ออกกําลังกาย หัวใจเต้นเท่าไหร่

เมื่อไรที่หัวใจเต้นเร็วจนรู้สึกได้ แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ไม่มีอาการไข้ การเสียเลือดกะทันหัน หรือออกกำลังกาย อาจบ่งบอกว่าร่างกายของคุณกำลังผิดปกติ หรือเป็นโรคต่างๆ ได้ หากมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ พร้อมกับอาการใจสั่น หายใจหอบเหนื่อย อ่อนล้า นั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นควรรู้เท่าทันและพบแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจโดยเร็ว จะได้ดูแลรักษาให้ถูกวิธีก่อนสายเกินไป


หัวใจปกติทำงานอย่างไร?

หัวใจปกติ จะเต้นอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเร็วที่เปลี่ยนไปตามกิจกรรมของร่างกาย โดยในขณะพักหัวใจจะเต้นประมาณ 60 -100 ครั้งต่อนาที ในขณะเดินหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นประมาณ 100 - 120 ครั้งต่อนาที และมากกว่า 120 ครั้งต่อนาทีในขณะวิ่ง อย่างไรก็ตามนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำ อาจมีชีพจรในขณะพักระหว่าง 50 - 60 ครั้งต่อนาที

  • หัวใจเต้น 60-100 ครั้งต่อนาที : ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หัวใจเต้นเกิน 100 ครั้งต่อนาที : มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว
  • หัวใจเต้นเกิน 150 ครั้งต่อนาที : มีภาวะหัวใจเต้นเร็วมากเข้าขั้นอันตราย

รู้จัก…หัวใจเต้นเร็ว

ภาวะหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) คือ การที่หัวใจเต้นเกิน 100 ครั้ง/นาที ซึ่งอาจเกิดจากหัวใจเต้นเร็วขึ้นเองขณะที่ร่างกายมีกิจกรรม เช่น การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย ทำให้มีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น ยิ่งถ้าคนอายุน้อยๆ หัวใจสามารถเต้นเกิน 150 ครั้ง/นาที ก็เป็นได้ แต่โรคหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ คือ การที่มีวงจรไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ บางคนเป็นตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ยังไม่แสดงอาการอาจจะแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นก็ได้

การที่หัวใจเต้นเร็วสามารถบ่งบอกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ หากมีอัตราการเต้นของหัวใจเกิน 100 ครั้งต่อนาที และ/หรือมีการเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย ได้แก่

  1. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องบน เกิดจากทางเดินของกระแสไฟฟ้าหัวใจเพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วจากภาวะปกติ
  2. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องล่าง เกิดจากความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องล่าง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เมื่อหัวใจเต้นเร็วมากก็ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดไปยังส่วนต่างๆ ในร่างกายได้
  3. หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ จากการที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความเร็วมากกว่าปกติ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่อัตราการเต้นหัวใจมักจะไม่เกิน 150 ครั้งต่อนาที

ปัจจัยที่ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว

การเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เป็นเพราะมีปัจจัยบางอย่างรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า โดยปัจจัยที่ไปรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า อาจเกิดได้ดังนี้

  1. ปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ ได้แก่ อยู่ในภาวะตกใจ หรือไปออกกำลังกาย เสียเลือดมากจนซีด ขาดน้ำ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก็จะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วได้
  2. ปัจจัยภายในหลอดเลือดและหัวใจ ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และ ภาวะที่เกิดจากไฟฟ้าหัวใจลัดวงจร

ออกกําลังกาย หัวใจเต้นเท่าไหร่

อาการหัวใจเต้นเร็ว

อาการหัวใจเต้นเร็ว สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบตามความรุนแรง ได้แก่ อาการไม่รุนแรง เช่น ใจสั่นแบบทันทีทันใด ใจหวิว มึนงง อาจมีอาการแน่นหน้าอก หรือจุกบริเวณลำคอ มีอาการเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีและสามารถหายได้เอง และ อาการแบบรุนแรง โดยจะมีภาวะหัวใจเต้นเร็วนานหลายนาที หรือหลายชั่วโมง บางรายมีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ หัวใจวาย หรือเสียชีวิตทันที


การวินิจฉัยหัวใจเต้นเร็ว

การจะรู้ว่าเรามีหัวใจเต้นเร็วหรือไม่นั้น แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วย ประวัติทางการแพทย์ และการตรวจร่างกาย เพื่อตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจเบื้องต้น หรืออาจทดสอบเพื่อหาปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยแพทย์อาจมีแนวทางในการวินิจฉัยการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ดังนี้

  1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เป็นการตรวจมาตรฐานของหัวใจ โดยวัดการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
  2. การตรวจและบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมงโดยใช้ Holter Monitor เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 – 48 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยจะติดเครื่องบันทึกไว้ติดตัวตลอดเวลา
  3. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) เป็นการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังด้วยการเดินบนสายพานเลื่อน
  4. การเอกซเรย์หน้าอก (Chest X-ray) เพื่อตรวจความผิดปกติของหัวใจ
  5. การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) สามารถตรวจดูความผิดปกติทางโครงสร้างของหัวใจ

การรักษาหัวใจเต้นเร็ว

แพทย์จะพิจารณาตามสาเหตุ อาการ ตำแหน่ง และความรุนแรงของโรค โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจไม่ต้องทำการรักษา แต่ในบางชนิดที่ต้องทำการรักษาจะมีทางเลือกในการรักษา ดังนี้

  1. การใช้ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ สามารถลดความถี่และความรุนแรงของการได้
  2. การจี้ด้วยไฟฟ้าผ่านคลื่นเสียงความถี่สูง (Electro Physiologic Study and Radiofrequency Ablation) เป็นการรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการใช้สายสวนหัวใจผ่านทางหลอดเลือดที่บริเวณขาหนีบ ไปยังตำแหน่งต่างๆ ของหัวใจ เพื่อหาตำแหน่งของวงจรไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ แพทย์จะปล่อยคลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นจุดเล็กๆ เพื่อทำลายเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น
  3. การใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ โดยใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องส่งภายนอกร่างกายซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นแปะที่หน้าอกของผู้ป่วยเพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจใหม่
แม้ว่าการป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม ยังพอมีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจให้น้อยลง ด้วยการดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง และงดเหล้า งดสูบบุหรี่ ตลอดจนความเครียดถือเป็นสาเหตุบั่นทอนความปกติของหัวใจได้