โครงงานวิชาประวัติศาสตร์
คิดเข้าขั้น Kid Cult Count (Kid’s Culture Countries)
คณะผู้จัดทำโครงงาน
นาย เตชินท์ วิลัย เลขที่ 2
นางสาว พิชญา พันแสนแก้ว เลขที่ 12
นางสาว มาริสา ชิงจันทร์ เลขที่ 21
นางสาว กาญจนาพร นามเสถียร เลขที่ 28
นางสาวขนิษฐา สร้อยสิงห์ เลขที่ 29
นางสาว พีรยา ตันประเสริฐ เลขที่ 34
นางสาว ภิรญา ชัยดิลกฤทธิ์ เลขที่ 46
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/16
ที่ปรึกษาโครงงาน
คุณครู กนกพร สุขสาย
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานประวัติศาสตร์
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
เขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานีเขต 29
คำนำ
รายงานเรื่อง ”คิดเข้าขั้น Kid Cult Count (Kid’s Culture Countries)” เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อศึกษาข้อมูลของสถานที่ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจหรือผู้คนทั่วไปได้ทราบถึงสถานทีที่มีอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี หากรายงานเล่มนี้มีส่วนใดที่ผิดพลาดหรือควรแก้ไขปรับปรุงใดๆ คณะผู้จัดทำก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
บทที่ 1 บทนำ 1
- ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
- วัตถุประสงค์ของการศึกษา
- สมมุติฐานชองการศึกษาค้นคว้า
- ขอบเขตของการทำโครงงาน
- ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ
บทที่ 4 ผลการดำเนินโครงงาน
บทที่ 5 สรุปผลการทำโครงงาน
- สรุปผลของการทำโครงงาน
- ข้อเสนอแนะ
เอกสารอ้างอิง
บทคัดย่อ
โครงงาน คิดเข้าขั้น Kid Cult Count (Kid’s Culture Countries)
ที่ปรึกษาโครงงาน คุณครู กนกพร สุขสาย
สถานศึกษา โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ สถานที่ สังคมและวัฒนธรรม จึงอาจทำให้บางสถานที่ไม่เป็นที่รู้จัก จังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็น 1 ในจังหวัดของประเทศไทยที่มีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลทางด้านสถานที่ และถือเป็นการอนุรักษ์สถานที่ที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้สถานที่เหล่านั้นสูญหายไปกับการเวลา
จึงมีการนำสถานที่อันได้แก่ หาดสลึง อุทยานแห่งชาติผาแต้ม สามพันโบก แก่งสะพือ บ้านปุนคำ และบ้านปะอาว ซึ่งเป็นสถานที่ที่คณะผู้จัดทำเลือกในการจัดทำการศึกษาหาข้อมูล เพราะแต่ละสถานที่ย่อมมีเอกลักษณ์หรือสภาพแวดล้อมที่มีความงดงาม ความล้ำค่าหรือแม้แต่ความสงบที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของผู้ที่ต้องการทราบข้อมูลหรือผู้ที่ต้องการไปเยือนสถานที่ที่นั้นต้องการเยี่ยมชมสถานที่ประเภทใด
ซึ่งในบางสถานที่ที่คณะผู้จัดทำเลือกนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพรหลาย อาจทำให้ผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวหรือเยี่ยมชมสถานที่ในจังหวัดอุบลราชธานีไม่ทราบถึงการมีอยู่ของสถานที่ แล้วหากเป็นเช่นนี้อาจทำให้สถานที่ที่มีคุณค่าต่อจังหวัดอุบลราชธานีอาจหลงเหลือเพียงแต่ชื่อเสียงที่เคยเล่าขาน ดังนั้นการที่ให้ข้อมูลของสถานที่แต่ละแห่งนั้นจึงถือเป็นการให้ข้อมูลอีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ไว้โดยการให้ผู้คนเข้ามาท่องเที่ยว เยี่ยมชม ตลอดจนเก็บภาพบรรยากาศและความทรงจำดีๆเอาไว้ในใจและถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถทำให้สถานที่แห่งนั้นมีชื่อเสียงได้
กิตติกรรมประกาศ
โครงงาน “คิดเข้าขั้น Kid’s Culture Contries” หมายถึง “วัฒนธรรมทางด้านสถานที่ท้องถิ่นของเด็กๆ” เป็นโครงงานที่ว่าด้วยเรื่องของสถานที่ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งแต่ละสถานที่ในที่นี้ มีความสำคัญหรือคุณค่าทางด้านจิตใจ ด้านความรู้ที่แตกต่างกันออกไป โดยบางสถานที่ที่เลือกมานั้นแต่เดิมอาจเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วหรือเป็นสถานที่ที่รู้จักกันเฉพาะคนในท้องถิ่น จึงทำให้คณะผู้จัดทำเห็นความสำคัญของสถานที่ที่ควรแก่การนำเสนอหรือการให้ข้อมูลตลอดจนการอนุรักษ์โดยการสร้างความทรงจำที่ดีกับสถานที่เหล่านั้นไม่ให้เลือนรางหายไปกาลเวลา
ซึ่งการศึกษาและทำโครงงานในครั้งนี้สามารถดำเนินงานต่างๆสำเร็จลุลวงได้ด้วยดี โดยได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ตลอดจนท่านผู้ปกครองทุกท่านที่ให้การสนับสนุน และขออภัยหากไม่ได้กล่าวชื่อของท่านผู้ปกครอง เนื่องจากท่านไม่ประสงค์ลงนามและต้องการเป็นแค่เบื้องหลัง จึงเรียนให้เพื่อทราบ อีกทั้งความช่วยเหลือในการอุปการะทางด้านทุนทรัพย์ด้านการดำเนินโครงงานทั้งหมดให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณ คุณครู กนกพร สุขสาย ที่ให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้นการดำเนินโครงงาน ดร.ประยงค์ แก่นลา ผู้อำนวยการโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช และขอขอบคุณแหล่งข้อมูลห้องสมุดโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชที่เอื้อเฟื้อสถานที่และข้อมูลในการสืบค้น ตลอดจนเว็บไซค์ต่างๆที่ทางคณะผู้จัดทำได้นำข้อมูลมาอ้างอิงโครงงาน การทำโครงงานจึงสามารถดำเนินงานได้สำเร็จลุลวงได้ด้วยดี จึงขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้
คณะผู้จัดทำ
บทที่ 1
บทนำ
1. ที่มาและความสำคัญ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ สถานที่ สังคมและวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้บางสถานที่ไม่เป็นที่รู้จัก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนหรือขาดการอนุรักษ์พัฒนา หากจะกล่าวถึงสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเพื่อเป็นการให้ข้อมูลอีกทั้งยังทำให้ได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของสถานที่ จังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็น 1 ในจังหวัดของประเทศไทยที่มีความงดงามและยังคงมีความศรีวิไลอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงอาจจะทำให้ผู้คนที่รู้จักหรือเคยมาหลงลืมในความเป็นสถานที่ของจังหวัดอุบลราชธานีได้
จึงทำให้คณะผู้จัดทำเลือกใช้ชื่อโครงงาน “คิดเข้าขั้น Kid’s Culture Contries” หมายถึง “วัฒนธรรมทางด้านสถานที่ท้องถิ่นของเด็กๆ” ด้วยความหมายที่แปลตามภาษาอังกฤษนี้ จึงทำให้ตัดสินใจเลือกสถานที่ภายในจังหวัดอุบลราชธานี นำมาใช้ในการตั้งโครงงานตลอดจนสร้างความทรงจำให้แก่ผู้คนที่มาเยือน ณ สถานที่แห่งนั้น เพื่อเป็นการนำเสนอทางด้านสถานที่ ข้อมูลและถือเป็นการอนุรักษ์สถานที่ที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้สถานที่เหล่านั้นสูญหายไปจากจังหวัดอุบลราชธานีและอยู่คู่จังหวัดอุบลราชธานีสืบต่อไป
2. วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นให้ข้อมูลในสถานที่ที่มีอยู่ภายในจังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์สถานที่โดยการให้ผู้คนที่สนใจหรือผู้คนทั่วไปได้ทราบถึงการมีอยู่ของสถานที่ เพื่อไม่ให้สถานที่เหล่านั้นสูญหายไปจากจังหวัดอุบลราชธานี และเพื่อไม่ให้สูญหายไปจากความทรงจำ
3. สมมติฐานของการศึกษา
สถานที่ทุกแห่งในจังหวัดอุบลราชธานีย่อมมีเอกลักษณ์และแตกต่างกัน ทั้งทางประวัติศาสตร์ ที่มา ความสำคัญ แม้กระทั้งคุณค่าทางด้านจิตใจของคนในท้องถิ่น จึงทำให้เราตระหนักว่า สถานที่ดังกล่าวนั้นควรค่าแก่การอนุรักษ์และเพื่อเน้นย้ำไม่ให้กาลเวลาพลัดพรากสถานที่เหล่านี้ไปจากความทรงจำได้
4. ขอบเขตของการทำโครงงาน
- 2 มกราคม 2558 ทำการศึกษาเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สนใจ
- 3-4 มกราคม 2558 จัดกลุ่มตลอดจนเริ่มต้นการวางแผนโครงงาน
- 9 -23 มกราคม 2558 สืบค้นข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูล สอบถาม ทำรายงานรูปเล่ม ฯลฯ เป็นต้น
5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ได้นำเสนอข้อมูลของสถานที่ในจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเป็นความรู้และความทรงจำให้แก่ผู้ที่สนใจหรือผู้คนทั่วไปได้
เพื่อเป็นการอนุรักษ์สถานที่
เข้าใจในข้อมูลที่จะสืบค้นและสามารถ ถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นเข้าใจได้
เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ เพื่อศึกษาข้อมูลหรือทำการเที่ยวชม ณ สถานที่เหล่านั้นในครั้งต่อไปได้ ข้อมูลเป็นประโยชน์มากพอในการศึกษา
ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
หาดสลึง
เป็นหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำมูล จากตำนานเชื่อกันว่า ชื่อหาดสลึง เกิดจากการที่คนมาเล่นน้ำช่วงสงกรานต์นานมาแล้ว ในสมัยที่ใช้เหรียญสลึง 1 สลึงสมัยนั้น มีค่าสามารถซื้อควายได้ 1 ตัว ตามนิสัยของคนไทยบางคนเมื่อมารวมกันมาก มักจะมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ผู้ที่มาเล่นน้ำที่หาดแห่งนี้ได้ตั้งคำท้าทายความสามารถโดยมีเดิมพันว่า ณ กลางเดือนเมษายน
เวลาเที่ยงวันถ้าใครสามารถเดินหรือวิ่งบนหาดได้ตลอดแนว (ยาว 860 เมตร) โดยไม่แวะพักระหว่างวิ่ง จะได้รับเงินเดิมพัน 1 สลึง นับตั้งแต่มีการเดิมพันมาไม่เคยมีใครได้รับรางวัลนี้เลย ชาวบ้านจึงขนานนามหาดแห่งนี้ว่า “หาดสลึง”
ซึ่ง หาดสลึง ตั้งอยู่ที่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากอำเภอเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 115 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2050 (อุบลฯ - ตระการพืชผล - โพธิ์ไทร) จุดเด่นของหาดสลึงคือ เมื่อในฤดูแล้ง ประมาณมกราคม-มิถุนายน เมื่อน้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลง ซึ่งจะตรงกับช่วงสงกรานต์ โดยจะมีการเล่นสงกรานต์ที่นี่ หนุ่มสาว มากมายจะมาเล่นน้ำ รวมถึงแม่น้ำโขงน้ำลดจะมองเห็นหาดทรายขาว ทรายเม็ดเล็ก รวมถึงยังเป็นจุดชมวิวที่ สามารถถ่ายภาพประเทศลาวได้อีกด้วยรถลากให้บริการสำหรับท่านที่อยากขึ้น-ลง เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อุทยานแห่งชาติผาแต้มมีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาติดต่อกันลักษณะสูงๆ ต่ำๆ สลับกันไปทั่วพื้นที่ ระดับความสูงของพื้นที่อยู่ระหว่าง 100-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล แนวเขตด้านทิศตะวันออกใช้เส้นแบ่งเขตแดนประเทศและติดกับประเทศลาว ซึ่งมีแม่น้ำโขงเป็นแนวเขตโดยตลอดความยาวประมาณ 63 กิโลเมตร สภาพพื้นที่โดยรวมเป็นลานหิน รอบแนวเขตถัดจากฝั่งแม่น้ำโขงจะเป็นหน้าผาสูงชัน มีภูผาที่สำคัญได้แก่ ภูผาขาม ภูผาเมย ภูผาเจ็ก ภูผาสร้อย ภูย่าแพะ ภูชะนะได ภูผานาทาม ภูโลง ภูปัง ภูจันทร์แดง ภูหลวง ภูสมุย และภูกระบอ เป็นต้น อุทยานแห่งชาติผาแต้มเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของห้วยช้าง ห้วยภูโลง ห้วยฮุง ห้วยลาน ห้วยเพราะ ห้วยแยะ ห้วยกวย ห้วยกะอาก ห้วยใหญ่ ห้วยสูง และห้วยหละหลอย เป็นแหล่งรวมสถานที่เที่ยวสำคัญหลายแห่ง ทั้งในแบบหน้าผา น้ำตก ทุ่งดอกไม้ เช่น จุดชมภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่บริเวณผาหินคาดว่าเขียนขึ้นตั้งแต่ 3,000 – 4,000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์ อาทิ Unseen in Thailand กับน้ำตกแสงจันทร์ หรือ น้ำตกลงรู ที่สายน้ำตกไหลออกมาจากช่องโพรงของเพิงผา , เสาเฉลียง เป็นเสาหินธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมนับล้านปี มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดเรียงรายกันอยู่มากมาย มีอายุประมาณล้านกว่าปีมาแล้ว , ผาชะนะได เป็นจุดแรกของประเทศไทยที่จะได้พบกับแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นในแต่ละวัน นักท่องเที่ยวนิยมท่องมาชมมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อจะมารอรับแสงแรกแห่งปีอีกด้วย สถานที่ตั้ง จากอำเภอโขงเจียมใช้ทางหลวงหมายเลข 2134 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 2112 ถึงกิโลเมตรที่ 8 แล้วเลี้ยวขวาไปผาแต้มอีกราว 5 กิโลเมตร รวมระยะทางจากโขงเจียมประมาณ 18 กิโลเมตร
สามพันโบก
เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก ประมาณเดือนกรกฏาคม – เดือนตุลาคม
และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายน ทุกปี และเมื่อฤดูแล้งมาถึง “สามพันโบก” จะโพล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำให้เห็นคล้ายเป็นภูเขากลางลำน้ำโขง โชว์ความสวยงามวิจิตรตระการตา ซึ่งหินดังกล่าวจะมีลักษณะและรูปทรงที่แตกต่างกันไปมากมายหลายหลาก เช่น รูปดาว รูปเต่า รูปหนู รูปหัวสุนัข ฯลฯ และด้วยชั้นหินที่กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก จึงดูคล้ายกับแกรนด์แคนยอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
จนมีผู้ขนานนามสถานที่แห่งนี้ว่า “แกรนด์แคนยอนเมืองสยาม สามพันโบกเมืองอุบล” ซึ่งสามพันโบกนั้นเกิดจากแรงน้ำวนที่กัดเซาะจนกลายเป็นแอ่งมากกว่า 3,000 แอ่ง หรือ 3,000 โบก มีความสวยงามจนได้รับการขนานนามว่า “แกรนด์แคนย่อนเมืองไทย” แก่งหินที่มีความงดงาม สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี สามพันโบก
นอกจากจะเดินเที่ยวชมความงามของหินรูปร่างแปลกตาแล้ว สามารถเดินทางไปชมความงามของสองริมฝั่งแม่น้ำโขงได้ โดยการล่องเรือที่มีให้บริการอยู่ในบริเวณนั้น โดยเรือจะล่องไปตามแม่น้ำโขง โดยมีระยะทางจากหาดสลึงซึ่งเป็นท่าเทียบเรือออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า “มหานทีสี่พันดอน” ซึ่งในบริเวณดังกล่าวยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีหาดหงส์ที่มีเม็ดทรายขาวละเอียด หินรูปแจกัน ถ้ำนางเข็นฝ้าย ถ้ำนางต่ำหูก หาดหินสี หลักศิลาเลข แก่งสองคอน ภูเขาหิน และหาดแห่ ให้ได้ชมกันตลอดข้างทางริมฝั่งโขง การเดินทางนั้น จากอำเภอเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี ตามทางหลวงหมายเลข 2050 ผ่านอำเภอตระการพืชผล ไปยังอำเภอโพธิ์ไทร ด้วยระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร และเดินทางต่อไปยังบ้านสองคอนเข้าไปหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร
แก่งสะพือ
ตั้งอยู่ที่เขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 45 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 217 ซึ่งแก่งสะพือเป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล แก่งสะพือเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า"ซำพืด"หรือ"ซำปื้ด" ซึ่งเป็นภาษา ส่วยที่แปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือมแก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม แก่งสะพือจะมีระดับน้ำที่ลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่ง นอกจากนี้แล้วในเดือนเมษายนของทุกปี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์แก่งสะพือขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบทอดประเพณีอันดีงามไว้
บ้านคำปุน
ตั้งอยู่เลขที่ 331 ถนนศรีสะเกษ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแหล่งผลิตงานหัตถศิลป์ผ้าทอมือและแหล่งอนุรักษ์ศิลปะพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี บ้านคำปุน อยู่ภายในบริเวณอาคารแบบไทยอีสาน
เป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งเรียนรู้ถึงกระบวนการถักทอผ้าไหมของไทยที่สั่งสม มานานปี เพื่อสืบสานภูมิปัญญาตั้งเดิมของท้องถิ่น โดยมีผู้ให้ความรู้แก่ช่างทอในปัจจุบันคือ นางคำปุน ศรีใส ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาทัศนศิลป์-ถักทอ พ.ศ.2537 และบุตรชาย คือนายมีชัย แต้สุจริยา ศิลปินดีเด่นจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.2544 ทั้งยังเป็นผู้คิดค้นและออกแบบผ้าลายกาบบัว ผ้าเอกลักษณ์จังหวัดอุบลราชธานี
ตลอดจนบ้านคำปุนยังเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว “บ้านคำปุน” อีกด้วย
ปัจจุบันบ้านคำปุนมีช่างทอผ้ามากกว่า 30 คน ผลิตผ้าไหมด้วยกี่ทอมือ ผลิตผ้าไหมตามขั้นตอนแบบดั้งเดิมใช้เครื่องมือ
เครื่องไม้แบบโบราณโดยไม่ใช้เครื่องจักรทุ่นแรงอื่นใด เช่น การเตรียมเส้นใย ก็ใช้วิธีการตีเกลียวจากการปั่นมือด้วยไน ผ้าทอมือที่มีชื่อเสียงของบ้านคำปุนคือ ผ้าไหมมัดหมี่ทอผสมเทคนิคจก ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งผลิตเดียวในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์คิดค้นผ้าไหมแบบต่างๆ เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ทอสอดเสริมเส้นพุ่งด้วยลูกปัดแก้วหรือหินต่างๆ และเม็ดเงิน รวมทั้งผ้าทอยกทองแบบอุบลฯ นอกจากนี้บ้านคำปุนยังเป็นผู้นำในการคิดค้น "ผ้ากาบบัว" คือเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลฯ
มีลักษณะกึ่งพิพิธภัณฑ์ เป็นของเอกชน คำปุนเป็นชื่อเจ้าของบ้านคือ คุณแม่คำปุน ศรีใส เป็นผู้มีภูมิปัญญาทางด้านการทอผ้าพื้นบ้านทุกประเภทโดยเฉพาะผ้าไหม บ้านคำปุนประกอบด้วยเรือนไทยอีสานประยุกต์ที่งดงามและมีเอกลักษณ์ ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและด้านการตกแต่งภูมิทัศน์ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองอีสานที่อนุรักษ์สั่งสมผ้าโบราณสูงค่า
บ้านปะอาว
ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองขอน ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 18 กม. ตามทางหลวงหมาย เลข 23 ทางไปยโสธร ถึงหลักกม.ที่ 273 เลี้ยวขวาไปอีก 3 กม. เป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่มากแห่ง หนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี ตามประวัติศาสตร์นั้น
บ้านปะอาวเกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของเมืองอุบลราชธานี เมื่อ 200 ปีก่อน ตำนานของชุมชนบ้านปะอาวกล่าวว่า พระวอ และ พระตา ซึ่งเป็นชาวนครเวียงจันทน์ เป็นคนนำไพร่พลอพยพหนีภัยมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต หรืออาณาจักรล้านช้าง มาตั้งบ้านเมืองที่หนองบัวลุ่มภู ที่ปัจจุบันเป็น จ.หนองบัวลำภู แต่ต่อมาเกิดศึกสงคราม พระวอกับพระตาสิ้นพระชนม์ ไพร่พลส่วนหนึ่งจึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านปะอาว พร้อมกับนำเอาภูมิปัญญาการทำทองเหลืองติดมาด้วย
การทำทองเหลืองที่บ้านปะอาวนั้นเรียกว่าการหล่อแบบ ขี้ผึ้งหาย หรือ แทนที่ขี้ผึ้ง ที่สำคัญคือ ไม่มีการเขียนเทคนิคการทำทองเหลืองแบบนี้ไว้ในตำรามากนัก แต่เป็นการจดจำทำกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จึงไม่แปลกที่ภายในหมู่บ้านจะพบชาวบ้านวัยต่างๆช่วยกันทำเครื่องทองเหลือง โดยวิธีการหล่อทองเหลืองแบบขี้ผึ้งหาย ค่อนข้างจะมีขั้นตอนมาก เริ่มจากการ ตำดินโพน หรือดินจอมปลวกที่ผสมมูลวัวและแกลบ คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นจึงนำดินที่คลุกเคล้าแล้วมาปั้นเป็นหุ่นหรือปั้นพิมพ์ที่แห้งแล้วใส่เครื่องกลึง ที่เรียกว่า โฮงเสี่ยน เพื่อกลึงพิมพ์ หรือ เสี่ยนพิมพ์ ให้ผิวเรียบและได้ขนาดตามต้องการพอได้พิมพ์ที่มีขนาดตามต้องการแล้ว ก็จะ เคียนขี้ผึ้ง คือ ใช้ขี้ผึ้งที่ทำเป็นเส้นพันรอบหุ่น แล้วกลึงขี้ผึ้งด้วยการลนไฟบีบให้ขี้ผึ้งเรียบเสมอกัน พร้อมกับพิมพ์ลายหรือใส่ลายรอบหุ่นขี้ผึ้งตามต้องการ แล้วจึงใช้ดินผสมมูลวัวโอบรอบหุ่นที่พิมพ์ลายแล้วให้โผล่สายฉนวนไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โลหะหลอมไหลไปที่อื่น จากนั้นจึงใช้ดินเหนียวผสมแกลบเพื่อวางบนดินได้แล้วสุมเบ้าโดยวางเบ้าคว่ำและนำไฟสุมเพื่อให้ขี้ผึ้งละลายออกจากเบ้า แล้วเทโลหะที่หลอมละลายลงในเบ้า ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเย็นลงแล้วก็จะแกะลูก คือ ทุบเบ้าดินเพื่อเอาทองเหลืองที่หลอมแล้วออกมากลึงตกแต่งด้วยเครื่องกลึงไม้และโลหะขั้นตอนนี้เรียกว่า มอนใหญ่ คือ กลึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปร่างแล้ว และตกแต่งเติมรายละเอียดของลวดลายให้มีความคมชัดและสวยงาม
ซึ่งสถานที่แห่งนี้ได้รวบรวมการทำทองเหลืองของหมู่บ้านอยู่ที่ ศูนย์หัตถกรรมเครื่องทองเหลืองบ้านปะอาว ซึ่งตั้งขึ้นโดยชาวบ้าน ที่นี่จะมีการหล่อทองเหลืองแล้วยังมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้กับลูกหลาน นอกจากนี้แล้วในหมู่บ้านยังมีศูนย์สาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทองเหลือง และทอผ้า ไหมที่สวยงาม เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
บทที่ 3
วิธีการดำเนินการ
1. วิธีการดำเนินงาน
1.1. ขั้นตอนการดำเนินงาน
- ให้รู้แนวทางที่จะกำหนดหัวข้อ เช่น ควรจะศึกษาเรื่องอะไรที่มีผลต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมอีกทั้งเรายังสามารถเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยในการอนุรักษ์วัฒนธรรมในส่วนนั้นได้ เป็นต้น
- เมื่อทราบในแนวทางที่ต้องการ จึงให้ทุกคนในคณะกลุ่มนำเสนอความคิด ในเรื่องของการตั้งชื่อหัวข้อ
- เลือกหัวข้อจากการนำเสนอของคณะกลุ่ม
- วางแผนการดำเนินงาน โดยการมอบหมายให้แต่ละคนรับผิดชอบงาน(ตามความเหมาะสม)
- ทำการศึกษาข้อมูลพร้อมทั้ง แสดงความคิดเห็นภายในกลุ่ม เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องอนุรักษ์
- เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด
- รวบรวมเป็นรูปเล่ม
- ขึ้นรูปเล่มและโครงงาน
- นำเสนอ
1.2. การรวบรวมเก็บข้อมูล
เมื่อกำหนดขอบเขตของโครงงานเสร็จแล้ว จากนั้นทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ในเว็บไซค์ โดยสืบหาบางสถานที่ (เนื่องจากแต่ละสถานที่ อาจจะเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอยู่แต่เดิมแล้วจึงทำให้ต้องเลือกสถานที่ทั้งมีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักกันเพียงในท้องถิ่น)
1.3. การวิเคราะห์ข้อมูล
ศึกษาข้อมูลที่รวบรวมมาได้ นำมาวิเคราะห์ โดยอ้างจากข้อมูลที่มีอยู่ของสถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักกันหรือไม่ หากไม่ จะทำให้ทราบว่าสถานที่ดังกล่าวควรค่าอย่างยิ่งในการอนุรักษ์และนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ได้ทราบโดยทั่วกัน
2. 2.แผนการปฏิบัติโครงงาน
ขั้นตอน/กิจกรรม | ระยะเวลา | ผู้รับผิดชอบ | จำนวนเงิน |
1.1. ขั้นวางแผนเตรียมการ - ศึกษาแนวทางจากที่คุณครูกำหนด - เสนอความคิดของสมาชิก - วางแผนและมอบหมายงาน - ทำการเตรียมการของคณะกลุ่มให้พร้อม | 2 วัน | คณะกลุ่ม | - |
1.2. ขั้นดำเนินการ - ค้นหาข้อมูลตามแนวทางที่กำหนด - รวบรวมข้อมูล | 1 สัปดาห์ | คณะกลุ่ม | - |
1.3. ขั้นสรุปและประเมินผล - นำข้อมูลทั้งหมด มารวบรวมใหม่อีกครั้ง - วิเคราะห์ข้อมูล - เข้ารูปเล่ม ขึ้นโครงงาน - นำเสนองาน | 2 สัปดาห์ | คณะกลุ่ม | 300 บาท |
บทที่ 4
ผลการดำเนินโครงงาน
จากการศึกษาข้อมูล ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลทำให้คณะผู้จัดทำเห็นถึงความสำคัญของสถานที่ที่มีอยู่ภายในจังหวัดอุบลราชธานี จากข้อมูลที่ได้เช่น
1. รู้จักสถานที่แห่งนี้หรือไม่ รู้จักมากน้อยเพียงใด
2. เหตุใดจึงรู้จัก
3. มีความรู้สึกอย่างไรต่อสถานที่แห่งนั้น
4. หากคุณรู้จักหรือคุณเคยไป ณ สถานที่แห่งนั้นแล้ว คุณมีความทรงจำกับสถานที่แห่งนั้นหรือไม่
บทที่ 5
สรุปผลการทำโครงงาน
5.1. สรุปผลของการทำโครงงาน
เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ สถานที่ สังคมและวัฒนธรรม จึงอาจทำให้บางสถานที่ไม่เป็นที่รู้จัก จังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็น 1 ในจังหวัดของประเทศไทยที่มีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลทางด้านสถานที่ และถือเป็นการอนุรักษ์สถานที่ที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้สถานที่เหล่านั้นสูญหายไปกับการเวลา จึงได้มีการรวบรวมข้อมูลจากการตั้งคำถาม ดังนี้ 1.รู้จักสถานที่แห่งนี้หรือไม่ 2.รู้จักมากน้อยเพียงใด 3.เหตุใดจึงรู้จัก มีความรู้สึกอย่างไรต่อสถานที่แห่งนั้น 4.หากคุณรู้จักหรือคุณเคยไป ณ สถานที่แห่งนั้นแล้ว คุณมีความทรงจำกับสถานที่แห่งนั้นหรือไม่ ซึ่งสถานที่ที่คนรู้จักมากสุดคือ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม แต่หากกล่าวถึงผ้ากาบบัวของอุบลราชธานีทุกคนกลับรู้จัก แต่กลับไม่รู้จักบ้านปุนคำที่มีชื่อเสียงด้านการทอผ้าทั้งผ้าไหม ผ้ากาบบัวเป็นต้นนอกเสียจากจะเป็นชาวบ้านหรือคนในท้องถิ่นที่รู้จักทราบกันดี
จึงทำให้เห็นว่าบางสถานที่นั้นที่ไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพรหลาย เพราะเนื่องด้วยจากการขาดข้อมูล ตลอดจนขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี อาจทำให้ผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวหรือเยี่ยมชมสถานที่ในจังหวัดอุบลราชธานีไม่ทราบถึงการมีอยู่ของสถานที่ แล้วหากเป็นเช่นนี้อาจทำให้สถานที่ที่มีคุณค่าต่อจังหวัดอุบลราชธานีอาจหลงเหลือเพียงแต่ชื่อเสียงที่เคยเล่าขาน ดังนั้นการที่ให้ข้อมูลของสถานที่แต่ละแห่งนั้นจึงถือเป็นการให้ข้อมูลอีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ไว้โดยการให้ผู้คนเข้ามาท่องเที่ยว เยี่ยมชม ตลอดจนเก็บภาพบรรยากาศและความทรงจำดีๆเอาไว้ในใจและถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถทำให้สถานที่แห่งนั้นมีชื่อเสียงได้
5.2. ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สถานที่แห่งนั้น ตลอดจนยกเป็นสถานที่ที่สำคัญที่ควรค่าอย่างยิ่งแก่การเยี่ยมชม หรือท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้สถานที่แห่งนั้นเป็นแค่สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ภายในจังหวัดอุบลราชธานี
2. ต้องการให้ผู้คนมีความทรงจำที่ดี ทั้งในเรื่องของสถานที่และจังหวัดอุบลราชธานี
3. โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชควรมีการพัฒนาหลักสูตรในด้านความรู้พื้นฐานของจังหวัดอุบลราชธานีมากกว่าเดิม เช่น เรื่องของสถานที่ที่มีอยู่ในเมืองอุบลราชธานี หรือสถานที่ใดที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่นักเรียนได้นอกเหนือจากห้องสมุดที่มีเพียงตำราเรียนเท่านั้นที่สามารถให้ความรู้นักเรียนได้ เป็นต้น
4. ควรตั้งกิจกรรมให้เด็กๆสอบถามหรือตั้งกิจกรรมทัศนาศึกษา เกี่ยวกับเรื่องสถานที่ที่มีอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี
อ้างอิง