ข้อสอบระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์

          เกิดความรู้สึกท้องถิ่นนิยม (Localism) กระแสโลกาภิวัตน์สร้างความรู้สึกท้องถิ่นนิยมแทนที่อุดมการณ์ชาตินิยม เนื่องจากสังคมยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคแห่งข่าวสาร ซึ่งประชาชนใน ท้องถิ่นสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของตนได้อย่างรวดเร็วจากสื่อมวลชน ทำให้เกิดการปลุกจิตสำนึกของประชาชนในท้องถิ่น ให้รู้จักเห็นคุณค่าอนุรักษ์ รักษา และหวงแหนทรัพยากรภายในท้องถิ่นของตน พร้อมทั้งตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลกลาง หากรัฐบาลกลางหวังจะตักตวงผลประโยชน์จากท้องถิ่นโดยไม่โปร่งใส ก็จะถูกต่อต้านจาก ประชาชนในท้องถิ่น ดังที่เราได้พบเห็นที่กลุ่ม ประชาชน ออกมาเรียกร้อง สิทธิ ความเสมอภาคต่างๆ

มีความเกี่ยวข้องกันเนื่องจากมิติความสามารถในการประกอบธุรกิจและการบูรณาการทางธุรกิจ คือ การขายการผลิต การเงิน และโลจิสติกส์ เข้าด้วยกันเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของผลิตภัณฑ์และสารสนเทศ


3. ผู้จัดหาวัสดุเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตสินค้าจัดอยู่ในโครงสร้างใดของโซ่อุปทาน


ตอบ โครงสร้างของโซ่อุปทาน (แหล่งต้นทาง)


4. การขายหนังสือบนเว็บที่มีจัดส่งเนื้อหาในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วยสายงานใดบ้างภายใต้โซ่อุปทาน


ตอบ รายงานด้านสารสนเทศและสายงานด้านการเงิน


5. บุลวิป เอฟเฟก คือปัญหาเรื่องใดภายใต้โซ่อุปทานจงอธิบาย


ตอบ จากความไม่แน่นอนซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การพยากรณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้า และความไม่แน่นอนด้านระยะยเวลาการขนส่งสินค้าและความไม่แน่นอนจากการตั้งค่าระดับสินค้าคงเหลือของชิ้นส่วนที่ใช้ภายใต้โซ่อุปทาน


6. อาร์เอฟดีไอ คือ เทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานอย่างไร


ตอบ คือ กิจการจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่ายและผู้ผลิตโดยองค์การจะให้ผู้จัดหารายใหญ่แนบป้ายระบุความถี่วิทยุ ติดกับแท่นวางสินค้าหรือกล่องสินค้าในระหว่างที่ขนส่งสินค้ามายังองค์การและใช้ป้ายนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารข้อมูลการขนส่งสินค้าภายในองค์การ รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศด้านสินค้าคงเหลือต่อหุ้นส่วนธุรกิจและผู้จัดหาทุกระดับชั้นอันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ


7. จงยกตัวอย่างสื่อที่ใช้ภายใต้ระบบประยุกต์ด้านสัมผัสลูกค้า


ตอบ ระบบการสื่อสารด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์คือ ระบบที่มุ่งเน้นในการที่จะได้ลูกค้ามาและธำราลูกค้าเหล่านั้นไว้ เป้นต้น


8. จงยกตัวอย่างบริการขั้นพื้นฐานของ อี ซีอาร์เอ็ม


ตอบ ตัวอย่างขั้นพื้นฐานของ อี ซีอาร์เอ็ม เช่น อีเมล เครื่องปลายทาง ณ จุดขาย ศูนย์บริการทางโทรศัพท์และการขายตรงเพื่อจัดการงานด้านลูกค้าสัมพันธ์ การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล และการออกแบบโปรแกราด้านความจงรักภักดีต่อผลิตภัณฑ์


9. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรอย่างไร


ตอบ เนื่องจากระบบสารสนเทศการจัดการความรู้ประกอบไปด้วยความรู้และความชำนาญ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานที่มักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เฉกเช่นกับการวางแผนทรัพยากรองค์การ คือ การนำเทคโนโลยีในด้านต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนทางธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจมีความประสบผลสำเร็จตามวัตถุปรสงค์ที่ตั้งไว้


10. การแพร่กระจายความรู้ทั่วทั้งองค์การ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านใดบ้าง


ตอบ เทคโนโลยีด้านเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล


 


ระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์


1. ความหมาย


                ระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์ คือ ระบบที่มีการเชื่อมโยงระบบสารสนเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีด้านเครือข่ายและสื่อสารข้อมูลเข้าร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการแพร่กระจายสารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การโดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรมด้านโซ่อุปทานและการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ตลอดจนการใช้สารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจทางธุรกิจในระดับสูง


2. วิวัฒนาการ


                ธุรกิจได้นำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อจัดการงานตามสายงานของโซ่อุปทานเพื่อทดแทนการทำงานภายใต้ระบบมือที่ล่าช้าและมักเกิดข้อผิดพลาดอยู่เสมอ มีการใช้ซอฟแวร์ด้านการจัดการสินค้าคงเหลือ การจัดสรรทรัพยากรและวัสดุ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการทำงานให้เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีผลให้ลดต้นทุนและลดข้อผิดพลาดในการทำงานได้ด้วย แต่การทำงานคงจำกัดอยู่บนเฉพาะพื้นที่งานที่เกี่ยวข้องและมีความเป็นอิสระจากพื้นที่งานอื่นๆ


                ดังนั้นจึงมีการพัฒนาแบบจำลองด้านการวางแผนความต้องการวัสดุขึ้น โดยเกิดจากการรวมตัวของงานด้านการผลิต การจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงเหลือ ตลอดจนการมรปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ อันจะส่งผลถึงการลดต้นทุนการดำเนินงานและการเพิ่มสมรรถนะของระบบคอมพิวเตอร์ให้สูงขึ้น ทั้งยังมุ่งเน้นงานด้านการปรับปรุงข้อมูลรายวันด้วย ดังนั้นจึงมีการพัฒนาโปรแกรมการวางแผนความต้องการวัสดุ (เอ็มอาร์พี) วางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในตลาดซอฟแวร์เพื่อใช้ประโยชน์ในการลดระดับสินค้าคงคลังและการปรับปรุงงานด้านต่างๆของโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


                วิวัฒนาการขั้นต่อไป คือ การบูรณาการระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานของธุรกิจเข้าด้วยกัน นำไปสู่การวางแผนทรัพยากรองค์กร (อีอาร์พี) มีฟังก์ชันการทำงานที่เพิ่มขึ้นของเอ็มอาร์พี II ด้วยการเชื่อมต่อระบบประมวลผลธุรกรรม (ทีพีเอส) เข้ากับระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานแนวไขว้


3. การบูรณาการด้านซอฟแวร์


องค์การจำเป็นต้องมีการบูรณาการด้านซอฟแวร์ของระบบสารสนเทศใน 2 รูปแบบดังนี้


3.1 การบูรณาการภายในองค์การ หมายถึง การรวมตัวของระบบประยุกต์ด้านต่างๆ


3.2 การบูรณาการภายนอกองค์การหมายถึง การรวมตัวของระบบประยุกต์และฐานข้อมูลระหว่างธุรกิจ


ระบบวิสาหกิจ


                ระบบสารสนเทศที่เป็นตัวแทนของระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์ ชื่อเต็มว่า ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ ซึ่ง Turban et al จำกัดความไว้ว่า ระบบวิสาหกิจคือ ระบบหรือกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตงานทั่วทั้งองค์กรหรืองานมนหน้าที่หลักขององค์การ จัดเป็นระบบสารสนเทศที่มีความแตกต่างจากระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน มักถูกจำกัดขอบเขตในแต่ละแผนกหรือในแต่ละพื้นที่งานอย่างชัดเจน


                O’brien กล่าวไว้ว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจบันมักจะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาระบบวิสาหกิจด้านหน้าที่งานแนวไขว้ คือ หน้าที่งานหนึ่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของสองหน่วยงาน ทั้งหน้าที่งานด้านการทดสอบตลาด อาจอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของฝ่ายวิจัยและพัฒนาและฝ่ายการตลาด


Laudon and Laudon ระบุถึงผลประโยชน์ที่องค์การควรจะได้ใช้จากการใช้ระบบวิสาหกิจที่มุ่งเน้นการบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจให้อยู่ภายใต้การทำงานระบบเดียว ผลประโยชน์เหล่านี้จะอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงมิติต่างๆ ดังนี้


มิติที่ 1 โครงสร้างองค์กร


มิติที่ 2 กระบวนการจัดการที่มุ่งเน้นการจัดการฐานความรู้ทั่วทั้งองค์กร


มิติที่ 3 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มีการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว


มิติที่ 4 ความสามารถในการประกอบธุรกิจ


ระบบสารสนเทสด้านการจัดการโซ่อปทาน


โซ่อุปทาน หมายถึง สายงานทางด้านวัสดุ สารสนเทศและเงินรวมทั้งบริการต่างๆ จากผู้จัดหาวัตถุดิบซึ่งไหลผ่านโรงงาน โดยมีการสร้างและส่งมอบสินค้าและบริการแก่ลูกค้าโดยหมายรวมถึงภาระหน้าที่งานด้านต่างๆ


การจัดการโซ่อุปทานหรือ เอสซีเอ็ม คือ การวางแผนการจัดโครงสร้าง และการทำให้เกิดผลที่ดีที่สุดต่อกิจกรรมใดๆ ของโซ่อุปทาน มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนแนวคิดด้านการจัดการโซ่อุปทาน


โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ คือ การจัดการโซ่อุปทานโดยใช้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์มักใช้ร่วมกับระบบบนเว็บ มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของโซ่อุปทานให้ดีขึ้น เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจของโซ่อุปทานแบบเดิมให้เป็นระบบที่มีการไหลของสารสนเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ จำแนกหัวข้อย่อยได้ 6 หัวข้อ ดังนี้


1. สายงานด้านโซ่อุปทาน


Turban et al ได้จำแนกถึงสายงานด้านโซ่อุปทานออกเป็น 3 รูปแบบดังนี้


1.1 สายงานด้านวัสดุ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทางกายภาพทั้งหมด


1.2 สายงานด้านสารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความต้องการวัสดุ การลำเลียง วัสดุ การรับคำสั่งซื้อ


1.3 สายงานด้านการเงิน หมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน การจ่ายเงินสารสนเทศ


2. โครงสร้างและระดับชั้นของผู้จัดหา


                2.1 โครงสร้างของโซ่อุปทาน มีความเกี่ยวข้องกับ 3 ส่วนงานดังนี้


                                2.1.1 แหล่งต้นทาง คือ แหล่งวัสดุภายในองค์การหรืออาจทำการจัดหาจากผู้ขายวัสดุภายนอกองค์การ


                                2.1.2 แหล่งภายใน คือ แหล่งที่มีการบรรจุ การประกอบ การผลิตสินค้าและบริการเกิดขึ้น


                                2.1.3 แหล่งตามทาง คือ แหล่งกระจายวัสดุ อาจเป็นการกระจายโดยผู้แทนจำหน่ายภายนอกองค์การ


                2.2 ระดับชั้นของผู้จัดหา คือ องค์ประกอบหนึ่งของโซ่อุปทานโดยปกติจะมีหลายระดับชั้นหรือมีเพียงระดับชั้นเดียวขึ้นอยู่กับแต่ละกระบวนการในบางกระบวนการที่ประกอบด้วยผู้จัดหาหลายระดับชั้น


3. การออกแบบโซ่อุปทาน


                มีการจำแนกรูปแบบของโซ่อุปทานออกเป็น 4 ประเภท คือ การผลิตเป็นสินค้าคงคลังแบบบูรณาการ การเติมเต็มสินค้าอย่างต่อเนื่อง การผลิตตามคำสั่ง ช่องทางการประกอบชิ้นส่วน ดังนั้นในการออกแบบโซ่อุปทานธุรกิจจึงควรเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ


                สำหรับการออกแบบที่ดีจะต้องบรรลุเป้าหมายด้านการลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงตามสายงานของโซ่อุปทาน ดังนั้น การลดระดับสินค้าคงเหลือและเวลาที่ใช้ภายใต้วัฏจักรโซ่อุปทานโดยอาศัยการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและงานด้านการบริการลูกค้ามีผลทำให้ธุรกิจทำกำไรได้เพิ่มขึ้นและสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน


4. ปัญหาด้านโซ่อุปทาน


                มีสาเหตุมาจากภายในองค์การเองอันเนื่องจากความยาวและความซับซ้อนของโซ่อุปทานนั้น หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากภายนอกองค์การรวมทั้งในกรณีที่มีสัมพันธมิตรมาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนสาเหตุของปัญหาที่มักเกิดขึ้นในสายงานด้านโซ่อุปทานมี 2 ประการคือ


                ประการที่ 1 จากความไม่แน่นอน มีปัจจัยหลายประการส่งผลต่อการพยากรณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้าแต่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้แต่สามารถวัดความไม่แน่นอนได้ทันทีโดยใช้กลยุทธ์ด้านสารสนเทศและการสร้างแรงกระตุ้นด้านความต้องการผลิตภัณฑ์ช่วยสนับสนุน อาจเกิดจากความไม่แน่นอนด้านระยะเวลาการขนส่งสินค้าและความไม่แน่นอนจากการตั้งค่าระดับสินค้าคงเหลือของเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากโซ่อุปทาน ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของสารสนเทศและการเปลี่ยนแปลงความต้องการผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็วจึงกระทั่งเกิดโลจิสติกส์สวนกลับหรือการส่งวัสดุหรือผลิตภัณฑ์คืนภายใต้โซ่อุปทานหรือสาเหตุหนึ่งคือ ในช่วงระหว่างการขายปลีกเกิดปัญหาด้านสินค้าคงเหลือส่วนเกินจำเป็นต้องส่งคืนกลับไปยังผู้จัดจำหน่ายเป็นทอดๆไป


                ประการที่ 2 จากความต้องการประสานงานในกิจกรรมที่หลากหลายภายในหน่วยธุรกิจและหุ้นส่วนธุรกิจ อาจใช้วิธีแบ่งปันสารสนเทศมาใช้เพื่อปรับปรุงการงานภายใต้โซ่อุปทาน ช่วยลดความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ด้วย


5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


                แนวทางปกติที่ธุรกิจนำมาใช้คือ การใช้วิธีการสินค้าคงคลังเพื่อรับประกันว่าสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหรือชิ้นส่วนขาดมือได้ แต่อาจทำให้ต้นทุนรวมของสินค้าสูงได้ ดังนั้นองค์การจึงอาจเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยแก้ปัญหา มี 5 วิธีการดังนี้


                5.1 การแบ่งปันด้านสารสนเทศ


                5.2 การใช้เทคโนโลยีการกำหนดความถี่วิทยุหรือ อาร์เอฟไอดี


                5.3 การเปลี่ยนโซ่อุปทานเส้นตรงเป็นฮับ


                5.4 ความร่วมมือด้านโซ่อุปทาน


                5.5 โรงงานเสมือน


6. ผลประโยชน์ที่ได้รับ


O’brien ได้ระบุถึงประโยชน์ของเอสซีเอ็มที่มีศักยภาพต่อธุรกิจ ดังนี้


1. ธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมภายใต้โซ่อุปทานได้อย่างรวดเร็ว


2. ธุรกิจสามารถลดระดับสินค้าคงคลัง


3. ธุรกิจสามารถส่งมอบสินค้าเข้าสู่ตลาด


4. ธุรกิจสามารถสร้างสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับผู้หาและหุ้นส่วนธุรกิจ


ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์


1. แนวคิดและความหมาย


                Turban et al. (2006, p. 318) นิยามไว้ว่า การจัดการลูกค้าสัมพันธ์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซีอาร์เอ็ม หมายถึง ความพยายามทั่วทั้งองค์การที่จะได้ลุกค้ามา อีกทั้งธำรงรักษาลูกค้านั้นไว้ ตระหนักว่าลูกค้าคือ แกนหลักของธุรกิจ ดังนั้น ความสำเร็จของธุรกิจจะขึ้นกับงานด้านซีอาร์เอ็มอย่างมีประสิทธิผล โดยมีการมุ่งเน้นถึงการสร้างความสัมพันธ์และการคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว


                O brien (2005, p. 219) ระบุถึงวัตถุประสงค์ 2 ข้อ ดังนี้


                ข้อที่ 1 เพื่อสนับสนุนให้องค์การและลูกจ้างขององค์การสามารถเผชิญหน้ากับลูกค้ารายบุคคลในทุกๆมุมมองของการสัมผัสลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ


                ข้อที่ 2 เพื่อสนับสนุนลูกค้ารายบุคคลให้มีภาพพจน์ที่ดีต่อบริษัท ตลอดจนมีการขยายช่องทางผ่านการจำหน่ายที่หลากหลายรูปแบบ โดย Turban et al. (2006, p. 318) ได้จำแนกประเภทของระบบประยุกต์ดังนี้


1.1 ระบบประยุกต์ด้านเผชิญหน้ากับลูกค้า


1.2 ระบบประยุกต์ด้านสัมผัสลูกค้า


1.3 ระบบอัจฉริยะด้านรวมศูนย์ลูกค้า


ดังนั้นการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จำเป็นต้องใช้ระบบประยุกต์ด้านเครือข่ายออนไลน์ เข้าร่วมด้วยซึ่งใช้เครือข่ายออนไลน์เข้าร่วมเพื่อแสวงหาโอกาสและการสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับบุคคลต่างๆ ในวงการธุรกิจ


2. รูปแบบของการจัดการลูกค้าสัมพันธ์


                Turban et al. (2006, p. 318) จำแนกรูปแบบหลักของการจัดการลูกค้าสัมพันธ์หรือ ซีอาร์เอ็มออกเป็น 4 รูปแบบ


                2.1 ซีอาร์เอ็มเชิงกิจกรรม


                2.2 ซีอาร์เอ็มเชิงปฏิบัติการ


                2.3 ซีอาร์เอ็มเชิงวิเคราะห์


                2.4 ซีอาร์เอ็มเชิงร่วมมือ


3. เทคโนโลยีด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์


                3.1 ซอฟแวร์ซีอาร์เอ็ม O brien (2005, p. 219) ได้จำแนกประเภทซอฟแวร์ซีอาร์เอ็มเป็น 5 ประการดังนี้


                                3.1.1 การใช้ซอฟแวร์ด้านการติดต่อลูกค้า


                                3.1.2 การใช้ซอฟแวร์ด้านการขาย


                                3.1.3 การใช้ซอฟแวร์ด้านการตลาด


                                3.1.4 การใช้ซอฟแวร์ด้านการบริการและสนับสนุนลูกค้า


                                3.1.5 การใช้ซอฟแวร์ด้านการธำรงรักษาลูกค้าและสร้างโปรแกรมความจงรักภักดี


                3.2 การจัดการลูกค้าสัมพันธ์อิเล็กทรอนิกส์หรือ ซีอาร์เอ็ม โดยระบบนี้เริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่องค์การเริ่มใช้โปรแกรมค้นดูเว็บอินเทอร์เน็ตและจุดสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์


                Turban et al. (2006, p. 318) ได้ทำการจำแนกขอบเขตที่แตกต่างกันของซีอาร์เอ็ม ได้ 3 ระบบดังนี้


                ระดับที่ 1 การบริการขั้นพื้นฐาน


                ระดับที่ 2 ศูนย์บริการลูกค้า


                ระดับที่ 3 ระบบบริการลูกค้าบนเว็บ คือ การบริการลูกค้าบนเว็บสามารถทำได้หลายรูปแบบดังนี้


                                3.3.1 ความสามารถด้านการค้นหาและเปรียบเทียบร้านค้าออนไลน์บนเว็บ


                                3.3.2 การเสนอผลิตภัณฑ์และบริการฟรี


                                3.3.3 การสั่งทำสินค้าและบริการ


                3.4 ซีอาร์เอ็มไร้สาย สำหรับเครื่องมือซีอาร์เอ็มในระบบไร้สาย เช่น หน่วยขายอัตโนมัติเคลื่อนที่และระบบบริการลูกจ้างไร้สาย ให้บริการแก่สารสนเทศแก่ลูกจ้างในขณะที่ปฏิบัติงาน ณ สำนักลูกค้ากำลังเป็นที่นิยมตลอดจนมีการใช้เอสเอ็มเอสและอีเมล์จากโทรศัพท์มือถือเป็นตัวเสริมการทำงานด้วย


                3.5 ศูนย์บริการทางโทรศัพท์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของงานบริการลูกค้า ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเผชิญหน้าขององค์การกับลูกค้า


4. ผลประโยชน์ที่ได้รับ


                1. ธุรกิจสามารถบ่งชี้ถึงลูกค้าและตั้งเป้าหมายที่ดีแก่ลูกค้านั้น ก่อให้เกิดกำไรสูงสุดของธุรกิจตามมา


                2. ธุรกิจสามารถสะสมลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นด้วยการสร้างงานบริการที่ก่อให้เกิดผลกำไร


                3. ธุรกิจสามารถรองรับความต้องการด้านผลิตภัณฑ์และบริการส่วนบุคคลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการ


                4. ธุรกิจสามารถสร้างรายการติดต่อลูกค้าได้ทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่ต้องคำนึงถึงจุดติดต่อใดๆจากความต้องการของลูกค้า


                5. ธุรกิจสามารถให้การสนับสนุนที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของลูกค้าด้วยบริการที่นอกเหนือจากความต้องการของลูกค้า


ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร


                O brien (2005, p. 219) นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรหรือ อีอาร์พี คือ เทคโนโลยีหนึ่ง ถือเป็นกระดูกสันหลังของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการประมวลผลธุรกรรมบริเวณกว้างของวิสาหกิจที่เชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจต่างๆ เข้าด้วยกัน


1. การบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจหลัก


                Laudon and Laudon (2005, p. 219) กล่าวไว้ว่า ระบบอีอาร์พีคือ ระบบวิสาหกิจหนึ่ง มีจุดมุ่งเน้นในส่วนของการบูรณาการตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมโยงมอดูลต่างๆของซอฟแวร์กับฐานข้อมูลรวมขององค์การเริ่มตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดเก็บภายในบานข้อมูล การป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบประยุกต์ซึ่งใช้สนับสนุนงานเกือบทั้งหมดของกิจกรรมภายในองค์การ สารสนเทศนั้นจะถูกประมวลผลทันทีเพื่อสามารถนำไปใช้ประโยชน์สำหรับกระบวนการทางธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ระบบยังสามารถสร้างข้อมูลส่วนขยายขององค์การสำหรับการวิเคราะห์ด้านการจัดการต้นทุนและความสามารถทำกำไรของผลิตภัณฑ์ต่างๆ


                การเริ่มใช้งานระบบอีอาร์พีจึงเปรียบเสมือนตัวเร่งให้ธุรกิจทำการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจขององค์การให้ดีขึ้นทั้งในส่วนกระบวนการทางธุรกิจหลักและในส่วนกระบวนการทางธุรกิจของการเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่น โดยอาศัยซอฟแวร์ด้านเครื่องมือที่สำคัญช่วยสนับสนุน


2. วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด


                การพัฒนาซอฟแวร์ อีอาร์พี ตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ด้านกระบวนการทางธุรกิจและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยซอฟแวร์จะนำเสนอทางเลือกที่เป็นแบบฉบับของธุรกิจประสบผลสำเร็จหรือทางเลือกด้านวิธีการจัดหาอุปกรณ์ใหม่ และจัดทำแผนที่กระบวนการเพื่อแสดงถึงขั้นตอนที่ต้องกระทำเพื่อให้กระบวนการถูกดำเนินอย่างสมบูรณ์แบบ


3. วิวัฒนาการด้านการพัฒนาซอฟแวร์


                ซอฟแวร์ด้าน อีอาร์พี คือ สถาปัตยกรรมด้านซอฟแวร์หนึ่งเดียวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซอฟแวร์เบ็ดเสร็จ มีการรวมตัวด้านการวางแผน การจัดการและการใช้ทรัพยากรทั่วทั้งองค์การและประกอบด้วยชุดคำสั่งของระบบประยุกต์ที่ครอบคลุมถึงการปฏิบัติงานประจำส่วนหลังโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการใช้ซอฟแวร์อีอาร์พีจึงมุ่งสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของงานการปรับปรุงคุณภาพ การเพิ่มผลผลิต และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ จำแนกได้ 3 รุ่นดังนี้


                3.1 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่หนึ่ง มุ่งเน้นถึงกิจกรรมภายในองค์การเป็นงานเป็นที่ทำซ้ำๆ กันในทุกๆวันทำการ โดยมีการรวมตัวของระบประยุกต์หลายๆระบบเข้าด้วยกัน


                3.2 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สอง มุ่งเน้นถึงการเพิ่มพลังอำนาจที่มีอยู่เดิมของระบบสารสนเทศ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการธุรกรรมการตัดสินใจที่ดีขึ้น มีการเปลี่ยนวิถีทางการทำธุรกิจเพื่อเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการรวมตัวของระบบอีอาร์พีกับระบบเอสซีเอ็มที่มุ่งเน้นงานด้านการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น


                ขั้นต่อไปของการพัฒนาซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สองคือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์และตัดสินใจมากยิ่งขึ้นจึงมีกี่เพิ่มผลิตภัณฑ์หลักในส่วนของอัจฉริยะทางธุรกิจ (บีไอ) เพื่อใช้เสริมสร้างการทำงานภายใต้โซ่อุปทานให้เกิดผลดีที่สุด


                3.3 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สาม มุ่งเน้นถึงการรวมตัวเข้ากับระบบบริหารโครงการ ดังนี้


                                1. เป็นการผสมผสานการทำงานกับหน่วยทำงานด้านโลจิสติกส์


                                2. เป็นการผสมผสานการทำงานของศูนย์กระจายสินค้า


                                3. เป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงแหล่งผลิตภัณฑ์ของการผลิต


                                4. เป็นการแบ่งปันด้านการผลิต


                                5. เป็นการรวมฐานทางการขาย


                                6. เป็นการสร้างศูนย์รวมของผู้ขายผลิตภัณฑ์


4. การบูรณาการระบบสารสนเทศ


                4.1 การบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ด้านการจัดการโซ่อุปทาน ซอหแวร์ด้านอีอาร์พีจะมุ่งเน้นถึงวิธีการได้คำสั่งซื้อนั้นมาและการทำคำสั่งซื้อให้บรรลุผลแต่ซอฟแวร์ด้านเอสซีเอ็มจะมุ่งเน้นความเป็นไปได้ของการได้มาซึ่งคำสั่งซื้อ มีการวางแผนและการตัดสินใจภายใต้ส่วนงานต่างๆของโซ่อุปทาน ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันนี้จึงมีการใช้ซอฟแวร์อีอาร์พีพั่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเอสซีเอ็ม มีจุดเน้นถึงการทำงานในทุกขั้นตอนของโซ่อุปทานส่งผลให้ภาพพจน์และจุดมุ่งหมายของอค์การมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น


                ในส่วนทางเลือกของการรวมตัวของซอฟแวร์ด้านอีอาร์พีและเอสซีเอ็มคือ การเชื่อมต่อวอฟแวร์สองตัวซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้ขายที่ต่างกันด้วยการใช้ตัวเชื่อมต่อมิดเดิลแวร์ เพื่อช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนของการเชื่อมต่อซอฟแวร์ ทั้งรองรับด้านความต้องการดานความสอดคล้องเข้ากันได้ของซอฟแวณืที่ต่างๆ


                4.2 การบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ของระบบวิสาหิจอื่นๆ นอกจากมีการบูรณาการอีอาร์พีเข้ากับเอสซีเอ็มแล้ว อีอาร์พียังถูกนำมาบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ของระบบวิสาหกิจอื่นโดยเฉพาะซอฟแวร์ของระบบอีคอมเมิร์ชและซีอาร์เอ็ม ซึ่งได้แพร่กระจายมากในการใช้งานภายในองค์การขนาดเล็ก


5. ผลประโยชน์ที่ได้รับ


                O brien (2005, p. 219) นิยามไว้ว่า การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ (อีอาร์พี) สามารถสร้างมูลค่าหลักแก่ธุรกิจดังนี้


                5.1 ด้ารคุณภาพและประสิทธิภาพ


                5.2 ด้านการลดต้นทุน


                5.3 ด้านการตัดสินใจ


                5.4 ด้านความเร็วของธุรกิจ


ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้


1.ความรู้ คือ การประมวลผลข้อมูลด้านต้นทุนที่ต่ำเพื่อเปลี่ยนรูปข้อมูลเข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ หรือความรู้ โดยความรู้จะแตกต่างจากสารสนเทศในแง่ว่า ความรู้คือ สารสนเทศที่ได้รับการจัดบริบทให้อยู่ในรูปแบบและเนื้อหาที่ตรงประเด็น สามารถนำไปปฏิบัติได้ในทันทีที่ผ็ใช้ต้องการหรืออาจเรียกได้ว่า ความรู้ คือ สารสนเทศเชิงปฏิบัติการมีการจำแนกเป็น 2 รูปแบบดังนี้


                รูปแบบที่ 1 ความรู้โดยชัดเจน วัตถุประสงค์ เหตุผล เทคนิค มักอยู่ในลักษณะของนโยบาย คำชี้แนะกระบวนการ รายงาน กลยุทธ์ ภาระหน้าที่และความสามารถหลักของวิสาหกิจในการกระจายความรู้ระหว่างบุคคลและต้นทุนของการถ่ายโอนความรู้ต่ำ โดยอาจเรียกความรู้นี้ว่า ความรู้รั่วไหลเนื่องจากอาจจะถูกละทิ้งได้ง่าย


                รูปแบบที่2 ความรู้โดยนัย คือ การจัดเก็บประสบการณ์ความหยั่งรู้ ความมีไหวพริบ ความลับทางการค้า ตลอดจนการเรียนรู้ในองค์การ มักจำกัดอยู่ในสมองของส่วนบุคคล มักเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญหรือระดับความรู้ทักษะขั้นสูงซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากทรัพย์สินอื่นดังนี้


1. ความรู้จะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆตามระดับและปริมาณของการใช้


2. ความรู้จะอยู่ในรูปแบบเป็นพลวัตซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงได้ง่าย


3. เป็นการยากที่จะประมาณการผลตอบแทนของการลงทุนด้านความรู้


4. ผลประโยชน์และความสมเหตุสมผลของความรู้ที่ได้รับอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเวลาหนึ่ง


2. การจัดการความรู้


                เป็นกระบวนการหนึ่งซึ่งช่วยองค์การในการระบุ คัดเลือก รวบรวม และโอนย้ายสารสนเทศที่มีความสำคัญประกอบด้วยความรู้และความชำนาญงานโดยจัดเก็บไว้ในฐานความรู้ขององค์การ ความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากการทำงานที่มักเกการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มี 6 ขั้นตอนดังนี้


                ขั้นตอนที่ 1 การสร้างความรู้


                ขั้นตอนที่ 2 การจับความรู้


                ขั้นตอนที่ 3 การปรับความรู้


                ขั้นตอนที่ 4 การเก็บความรู้


                ขั้นตอนที่ 5 การจัดการความรู้


                ขั้นตอนที่ 6 การเผยแพร่ความรู้


                เมื่อมีการเผยแพร่ความรู้สู่บุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์การแล้วต้องมีการพัฒนาการสร้างความรู้ใหม่หรือปรับความรู้เก่าอยู่เสมอ ดังนั้นความรู้จะไม่มีวันหมดสิ้นและมีอายุการใช้งานนานโดยผ่านกระบวนการปรับความรู้ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ มี 3 กิจกรรมดังนี้


                กิจกรรมที่1 การสร้างความรู้


                กิจกรรมที่ 2 การใช้ความรู้ร่วมกัน


                กิจกรรมที่ 3 การแสวงหาความรู้


3. ระบบการจัดการความรู้หรือ เคเอ็มเอส ประกอบด้วยกลุ่มของเทคโนโลยี 3 กลุ่ม ดังนี้


                3.1 กลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสารคือ สื่อกลางที่ยินยอมให้ผู้ใช้เข้าถึงความรู้และสื่อสารความรู้นั้นกับบุคลอื่นโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ


                3.2 กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่มกรุ๊ปแวร์ คือ การปฏิบัติงานของกลุ่มร่วมงานหนึ่งในเวลาเดี่ยวกันหรือต่างเวลา


                3.3 กลุ่มเทคโนโลยีด้านการจัดเก็บและค้นคืนข้อมูล อยู่ภายใต้ของการใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลเพื่อการจับ จัดเก็บ และจัดการความรู้ส่วนต่างๆ


4. เทคโนโลยีด้านการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้


                4.1 ปัญญาประดิษฐ์ คือ ระบบผู้เชี่ยวชาญโครงข่ายเส้นประสาทระบบเหล่านี้จะอยู่รวมตัวกันในเคเอ็มเอส เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทั้งในส่วนของการเพิ่มสมรรถนะของการค้นหาความรู้ การกราดตรวจอีเมล์ เพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์ในอนาคตมีการกำหนดความสัมพันธ์ของความรู้ด้วยวิธีปัญญาประดิษฐ์ ชี้ให้เห็นรูปแบบข้อมูลด้วยระบบโครงข่ายเส้นประสาท มีการนำกฏเกณฑ์ที่ใช้สำหรับระบบผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้ข้อคิดเห็นด้านความรู้ผ่านระบบโครงข่ายเส้นประสาทและระบบผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งมีการใช้พลังเสียงเพื่อสั่งงานด้วยการประมวลภาษา ธรรมชาติที่ต่อประสานเข้ากับเคเอ็มเอส


                4.2 โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ คือ ระบบซึ่งช่วยรียนรู้และช่วยเหลืองานของผู้ใช้ในแต่ละวัน


                Turban et al. (2006, p. 318) ระบุถึงทางเลือกที่ใช้โปรแกรมเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ ดังนี้           1. บรีษัท ไอบีเอ็ม จำกัด เสนอโปรแกรมทำเหมืองข้อมูลอัจฉริยะรวมถึงแม่ข่ายการตัดสินใจสำหรับการค้นหา


                2. บริษัท เจนเทีย จำกัด ใช้โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะเพื่อการสนับสนุนด้านการทำเหมืองข้อมูลบนเว็บ


                3. บริษัท คอนเวนติส จำกัด ใช้โครงข่ายเส้นประสาทเพื่อค้นหาข้อมูลเพื่อให้เข้าใจความหมายของเอกสารสำหรับโปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ


                4.3 การค้นหาความรู้ในฐานข้อมูล คือ กระบวนการซึ่งใช้ค้นหาและสกัดสารสนเทศที่มีประโยชน์จากข้อมูลและเอกสารซึ่งรวมงานด้านการสกัดความรู้ด้านต่างๆ ตลอดจนการเก็บเกี่ยวสารสนเทศโดยมีการดำเนินการอย่างอัตโนมัติ


                4.4 ภาษาเอกซ์เอ็มแอล คือ ภาษาที่แสดงมาตรฐานของโครงสร้างข้อมูลเพื่อการประมวลผลข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมประมวลผล วิธีนี้เหมาะสำหรับการใช้ระบบประยุกต์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ มักจะดำเนินการข้ามขอบเขตขององค์การประโยชน์ของการใช้ภาษาเอกซ์เอ็มแอลนอกจากจะเป็นการประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและลดปริมาณงานที่เป็นกระดาษลงแล้วยังเป็นการสนับสนุนระบบพันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย


5. ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจ


                คือ ประตูที่เปิดเข้าสู่เคเอ็มเอสโดยมีวิวัฒนาการมาจากระบบสนับสนุนผู้บริหาร ระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน โปรแกรมค้นดูเว็บและระบบจัดการฐานข้อมูล ปกติแล้วบุคคลใช้เวลาถึง 30% ของเวลาทั้งหมดค้นหาสารสนเทศ ดังนั้น ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจจึงถูกนำมาใช้เพื่อการเสนอจุดเข้าถึงสารสนเทศเพียงจุดเดียวสำหรับความรู้โดยชัดเจน


6. การบูรณาการระบบสารสนเทศ


                การพัฒนาเคเอ็มเอสบนแพลตฟอร์มที่ประกอบด้วย การสื่อสาร การร่วมมือกัน และเทคโนโลยีหน่วยเก็บข้อมูล โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกับระบบสารสนเทศอื่นหรือไม่ก็ได้ แต่สามารถใช้ความรู้ร่วมกันจากศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจเพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นสากลโดยใช้สารสนเทศและความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ดังนี้


                6.1 การบูรณาการเข้ากับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ


                6.2 การบูรณาการเข้ากับปัญญาประดิษฐ์


                6.3 การบูรณาการเข้ากับฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศอื่น


                6.4 การบูรณาการเข้ากับซีอาร์เอ็ม


ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะทางธุรกิจ


1. ความหมาย


                Turban et al. (2006, p. 318) นิยามไว้ว่า อัจฉริยะทางธุรกิจ คือ ระบบประยุกต์ประเภทหนึ่งประกอบด้วยการใช้เทคนิคด้านการรวบรวม การจัดเก็บ การวิเคราะห์ รวมทั้งการสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลโดยผู้ใช้สารสนเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนงานด้านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยมีการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลจากโกดังข้อมูล


                การจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลดำเนินงานขององค์การ มีการใช้ซอฟแวร์เป็นเครื่องมือรวบรวมสารสนเทศที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายๆระบบ อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้โดยการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการดำเนินงานอย่างอัตโนมัติและผู้ใช้สารสนเทศสามารถสอบถามข้อมูลและออกรายงานทั้งในรูปแบบรายงานข้อมูล รายงานพยากรณ์ รายงานกระตุ้นผู้ใช้ และการนำเสนอด้วยกราฟ


Gelinas et. Al 1(2002, 149) นิยามไว้ว่า อัจฉริยะทางธุรกิจ คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้จัดการสำหรับปัญหาที่ไม่มีโครงสร้างเพื่อการค้นคืนและการวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจนแปลความหมายสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ โดยระบบจะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้อีกทั้งรองรับการสอบถามข้อมูลตามความต้องการตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในด้านการจัดหาข้อมูลและแบบจำลองข้อมูลผ่านการใช้เครื่องมือด้านการประมวลผลเชิงวิเคราะห์ออนไลน์หรือ โอแลป เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก


2. เครื่องมือและเทคนิค


                จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลายในส่วนของระบบประยุกต์หลักที่รวมกิจกรรมการสอบถามข้อมูลและการรายงานผลเข้าด้วยกันกับโอแลปดีเอสเอส ดอตคอม รวมทั้งผู้ขายรายย่อยอื่นๆ โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่มดังนี้


                กลุ่มที่ 1 การค้นพบความรู้และสารสนเทศโดยการนำความรู้และสารสนเทศที่ได้รับมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่มที่สอง


                กลุ่มที่ 2 การสนับสนุนการตัดสินใจและการตัดสินใจเชิงอัจฉริยะ โดยการใช้ซอฟแวร์ด้านระบบอัจฉริยะเป็นเครื่องมือทั้งสองกลุ่มข้างต้นจะใช้เครื่องมือและเทคนิค


3. การประยุกต์ใช้งาน


                3.1 การใช้บีไอด้านการวิเคราะห์สารสนเทศ สามารถปฏิบัติการสอบถามข้อมูลหลายระดับชั้นโดยการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลและออกรายงานเจาะลึกรายละเอียดเพื่อค้นหาสาเหตุสินค้าบางรายการถูกจัดเก็บในคลังสินค้ามากเกินความจำเป็นหรือค้นหาสินค้าขายดี โดยใช้ข้อมูลขายของงวดกิอนหน้านี้ใช้ซอฟแวร์ช่วยวางแผนการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าที่จัดเก็บในคลังมากเกินไปให้สามารถจำหน่ายออกไปไดในปริมาณเท่ากับสินค้าขายดีนั่นเอง


                3.2 การใช้บีไอเพื่อการพยากรณ์ยอดขาย ใช้บีไอเพื่อนำเสนอความต้องการของลูกค้าในส่วนของรูปแบบพิซซ่า การใช้คูปองของลูกค้าตลอดจนช่วงเวลาที่สั่งซื้อเพื่อช่วยพยากรณ์ความเป็นไปได้ในการสั่งซื้อพิซซ่าครั้งต่อไปและการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งชักนำให้ลูกค้าสั่งซื้อพิซซ่ามากยิ่งขึ้น