โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

การผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นทางเลือกหนึ่งของใครที่อยากลดน้ำหนักอยู่หรือเปล่า เรื่องนี้ทำได้จริงไหม ได้ผลมากแค่ไหน แล้วใครที่ทำได้บ้าง

รศ.นพ.ปรีดา สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ แพทย์สาขาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤติทางศัลยกรรม ภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

“การผ่าตัดลดน้ำหนักรักษาโรคอ้วนเป็นวิธีการรักษาที่ดีมาก ลักษณะของการรักษาจะเป็นการผ่าตัดโดยทำการเปลี่ยนแปลงทางเดินอาหารให้มีขนาดเล็กลง”

โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

เปลี่ยนชีวิตใหม่คนอ้วน โดย นพ.ฐากูร พูนธนานิวัฒน์กุล

ปัจจุบันการผ่าตัดลดน้ำหนักรักษาโรคอ้วนเป็นวิธีการรักษาที่ดีมาก ลักษณะของการรักษาจะเป็นการผ่าตัดโดยทำการเปลี่ยนทางเดินอาหารให้มีขนาดเล็กลง และ/หรือมีการทำให้การดูดซึม อาการลดลง อีกทั้งมีการเปลี่ยนทางด้านฮอร์โมน ลำไส้ ส่งผลให้น้ำหนักตัวของผู้ป่วยลดลง และสามารถรักษาโรคร่วม ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างยั่งยืน อีกทั้งนอกจากน้ำหนักและโรคร่วมต่างๆ ได้หายไปแล้ว ยังคงทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสทางสังคมที่ดีขึ้น

(นพ.ฐากูร พูนธนานิวัฒน์กุล ศัลยแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต)

ตัวอย่างผลลัพธ์การรักษา

โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

คุณเชอร์รี่อายุ 30 ปี น้ำหนักก่อนผ่า 132 กก. BMI 45

คุณเชอร์รี่ไม่ได้มีเพียงปัญหาน้ำหนักตัวมากเพียงอย่างเดียว คุณเชอร์รี่ยังมีภาวะความดันโลหิตสูง โดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งที่ได้รับยาลดความดันอย่างต่อเนื่องร่วม 5 ชนิด แต่ความดันโลหิตยังอยู่ที่ระดับ 180-200/100-120 mmHg

โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

คุณมิวอายุ 22 ปี น้ำหนักก่อนผ่าตัด 111 กก. BMIZ 42

ในภาพคือคุณมิว อายุ 22 ปี มีภาวะอ้วนทุพพลภาพ น้ำหนัก 111 กิโลกรัม ดัชนีมวลกาย 42 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ได้รับการผ่าตัด Laparoscopic sleeve gastrectomy ไปเมื่อ 8 มีนาคม 2560 หลังการผ่าตัดคุณมิวมีวินัยในการดูแลตัวเองที่ดี และได้ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือ 62 กิโลกรัม

โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

คุณสนิทอายุ 53 ปี น้ำหนักก่อนผ่าตัด 185 กก.

คุณสนิท อายุ 53 ปี อ้วนทุพพลภาพ น้ำหนักเริ่มต้น 185 กิโลกรัม มีโรคร่วมคือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ได้รับการผ่าตัด Laparoscopic sleeve gastrectomy เมื่อ 16/5/2561 คุณสนิทมี #การปฏิบัติตัวหลังผ่าที่ดี หลังผ่านไป 1 ปี น้ำหนักลดลง 99 กิโลกรัม เบาหวานหายขาด ไม่ต้องรับประทานยาเบาหวานแล้ว

การผ่าตัดลดน้ำหนัก

การผ่าตัดลดน้ำหนัก เป็นการลดน้ำหนักที่ถือว่าสามารถลดน้ำหนักลงได้มากที่สุด ได้ยั่งยืนที่สุด สามารถเพิ่มอัตราการอยู่รอดของผู้ป่วยอ้วนทุพพลภาพ และสามารถรักษาโรคร่วมที่มาพร้อมกับความอ้วน ได้มากที่สุด โดยมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันชัดเจน

ศูนย์ผ่าตัดลดอ้วน ลดโรค โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ผ่าตัดลดน้ำหนักในผู้ป่วยอ้วนทุพพลภาพครบ 1,000 ราย

  • View Larger Image
    โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

ศูนย์ผ่าตัดลดอ้วน ลดโรค โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ผ่าตัดลดน้ำหนักในผู้ป่วยอ้วนทุพพลภาพครบ 1,000 ราย ในวันนี้ วันที่ 24 มีนาคม 2564

หากท่านสนใจผ่าตัดลดน้ำหนักในสถาบันที่มีประสบการณ์สูง มีการผ่าตัดลดน้ำหนักประมาณ 40 รายต่อเดือน สถาบันของเราอาจเป็นทางเลือกที่น่าไว้วางใจของท่านได้ครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.facebook.com/weightlossvarchiraphuket

Views: 2,633

Vachira Phuket2021-03-24T11:02:14+07:0024 มีนาคม 2021|ข่าวประชาสัมพันธ์|

Share This Story, Choose Your Platform!

FacebookTwitterLinkedInRedditWhatsAppTumblrPinterestVkXingEmail

  • โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565

    คณะผู้บริหารรวมถึงเจ้าหน้าที่บุคลากร และผู้มารับบริการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ร่วมทำบุญตักบาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง ถวายพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 5 รูป เพื่อเป็นร่วมบำเพ็ญกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ให้หายจากพระอาการประชวรGallery

    USAWatchdog By Greg Hunter
    FTX Implosion Leads to Chaos in the Streets

    Bix Weir November 15, 2022

    3:15 Greg....
    เรื่องของ FTX นี่มันใหญ่มากพอที่จะล้มระบบได้มั้ย

    Bix......
    ที่จริง พวก regulators ก็พยายามที่จะล้มระบบอยู่แล้ว โดยสร้างเงินระบบใหม่คือเงินคริปโต และสร้างอนุพันธ์ให้มาสัมพันธ์กับมัน พวกเขาตั้งใจจะค่อย ๆ ถ่ายโอนจากระบบเดิมมาสู่คริปโตที่สามารถจะควบคุมได้ มันก็เหมือนกับทุก ๆ เรื่องที่ควบคุมได้เช่นตลาดหุ้น..ตลาดพันธบัตร..โดยมีอนุพันธ์มาใช้เป็นตัวกำหนดราคา ถ้าคุมตลาดอนุพันธ์ไว้ในมือ คุณก็คุมราคาได้ทุกตลาดน่ะแหละ

    ธนาคารจะต้องพังลงก็เพราะอนุพันธ์นี่แหละ ..อนุพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์แต่เป็นอันตราย มันเป็นตัว set ราคาให้กับหุ้น ..ราคาทองคำ ..ราคาพันธบัตรและที่สำคัญอัตราขึ้นลงในตลาด Fx .....crypto exchange ที่เพิ่งพังลงจะเป็นตัวทำให้ผู้คนตาสว่างขึ้นในเรื่องของอนุพันธ์

    ถึงเวลาที่เราต้องเข้าไปคุมสภาทั้งสองสภาและอำนาจประธานาธิบดีหรือยัง ......แต่เรื่องใหญ่ที่ผมเห็นว่าจะเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง คือเมื่อ ATMs เกิดปิดทำการทันทีทันใด เมื่อคนไม่สามารถเบิกถอนเงินของตนจากธนาคารได้ เหตุการณ์จะเปลี่ยนทันที..ก็ตอนนั้นแหละ และผมคิดว่าเกิดขึ้นเร็วด้วย ขอให้แค่มีแบงค์ซักแห่งที่เกี่ยวข้องกับอนุพันธ์จำนวนมากพังลง แล้วแบงค์ทั้งหมดก็จะพังตามไปด้วย

    แล้วถ้าคิดจะ bail-out แบงค์ใหญ่ขนาด $1 trillion น่ะ ก็ยังพอทำได้อยู่ แต่ทั้งหมดนั้น มัน $2 พันล้าน trillion นะ ที่กำลังจะพังน่ะ...

    แล้วพอถึงตอนที่ทุกแบงค์พัง ตอนที่เจ้าของเงินฝากจะไปขอถอนเงิน แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ....Okay โว้ย เราไม่มีจะจ่ายให้ว่ะ..... แล้วจะทำไง

    8:50.....Greg.....
    คุณคิดว่าเรื่องจะแดงออกมาให้เราเห็นในเวลานับเดือนเลยหรือ หลังจากที่ ATM shut off ไปแล้ว

    Bix......
    เมื่อ FTX cryptocurrency exchange พังลง มันลากเอาเงินลงทุนนับหมื่นล้านดอลลาร์ไปกับมันด้วย มีเจ้าหนี้มากกว่าหนึ่งล้านรายทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งหมดนี้เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของระบบหนี้ทั้งระบบที่เกาะเกี่ยวกันอยู่ .....เรื่องนี้มันใหญ่มากกว่าวิกฤตเลห์แมน ที่ทำให้เกิด Great Recession เมื่อปี 2008 ซะอีก

    ปกติแล้วลูกค้าเงินคริปโตจะซื้อความเสี่ยงในตลาดอนุพันธ์ กันเกือบทุกราย .....หลังจากที่ FTX เกิดเรื่องและยื่นล้มละลายแล้ว ...regulator จะบอกเองว่าบัญชีลูกค้าที่จะ expire ภายใน 1 เดือนของ FTX น่ะมีเท่าไหร่ เรียกว่าอีกซักเดือน เราจะเห็นกันตอนนั้นว่าจำนวนผู้ที่เข้าไปซื้อความเสี่ยงในอนุพันธ์คริปโตของ FTX น่ะ ว่ามีเท่าไหร่กัน มันก็คล้ายกับอนุพันธ์ฟิวเจอร์ใน COMEX เรื่องทองคำ (แต่ทองคำเป็นการซื้อขายกันเองในหมู่แบงค์เพื่อสร้างราคา) ..แต่มีมากกว่านับ 100 เท่า เพราะอย่างที่บอก อนุพันธ์เป็นตัวเซ็ทราคาของทุกตลาด มันเยอะมาก

    ลูกค้าของ FTX ทุกรายจะซื้อความเสี่ยงในอนุพันธ์เอาไว้ ผู้ถือ FTX ตอนนี้ไม่เหลือ position crypto แล้ว ซื้อความเสี่ยงไว้ก็ไม่มีปัญญาจะจ่ายให้ ....การเทรดอนุพันธ์มีสองฝ่าย ถ้าฝ่ายนึงพัง อีกฝ่ายก็ต้องพังไปด้วย เป็น double loss ...แล้วเรากำลังจะได้เห็นเรื่องวุ่นวายในตลาด derivative ในไม่ช้านี้แล้ว

    CFTC ออกมาบอกไว้เมื่อวานว่าไม่ต้องห่วง ถึง FTX จะยื่นล้มละลาย แต่ลูกค้าผู้ที่ไปซื้อความเสี่ยงในตลาด derivative ก็จะโอเค ..ผมว่า เรามาคอยดูกันดีกว่า..ในอีกเดือนนึงข้างหน้า ว่ามันจะโอเคอย่างที่เค้าว่าหรือเปล่า

    ตอนนี้ใน exchange อื่น ๆ เราจะไม่อาจถอนเงินออกได้เลย แม้จะเป็น wallet ของคุณเอง นั่นแหละปัญหาเริ่มเกิดละ

    11:30....Greg....
    คุณคิดว่าเรื่องของ FTX นี่จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย หรือต้นเหตุเหมือน Lehman ของโลกคริปโตอย่างที่บอกกันมั้ย

    Bix.....
    มันใหญ่กว่าเลห์แมนมาก ...ตอนเกิดเลห์แมน มันก็แค่ bail-out พวกแบงค์ทั้งหมดยกเว้นเลห์แมน ก็ฆ่าตัวปัญหาตัวเดียวนั่นแหละ ...ช่วย JPMorgan..Goldman Sachs..etc. แต่ตอนนี้ปัญหามันเยอะมาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินที่ส่งไปช่วยยูเครนน่ะไปจากไหน ...ปัญหาน่ะ มาจากพวกอย่าง FTX นี่แหละ .....ถ้าจะฆ่าก็ต้องฆ่าให้หมด

    14:30....Greg....
    ราคาซิลเวอร์ทำไมไม่ไปไหนซะที

    Bix.....
    มันก็เหตุผลเดียวกับที่ derivative เข้ากำหนดราคาให้กับคริปโตเลย ราคาซิลเวอร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับซิลเวอร์ physical ในตลาดเลย ...ถ้าคุณยืนยันจะซื้อซิลเวอร์หรือทองคำในราคาที่เห็น ก็จะไม่มีของให้คุณ ....คุณต้องรู้ล่ะนะ ว่าการเทรดทั้งหุ้น บอนด์ ทองคำซิลเวอร์ ทั้งหมดนี้เป็นการเทรดกันผ่านสัญญาอนุพันธ์ทั้งนั้น ...ในทุก exchange หรือทุก ๆ ETF ล้วนแต่ว่างเปล่า มีแต่เงินของพวกคุณเท่านั้นที่อยู่ในนั้น

    ไม่แปลกใจบ้างหรือ ที่มีวอลลุ่มอิเล็คโทรนิคส์การเทรดซิลเวอร์วันนึง 500 ล้านออนซ์ ....แต่การส่งมอบแต่ละครั้ง 5 - 10 ล้านออนซ์ก็แสนยาก แล้วมันมีทุกวันนะ ....ปัญหานี้รอวันระเบิดอยู่นะ

    16:55.....Greg.....
    เรื่องของ FTX นี่มันกระทบหรือเกี่ยวกับคนทั่วไปอย่างไร

    Bix.......
    คุณคิดว่าการส่งเงินไปช่วยยูเครนเพื่อฟอกเงินของ FTX เกี่ยวกับคุณหรือเปล่าล่ะ หลายส่วนก็ไปอยู่ในกระเป๋าของเดโมแครท หลังจากหักที่ส่งไปยูเครนแล้ว ...แต่ที่ชัดกว่านั้นคือ เป็นการเปิดทางให้แบงค์ทั้งหลายเตรียมการเรื่องเงินดิจิตอล ....ฟิวเจอร์ของคริปโตก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดอนุพันธ์ .....โอกาสที่คุณจะถอน ATM ไม่ได้ก็มาจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวนี้แหละ

    ไอ้เรื่องที่บ้าที่สุดคือ พวกเราทั้งหมดดันไปเชื่อถือ เงินเฟียตที่ไม่มีอะไรหนุนหลังเลย แล้วใครรู้บ้างว่าพวกเขาพิมพ์เงินออกมาจริง ๆ แล้ว เท่าไหร่ ...ระบบกำลังจะตาย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาจนตรอก จนต้องดิ้นหาทางออก หาอะไรมาเกาะไว้

    สร้างเงิน currency แบบใหม่มาหลอกเม่ากันเถอะ ถ่วงเวลา kick the can ต่อไปเรื่อย ๆ ....เพราะหนี้ที่มีทั้งหมดนั้นน่ะ กูจะจ่ายได้ยังไงล่ะวะ

    เราถึงไม่เคยได้ยินคนของรัฐบาลออกมาพูดเรื่องใช้หนี้กันเลย มีแต่พูดเรื่องของวันข้างหน้า ....พวกนี้คิดเรื่องชักดาบล่วงหน้ามาตั้งแต่วันแรกที่พิมพ์เงินโน่นแล้ว

    นักการเมือง นักกีฬา และสถาบันการเงินใหญ่ ล้วนแต่เข้าเกี่ยวข้องกับ FTX กันทั้งนั้น และมันยังเกี่ยวกับเรื่องฟอกเงิน เรื่องเงินสกปรกอีกหลายเรื่อง เรื่องสกปรกทั้งหลายนี่เป็นปกติของระบบการเงินที่ใกล้วันสุดท้ายที่จะล่มสลาย

    เมื่อตอนที่ผู้คนเริ่มเห็นแล้วว่า รัฐบาลสหรัฐหมดความน่าเชื่อถือจากเหตุคอรัปชั่นของนักการเมืองที่ทำกับประเทศตน ก็จะมีคนลงถนนกันมากมาย และยังมีอีกหลายประเทศสาวกที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเจ้าของระบบอีกด้วย

    เดือนธันวาคมเราคงจะได้เห็นอะไรที่ตามมา ต่อเนื่องมกราคม ที่จะเจ็บปวดมาก ....ที่แน่ ๆ ตอนนี้ ซัพพลายของทั้งทองคำและซิลเวอร์มันหายไปมากขึ้นทุกทีแล้ว เราคงได้เห็นอะไรไม่ช้านี้แล้ว

    https://usawatchdog.com/ftx-implosion-leads-to-chaos-in-the-streets-bix-weir/

     

    Nov 20, 2022 ทองไม่ใส! สัปดาห์หน้าทองคำไม่แรงพอแตะ 1,800 ดอลล์ พ่วงปีหน้าทองคำร่วงอีก 10%

    คิทโก้ สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังด้านการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ เปิดเผยผลสำรวจที่มีชื่อว่า ผลสำรวจราคาทองคำรายสัปดาห์ Kitco News เพื่อประเมินแนวโน้มราคาทองคำตลาดโลกในสัปดาห์ระหว่างวันที 21-25 พฤศจิกายน 2565 พบว่า หลังจากราคาทองคำปรับเพิ่มถึง 11% ในช่วง 3 สัปดาห์ติดต่อกันผ่านมา ซึ่งทำให้ราคาทองคำทรงตัวเหนือระดับ 1,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้มาระยะหนึ่งนั้น และมีสัญญาณที่ราคาทองคำตลาดโลกพยายามจะขึ้นไปถึงระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่การทำกำไรในช่วงระยะสั้นจะเกิดขึ้นได้

    นายชอน ลัสค์ ผู้อำนวยการร่วมกองทุนประกันความเสี่ยง หรือเฮ็ดจ์ฟันด์ชื่อว่าวอลช์ เทรดดิ้ง เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 21-25 พฤศจิกายน ราคาทองคำอาจเผชิญปัจจัยและข้อจำกัดที่ทำให้การปรับขึ้นของราคาสะดุดได้ เนื่องจากบรรดาผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด พยายามส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงในระดับหนึ่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะเฟดยังมั่นใจว่าเป้าหมายเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกายังไม่วามารถลดลงได้

    ผลสำรวจดังกล่าว ระบุว่า นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดทุนวอลล์ สตรีทจำนวน 20 ราย พบว่า มี 8 ราย หรือ 40% มองว่าราคาทองคตลาดโลกจะปรับขึ้นในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 21-25 พฤศจิกายน ขณะที่ 35% มองว่าราคาทองคำจะลดลงในระยะสั้น และมีเพียง 5 ราย หรือ 25% ที่มองว่าราคาทองคำทรงตัว

    ด้านความเชื่อมั่นนักลงทุนรายยย่อยในทองคำตลาดโลกตกต่ำอย่างมากเมื่อเทียบกับในสัปดาห์นี้ (14-18 พฤศจิกายน) ที่ขึ้นไปสูงสุดในรอบ 5 เดือนผ่านมา สาเหตุจากในสัปดาห์นี้ ราคาทองคำรายสัปดาห์ปรับลดลง 1%

    ด้านเมทัลส์ โฟกัส ซึ่งเป็นสำนักวิจัยการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์จากอังกฤษ เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำตลาดโลกในปี 2023 จะลดลงราว 10% จากราคาทองคำในปัจจุบันนี้ โดยจะมีราคาทองคำร่วงลงแตะระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ซึ่งนั่นหมายถึงจะเป็นราคาทองคำตลาดโลกที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี

    สาเหตุจากปัจจัยสำคัญที่ยังคงเกิดขึ้นข้ามปีนี้ไปถึงตลอดปี 2023 คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังคงเพิ่มขึ้นต่อไป

    ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พบว่า ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,750.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -12.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.7% ราคาทองคำที่ปรับขึ้นรอบนี้ ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 1,786.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เมื่อวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้ราคาปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 เดือน ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนมาถึงวันนี้ ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 7% สวนทางตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาที่ราคาทองคำตกต่ำมากถึง 15% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมีนาคม

    ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
    ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
    ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
    เว็บไซต์: https://btimes.biz
    พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/

    #ทองแท่ง #ทองรูปพรรณ #ทองคำ #ราคาทองคำ #ราคาทอง #การลงทุน #เศรษฐกิจ #สหรัฐ #เฟด #ดอกเบี้ย #ดอลลาร์สหรัฐ #BTimes

     

    โครงการผ่าตัดกระเพาะฟรี 2565


    "ท้องนอกมดลูก ที่ตับ เกิดขึ้นได้ และอันตรายด้วยครับ"

    มีการแชร์ภาพดังกล่าวนี้ ที่มาพร้อมกับแคปชั่นว่า "ectopic pregnancy liver" หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก ... ทำเอาคนสงสัย แชร์กันใหญ่ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือ !? ... คำตอบคือ เป็นเรื่องจริงครับ แม้จะเกิดขึ้นได้ยากมาก (ว่ากันว่า พบได้แค่ 1.4% ของกรณีตั้งครรภ์นอกมดลูกทั้งหมด)

    ที่มาของภาพดังกล่าว มาจากรายงานในวารสารวิจัย Egyptian Journal of Radiology and Nuclear Medicine เรื่อง A rare case of hepatic ectopic pregnancy (ดูลิงค์ด้านล่าง) ซึ่งรายงานถึงกรณีการตั้งครรภ์นอกมดลูกแบบหายาก (คือที่ตับ) จากการที่มีสตรีอายุ 25 ปีรายหนึ่ง มีอาการปวดเอวด้านขวา แล้วเมื่อตรวจด้วยอัลตราซาวด์พบว่า มีถุงซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก (ที่ตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่) เกาะอยู่บนผิวของตับ และประสบผลสำเร็จในการผ่าตัดทิ้งไปพร้อมกับเนื้อตับบางส่วน

    เมื่อปีก่อนก็เคยมีรายงานข่าวถึง กุมารแพทย์แคนาดา โพสต์คลิปอธิบายภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก ที่หาได้ยากมาก ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่มีตัวอ่อนฝังอยู่ในตับของผู้เป็นแม่ (ดูรายงานข่าว ด้านล่าง)

    การท้องนอกมดลูกนั้น เป็นหนึ่งในภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์ โดยมีการตั้งครรภ์อยู่บริเวณอื่นนอกโพรงมดลูก โดยส่วนใหญ่มักพบในบริเวณท่อนำไข่ และยังพบว่ามีการตั้งครรภ์ที่บริเวณอื่น เช่น ปากมดลูก รังไข่ หรือในช่องท้อง

    ซึ่งหากพบว่ามีการท้องนอกมดลูก จะต้องมีการยุติการตั้งครรภ์ โดยอาจใช้วิธีการผ่าตัด หรือการรักษาโดยการใช้ยา

    การท้องนอกมดลูกเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูก ได้แก่ คุณแม่ตั้งครรภ์อายุมาก , มีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน , เคยผ่าตัดช่องท้อง/ อุ้งเชิงกราน / ท่อนำไข่มาก่อน , เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ , สูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก , ใช้ยาคุมฉุกเฉินหรือ คุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย , มีความผิดปกติของท่อนำไข่ , เป็นผู้มีบุตรยาก

    สังเกตสัญญาณเตือนการท้องนอกมดลูก ได้แก่ ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน , มีเลือดไหลออกช่องคลอดจำนวนมาก , ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดบริเวณทวารหนัก , หน้ามืด เป็นลม , มีภาวะช็อค

    หากเกิดการท้องนอกมดลูกแล้ว คุณแม่สามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ใหม่ได้ แต่ขณะเดียวกันคุณแม่ก็มีความเสี่ยงที่จะท้องนอกมดลูกได้อีก ดังนั้น คุณแม่จึงควรรีบมาปรึกษาและเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    ข้อมูลเรื่อง ท้องนอกมดลูก จาก https://www.sikarin.com/health/ท้องนอกมดลูก-หนึ่งในสาเ

    ภาพจาก https://www.facebook.com/RadiologyS...CcsZWg7uELEmZRuBfdn5vs2pQkY7Mx4gpAMb8xVbYuyHl

    ลิงค์งานวิจัย https://ejrnm.springeropen.com/arti...zed,and torrential intra-operative hemorrhage

    ----------------
    (รายงานข่าว) สำนักข่าวยูเอสเอทูเดย์รายงานวานนี้ (20 ธ.ค.) ว่า ไมเคิล นาร์วี กุมารแพทย์ประจำศูนย์วิจัยของโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่งในแคนาดา เป็นผู้โพสต์คลิปจากแอพ TikTok ซึ่งกลายเป็นกระแสในหมู่ผู้ชมในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเขาแสดงภาพถ่ายอัลตราซาวด์ของตัวอ่อนทารกที่ฝังอยู่ภายในตับของผู้เป็นแม่ ขณะนี้คลิปดังกล่าวมียอดผู้เข้าชมเฉียด 8 ล้านครั้ง

    “ผมคิดว่าตัวเองเคยเห็นมาทุกอย่างแล้วนะ” นายแพทย์นาร์วีกล่าว

    วิดีโอดังกล่าวตัดทอนมาจากคลิปวิดีโอในรายงานทางการแพทย์จากหอสมุดแห่งชาติสหรัฐ แผนกการแพทย์ เป็นกรณีศึกษาของคนไข้หญิงอายุ 33 ปี ซึ่งประสบอาการปวดท้องและมีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นเวลานานถึง 14 วัน หลังจากที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นเวลา 49 วันก่อนหน้านั้น และภาพถ่ายอัลตราซาวด์ของมดลูกของเธอก็ดูปกติดี

    อย่างไรก็ตาม ในภาพก็ปรากฏสิ่งผิดปกติบริเวณตับและกระเพาะของเธอ ซึ่งมีตัวอ่อนทารกฝังอยู่

    “เธอมีภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกที่บริเวณตับ” นายแพทย์นาร์วีอธิบายในคลิปบนแอพ TikTok “เราเคยเจอกรณีแบบนี้เป็นครั้งคราวในบริเวณช่องท้อง แต่ไม่เคยเจอในตับ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลย”

    ภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกเกิดจากไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไปฝังตัวและเติบโตนอกโพรงมดลูก ซึ่งมักจะเกิดกับบริเวณท่อรังไข่ ส่วนกรณีที่เกิดในช่องท้องนับว่าหาได้ยาก

    ตามรายงานทางการแพทย์ ภาวะท้องนอกมดลูกในตับนั้น “หายากมากเป็นพิเศษ” โดยก่อนถึงเดือนกันยายน ปี 2542 เพิ่งเคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเพียง 14 รายทั่วโลก

    ถ้าหากไข่ติดค้างอยู่ในท่อรังไข่ มันจะไม่พัฒนาเป็นเด็กทารกที่สมบูรณ์และจะทำให้ผู้เป็นแม่เสี่ยงอันตราย ถ้าหากยังมีภาวะตั้งครรภ์ต่อไป ทางรักษามีเพียงอย่างเดียวคือต้องยุติการตั้งครรภ์ ส่วนตับนั้น เป็นอวัยวะที่มีเส้นเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก หากเกิดแรงกดใด ๆ บนตับ ก็อาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดภายในร่างกายได้

    ต่อมาภายหลัง คนไข้หญิงดังกล่าวได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลที่ตรวจพบว่าเธอมีอาการตกเลือดภายใน ทีมแพทย์ไม่สามารถรักษาชีวิตตัวอ่อนไว้ได้ และต้องนำออกจากร่างของผู้เป็นแม่ ตามรายงานระบุว่าการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี

    ... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/59...jhEZWNtz41YzctT6XJZeXJXz58dTqykPeyY_dUy11eQOY

     

    ⚠️[INVESTOR]⚠️ ผู้ว่าแบงก์ชาติเตือนภัย ! ปีหน้าให้ระวัง ต่างชาติดึงเงินกลับ ค่าเงินบาทอ่อน และ ตลาดหุ้นมีปัญหา !

    ทางผู้ว่าฯแบงก์ชาติได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนว่าในปีหน้า (ปี 2566) "อาจไม่สดใสอย่างที่คิด" โดยปัจจัยเสี่ยงทั่วโลกยังคงสูงขึ้น และนักลงทุนต้องเตรียมรับมือ “กับดักระเบิดโลก” ที่อาจผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

    พร้อมเตือนว่าตลาดการเงินโลกอาจเกิดภาวะผิดปกติที่คล้ายกับการที่ “น้ำลดตอผุด” มาจากการที่ทั่วโลกเร่งขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็ว และรุนแรงด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ไทยต้องเสี่ยงเผชิญกับเงินไหลออกจากประเทศอีกด้วย นอกจากจะทำให้ค่าเงินบาทผันผวนแล้ว ยังอาจทำให้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างราบรื่นอีกด้วย

    นอกจากนั้นนักลงทุนยังต้องระวังความเสี่ยงจากสถานการณ์ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจากนโยบายประชานิยมสุดโต่งของพรรคการเมืองหาในการหาเสียง โดยเฉพาะการเสนอนโยบายที่เกี่ยวกับปัญหาหนี้ เช่นการพักหนี้ยาว 3 ปี 5 ปี การพักดอกเบี้ย หรือการเสนอลบข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาจะทำกัน เพราะจะเป็นการส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบแบงก์มากกว่าประโยชน์ที่จะได้

    มาลองอ่านจุดสำคัญ 5 ข้อที่ทาง ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาแชร์ล่าสุดกัน

    -------------------------------------

    ขอบคุณข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ

    ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจปี 2566 ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังจะเห็นอยู่ เพียงแต่อาจจะไม่ smooth take off ปัจจัยหลัก ๆ ก็มาจากความเสี่ยงโลก ซึ่งจากที่ไปร่วมประชุมต่างประเทศทั้งเวทีไอเอ็มเอฟ และเวิลด์แบงก์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชัดเจนว่าเงินเฟ้อมาแรงกว่าที่คิด และเงินเฟ้ออยู่ยาว เศรษฐกิจโลกชะลอตัวกว่าที่คิด

    อย่างไรก็ตามเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเรารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว โดยประมาณการจีดีพีปีนี้โต 3.3% และปีหน้าโต 3.8% ประเมินว่าตัวเลขส่งออกไทยที่ปีนี้โต 8% ปีหน้าจะลดเหลือ 1% ก็ใส่ไปในประมาณการแล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นตัวเลขจีดีพีปีหน้าแย่มาก ๆ ต่ำกว่า 3% เป็นไปได้น้อยมาก แต่การเติบโตอาจไม่ราบรื่นจากภาวะความเสี่ยงของโลก

    1️⃣ ตลาดเงินโลก “ผิดปกติ”

    ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า เนื่องจากตอนนี้ทุกประเทศเหยียบเบรกนโยบายการเงินค่อนข้างแรง ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย เพราะความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ปีหน้าตลาดเงินจะมีความผันผวน และความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น และประเด็นที่เดิมไม่ค่อยพูดถึง แต่ตอนนี้มีสัญญาณชัดมากขึ้น คือเรื่อง “Market dysfunction” คือตลาดเงินโลกมีความผิดปกติ

    ตอนนี้เหมือน “น้ำลดตอผุด” จากที่ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำติดดินเป็นเวลายาวนาน ตลาดมีสภาพคล่องสูง ทำให้ที่ผ่านมามองไม่เห็นปัญหา แต่ตอนนี้น้ำลดลงเร็วและแรงกว่าปกติ สมัยก่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นมาตรฐาน แต่ตอนนี้ปรับ 0.75% กลายเป็นเรื่องปกติ ดอกเบี้ยขึ้นเร็วและแรง ขณะที่ภาระหนี้ในระบบค่อนข้างสูง

    “และปกติจะเกิดความเสี่ยงในตลาดเปราะบาง เช่นถ้าเป็นธุรกิจก็เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี หรือประเทศก็เป็นอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต แต่รอบนี้ปัญหาเกิดขึ้น ในประเทศที่ safe ที่สุด ตลาดที่ safe ที่สุด และสินค้าที่ safe ที่สุด ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเกิดความผันผวนมหาศาล และเกิดระเบิดไปลงตลาดกองทุนบำเหน็จบำนาญ ทำให้ตลาดเกิดความปั่นป่วน ซึ่งสะท้อนว่าระเบิดจะเกิดที่ไหนก็ได้ และจะทำให้ความเสี่ยงแรงกว่าปกติ”

    ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ถ้าสินค้าที่คิดว่าเสี่ยงแล้วเกิดระเบิด ก็เหมือนจะพอรู้กัน เช่นบอนด์ไม่มีเครดิตเรตติ้ง แต่ปัญหาเกิดในตลาดพันธบัตรรัฐบาลที่มองว่าปลอดภัย ทำให้คิดไม่ถึง และที่ผ่านมาตลาดที่ถือว่าปลอดภัยที่สุดในโลก อย่างตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง เป็นสัญญาณว่าเริ่มออกอาการความผิดปกติ แต่ท้ายที่สุดธนาคารกลางสหรัฐก็คงต้องเข้ามาดูแล เหมือนอังกฤษที่ประกาศเลิกทำคิวอี เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องกลับเข้ามาดูแล

    2️⃣ กับดักระเบิดโลก

    ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ด้วยสภาวะแบบนี้ทำให้เชื่อว่าปีหน้ามีกับดักระเบิดอยู่เยอะ ความเสี่ยงเข้ามาไม่หยุด คือรู้ว่ามีแน่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าระเบิดอยู่ตรงไหน และที่น่ากังวลคือจะเกิดขึ้นในจุดที่คาดไม่ถึง ซึ่งจากการประชุมหารือในเวทีต่าง ๆ ครั้งนี้ความกังวลไม่ได้อยู่ที่ระบบแบงก์ แต่อยู่ที่น็อนแบงก์ หมายถึงกองทุนเฮดฟันด์ใหญ่ ๆ และอีกส่วนที่มีการพูดถึงเยอะคือความเสี่ยงของหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก โดยที่ผ่านมาอยู่ได้เพราะดอกเบี้ยต่ำ แต่ในภาวะที่ทั่วโลกกำลังเร่งขึ้นดอกเบี้ย มีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นได้

    “ปีหน้าต้องทำใจเตรียมรับข่าวไม่ดีของตลาดการเงินโลก เมื่อตลาดเกิดภาวะ Market dysfunction ทำให้ตลาดเกิดความกังวล เกิดการดึงเงินกลับ ค่าเงินอ่อน และตลาดหุ้นมีปัญหา” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว และว่า

    ปัจจัยเหล่านี้เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาค่าเงินแกว่ง-เงินไหลออก อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเกิดขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีความสามารถในการรับช็อกสไตล์อย่างนี้ได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ ภูมิคุ้มกันเรายังดีกว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับที่สูง หรือสถานะของสถาบันการเงินที่มีความเข้มแข็ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยช้ากว่าที่อื่น

    3️⃣ ชั่งน้ำหนักนโยบาย

    ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า จากโลกมีกับดักระเบิดอยู่เยอะ แบงก์ชาติก็มีการรีเช็ก และประเมินสถานการณ์อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยในสถานการณ์โลกแบบนี้ นโยบายการเงินในประเทศด้วยการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปยังเหมาะสม และอาจถือว่าโชคดีที่เราไม่ได้ไปเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพราะหน้าตาเงินเฟ้อของประเทศไทยไม่เหมือนที่อื่น และบริบทของการฟื้นตัวก็ไม่เหมือนกัน คือเราฟื้นตัวไม่เร็ว และหนี้ก็สูง ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเร็วแรงในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ก็จะทำให้การฟื้นตัวไม่เกิดขึ้นอย่างที่อยากเห็น

    อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปก็อาจมีผลต่อค่าเงิน ทำให้อ่อนค่าไปบ้าง ซึ่งแบงก์ชาติต้องชั่งน้ำหนัก เพราะมีหลายอาการ อย่างค่าเงินมีอ่อนมีแข็ง แต่ดอกเบี้ยปรับขึ้นไปแล้วลงไม่ได้ และถ้าขึ้นไปในขณะที่รายได้ประชาชนยังไม่ฟื้น แล้วกลายเป็นหนี้เสียก็จะเป็นเอ็นพีแอลไปอีกยาวนาน

    “ไม่ใช่ว่าไม่แคร์เรื่องการอ่อนของค่าเงิน แต่เราดูว่าไม่ให้อ่อนค่าเกินไป ซึ่งพื้นฐานของประเทศก็ไม่น่าจะอ่อนค่าไปจนกระทบเสถียรภาพ”

    ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ความกังวลตอนนี้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของหลาย ๆ ประเทศไม่ค่อยคิดถึงผลข้างเคียง อย่างสหรัฐเงินเฟ้อสูง ก็ทำทุกอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเอง ขึ้นดอกเบี้ยเยอะ ๆ ผลข้างเคียงไม่สนเอาตัวเองก่อน โดยไม่ได้คิดเรื่องการ coordinate และในขณะที่ทุกคนขึ้นดอกเบี้ยแรงพร้อมกัน เหยียบเบรกพร้อมกัน อาจทำให้เบรกแรงเกินไป

    4️⃣ ห่วงนโยบายการเมืองแปลก ๆ

    ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงประเด็นที่มีความกังวลที่สุด ว่าเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์โลก (geopolitics) ที่มีการแบ่งข้างกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาว ประเทศอย่างเราจะอยู่อย่างไร การค้าโลก ระบบซัพพลายเชนต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปหมด และอีกประเด็นกังวลที่พูดไปก็คือตลาดการเงินโลกไม่ปกติ เพราะแม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลง แต่ยังวางใจไม่ได้ เพราะตลาดแรงงานร้อนแรงมาก เงินเฟ้อจะไม่ลงง่ายขนาดนั้น

    อย่างไรก็ตามนอกจากความเสี่ยงโลก สิ่งที่น่าห่วงมากกว่าคือความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายแปลก ๆ เนื่องจากตอนนี้พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มหาเสียงเลือกตั้งในปีหน้า มีการเสนอนโยบายประชานิยมเกี่ยวกับปัญหาหนี้ เช่น การพักหนี้ยาว 3 ปี 5 ปี พักดอกเบี้ย หรือการเสนอลบข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกทำ เพราะจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบแบงก์

    “ประเทศไทยดูแล้วความเสี่ยงจากต่างประเทศน้อย เพราะพื้นฐานเราเข้มแข็ง แต่ถ้าเราไปทำอะไรที่สร้างความเสี่ยงขึ้นมาเองก็จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยน นโยบายอาจฟังดูดีในระยะสั้น แต่จะมีผลข้างเคียงในระยะยาวเยอะก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี เช่นมีการพูดถึงการลบข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อให้คนเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น แต่สุดท้ายจะยิ่งทำให้คนเข้าไม่ถึงสินเชื่อ สำหรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในโลกเราคงทำอะไรไม่ได้ แต่เราอย่าสร้างความเสี่ยงภายในเพิ่มขึ้น” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

    5️⃣ จังหวะนี้ไม่ใช่ “กระตุ้น”

    นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า ในภาพรวมการดำเนินนโยบายของประเทศไทย ในจังหวะนี้ต้องเน้นเรื่องเสถียรภาพมากกว่าเรื่องการกระตุ้น แม้เศรษฐกิจจะฟื้นช้าแต่ก็ฟื้น ซึ่งการที่จะออกมาตรการกระตุ้นตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะถ้าไม่สนใจเรื่องเสถียรภาพจะทำให้เกิดผลกระทบกับตลาด ฝ่ายการเมืองต้องไม่ออกนโยบายแปลก ๆ ที่ทำให้มีผลข้างเคียงกระทบกับตลาด

    ทั้งนี้มาตรการการคลังต้องมี แต่ต้องเน้นการดูแลกลุ่มเปราะบาง เป็นการทำเฉพาะจุด แต่ปัญหาคือส่วนมากที่ออกมาเป็นมาตรการเหวี่ยงแห ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย โออีซีดีประเมินออกมาทั่วโลกทำแบบนี้กว่า 90%

    ---------------------------

    อย่าลืมติดตามเพจ "ทันโลกกับ Trader KP" กันที่แอป Blockdit ด้วยนะครับ

    Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม Social Media สัญชาติไทยที่เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ที่นักอ่านและนักลงทุนไม่ควรพลาด !

    https://www.blockdit.com/oiltradingkp

    เข้ามาติดตามทุกข่าวสารที่ "ทันโลก" กันได้ที่นี่ได้เลยครับ

    #ทันโลกกับTraderKP