือของตกแต่งจากธรรมชาติ เช่น ขนนก หิน กิ่งไม้ หรือการปลูกต้นไม้กระถางเล็ก ๆ ไว้ในบ้าน นอกจากนี้ก็ยังมีของแฮนด์เมด โมบาย งานโครเชต์ และดรีมแคตเชอร์ (Dream Catcher) ที่มักจะได้เห็นกันบ่อย ๆ จากการตกแต่งบ้านสไตล์นี้ด้วย
2. สไตล์โคสตัล
สไตล์โคสตัล (Coastal Style) หากใครชอบอารมณ์ฟีลกู้ดของบรรยากาศบนชายหาดละก็ เราขอแนะนำการตกแต่งบ้านสไตล์นี้เลย ซึ่งการตกแต่งบ้านในสไตล์นี้จะเน้นไปที่การใช้สีโทนเย็น เช่น สีฟ้า, ขาว, น้ำเงิน, เขียว และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก อาทิ โต๊ะไม้ เก้าอี้หวาย รวมถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อย่างเปลือกหอย โมเดลประภาคาร หรือภาพวาดของท้องทะเล
3. สไตล์คอนเทมโพรารี
สไตล์คอนเทมโพรารี (Contemporary Style) เป็นการตกแต่งบ้านแบบร่วมสมัย โดยการผสมผสานระหว่างรูปแบบบ้านในอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกัน โทนสีที่นิยมใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโทนสีกลาง เช่น สีครีม, ขาว, น้ำตาล, เทา เปลี่ยนลุคบ้านให้ดูเรียบหรู แต่ก็ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดวางเลย์เอาต์ที่ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ เน้นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่และของที่ใช้งานได้จริงมากกว่าของตกแต่งเพื่อความสวยงาม
4. สไตล์คอตเทจ
สไตล์คอตเทจ (Cottage Style) การตกแต่งบ้านที่มีทั้งกลิ่นอายของแนวคันทรี ออกวินเทจนิด ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับย้อนยุคซะทีเดียว เพราะแฝงความทันสมัยอยู่หน่อย ๆ ซึ่งสีที่ถูกนำมาใช้ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มสีเอิร์ธโทน ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งและของเก่าที่เป็นกิมมิกของการตกแต่งบ้านสไตล์นี้ บางครั้งก็มีการนำลายดอกและโทนสีพาสเทลเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เพื่อทอนความแข็งกระด้าง เพิ่มความละมุน สวยหวาน แต่ก็ไม่เลี่ยนจนเกินไป
5. สไตล์วินเทจ
สไตล์วินเทจ (Vintage Style) สไตล์การตกแต่งบ้านแบบย้อนยุคและมีการดีไซน์พิถีพิถันในทุกรายละเอียด มักใช้ลวดลายที่ดูพลิ้วไหว อ่อนช้อย อย่างเช่น ลายดอกไม้ สำหรับสีที่นำมาใช้กับสไตล์วินเทจมักจะเป็นสีอ่อน ๆ อย่างสีขาว, ครีม, แดงอ่อน, เหลืองอ่อน และม่วงอ่อน อีกทั้งรูปทรงของเฟอร์นิเจอร์จะดูคล้ายกับเฟอร์นิเจอร์หลุยส์ แต่มีการลดทอนรายละเอียดลงมา
6. สไตล์อีเคล็กทริก
สไตล์อีเคล็กทริก (Eclectic Style) อีกหนึ่งสไตล์การแต่งบ้านที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ อยู่นอกกรอบขอบเขตของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะเกิดจากการนำสิ่งของที่มีสีสัน ลวดลาย ขนาด และรูปแบบที่แตกต่างกันมาจัดวางเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
7. สไตล์ลอฟท์
สไตล์ลอฟท์ (Loft Style) สไตล์การตกแต่งบ้านที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ หลายบริษัทต้องปิดตัว และส่งผลให้เกิดโกดังร้างจำนวนมาก ซึ่งต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นที่พักอาศัย ก่อนจะถูกหยิบยกมาเป็นแรงบันดาลใจของการออกแบบบ้านในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นห้องเพดานสูง การเปิดช่องประตู-หน้าต่างขนาดใหญ่ โชว์งานระบบต่าง ๆ การเปลือยผิววัสดุแบบไม่มีการตกแต่ง เน้นของตกแต่งที่ทำจากอิฐ เหล็ก ปูน และไม้
8. สไตล์โมเดิร์น
สไตล์โมเดิร์น (Modern Style) การตกแต่งบ้านสำหรับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่หรูหราอลังการ แต่ดูดีด้วยโทนสีและรูปทรงธรรมดา ซึ่งโทนสีที่นำมาใช้บ่อยครั้งในสไตล์โมเดิร์น ได้แก่ สีขาว, ดำ และเทา บางครั้งก็ใช้แม่สีมาเติมความสดใส และของตกแต่งรูปทรงเลขาคณิต เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่และการใช้งาน
9. สไตล์มินิมอล
สไตล์มินิมอล (Minimal Style) หลักการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลก็คือ การตัดส่วนที่ไม่จำเป็น และเหลือไว้เฉพาะสิ่งสำคัญ ตามคอนเซ็ปต์ "Less is More" หรือน้อยแต่มาก โดยการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น สิ่งของถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ สะอาดตา และเน้นใช้สีอิงกับธรรมชาติแบบสีเอิร์ธโทนหรือสีอ่อน ๆ เช่น สีขาว, น้ำตาล, เขียว และฟ้า
10. สไตล์สแกนดิเนเวีย
สไตล์สแกนดิเนเวีย (Scandinavian Style) สไตล์การตกแต่งบ้านที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประเทศในกลุ่มนอร์ดิก (ยุโรปตอนเหนือ) ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่สวยงามให้ความรู้สึกเหมือนงานศิลปะที่มีความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน นิยมใช้งานไม้และตกแต่งด้วยโทนสีกลางหรือสีอ่อน ๆ เช่น สีครีม, เทา, น้ำเงิน หรือฟ้าอ่อน บรรยากาศภายในเน้นความโปร่งสบาย สว่าง และอบอุ่นด้วยแสงจากธรรมชาติ
11. สไตล์รัสติก
สไตล์รัสติก (Rustic Style) สไตล์การตกแต่งบ้านที่อาจดูคล้าย ๆ กับสไตล์ลอฟท์ แต่มีความแตกต่างตรงที่สไตล์รัสติกมีกลิ่นอายของวินเทจนิด ๆ และคันทรีหน่อย ๆ เน้นเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่และของที่ทำจากงานไม้ แม้จะเปลือยผิววัสดุ แต่ก็มีการตกแต่งให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ยังนิยมใช้ของเก่ามารียูสใหม่หรือของ DIY ที่ทำขึ้นเอง
12. สไตล์ทรอปิคอล
สไตล์ทรอปิคอล (Tropical Style) สไตล์การตกแต่งบ้านที่ดูสดใสมีชีวิตชีวา นิยมใช้สีและลวดลายเลียนแบบธรรมชาติในเมืองร้อน เช่น สีฟ้า, เขียว, เหลือง ผ้าพิมพ์ลายใบไม้ใหญ่ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักร้อน เหมาะกับการพักผ่อน สบายและผ่อนคลาย
13. สไตล์โอเรียนทอล
สไตล์โอเรียนทอล (Oriental Style) การตกแต่งบ้านที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมและศิลปะจากฝั่งตะวันออก การดีไซน์และออกแบบของต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นและอากาศ โทนสีที่ใช้ส่วนมากนิยมใช้สีทอง, น้ำตาล, ดำ, แดง และใช้วัสดุจากธรรมชาติ หาได้ง่ายจากท้องถิ่น เน้นความสบายมากกว่าความหรูหรา สะท้อนตัวตนของผู้คนในเอเชียได้เป็นอย่างดี
นอกจากการศึกษาข้อมูลแล้ว ถ้าจะให้ชัวร์ก็อย่าลืมเอารูปแบบห้องตัวอย่างไปด้วย เพราะคำอธิบายของเราอย่างเดียว อาจจะสื่อความต้องการของเราได้ไม่หมด แต่รูปจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก rocheledecorating, thespruce, houzz และ homedit