ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งในอินเทอร์เน็ตจะประกอบด้วยเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย การที่เราจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่ต้องทำการเรียนรู้ถึงหลักการออกแบบเว็บไซต์ การสร้างเว็บไซต์และเว็บเพจ
1.
บอกความหมายของอินเทอร์เน็ตและส่วนประกอบที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้ 2. อธิบายถึงประเภทของเว็บไซต์และยกตัวอย่างประกอบได้ 3. อธิบายถึงรูปแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ 4. อธิบายถึงหลักการและขั้นตอนในการออกแบบเว็บไซต์ได้ 5. อธิบายถึงหลักการและขั้นตอนในการสร้างเว็บเพจได้ 6. อธิบายถึงวิธีการสร้างเว็บเพจแต่ละวิธีได้
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต
(Internet) เป็นระบบเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงเครือข่ายมากมายหลากหลายเครือข่ายทั่วโลก เข้าด้วยกันอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลในทุกๆด้านให้ผู้ที่สนใจเข้าไปค้นคว้าหามาใช้ได้อย่าง สะดวก, รวดเร็ว,และง่ายดาย
1.1 หลักการทำงานของอินเทอร์เน็ต การทำงานของอินเทอร์เน็ตนั้นจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันดังนี้ -
TCP/IP : ภาษาสื่อสาร การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้นจำต้องมีภาษาสื่อสาร (ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol)) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ ภาษาสื่อสาร ในคอมพิวเตอร์ มีอยู่มากมายแตกต่างกันตามระบบที่ใช้ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในระบบจะต้องใช้ ภาษาสื่อสารเดียวกันจึงจะติดต่อสื่อสารกันได้
ในระบบอินเทอร์เน็ตจะใช้ภาษาสื่อสารมาตรฐานที่ชื่อว่า TCP/IP (อ่านว่า ทีซีพีไอพี ซึ่งย่อมาจากคำว่า Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นภาษาหลัก ดังนั้น หากเครื่องคอมพิวเตอร์ใดไม่ว่าจะเป็นเครื่อง PC, MAC,หรือเครื่องระดับมินิ,จนไปถึงเมนเฟรม หากมี TCP,IP นี้อยู่ก็จะสามารถเชื่อมโยงเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ ตัวอย่างของโพรโทคอลที่ใช้ในอินเทอร์เน็ต ได้แก่ HTTP (Hypertext Transfer
Protocol) ที่ใช้ในการส่งหน้าเว็บเพจ FTP (File Trensfer Protocol) ที่ใช้ในการส่งไฟล์ เป็นต้น - IP Address : หมายเลขประจำเครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต จะต้องมีหมายเลขประจำเครื่องที่ไม่ซ้ำกันเลย เรียกว่า IP Address หรือ Internet Address เพื่อใช้เป็นตัวชี้เฉพาะให้กับระบบเมื่อมีการติดต่อสื่อสาร ภาษาสื่อสาร TCP/IP จะใช้หมายเลข
IP Address ของเครื่องต้นทางและปลายทางนี้ในการกำกับข้อมูลที่ถูก ส่งผ่านเข้าไป ในระบบเพื่อให้สามารถส่งไปยังที่หมายเลขได้อย่างถูกต้องดังนั้น ถ้าเปรียบเครื่องแต่ละเครื่อง เป็นบ้านแต่ละหลัง IP Address ก็คือบ้านเลขที่ของบ้านแต่ละหลังนั่นเอง IP Address จะประกอบด้วยข้อมูล จำนวน 32 บิต โดยแยกออกเป็น 4 ส่วนๆ ละ 8 บิต โดยแต่ละส่วนจะคั่นกันด้วยเครื่องหมายจุด เช่น 207.68.156.54 เป็นต้น - Domain Name : ตั้งชื่อแทนหมายเลข
เมื่อระบบอินเทอร์เน็ตมีเครื่องต่างๆ เข้าร่วมในระบบมากขึ้น การใช้ IP Address ในการอ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ของแต่ละองค์กรเริ่มกระทำได้ยากขึ้น เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลขที่ยากแก่การจดจำ ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ต จึงอนุญาตให้เครื่อง แต่ละเครื่องในระบบสามารถตั้งชื่อขึ้นมาแทนได้ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการติดต่อด้วยเรียกใช้ได้สะดวกขึ้น ชื่อเหล่านี้เรียกว่า ชื่อโดเมน (Domain Name)
ชื่อโดเมนจะต้องเขียนอยู่ในรูปแบบของระบบชื่อโดเมน (Domain Name System หรือ DNS) โดยชื่อโดเมน จะแบ่งออกเป็นระดับชั้น โดยอาจจะเป็น 2 ระดับ หรือ 3 ระดับก็ได้โดยแต่ละระดับ จะคั่นกันด้วยเครื่องหมายจุด เช่นเดียวกับ IP Address ประเภทของ Domain Name แบ่งได้เป็น 2 ประเภท 1. โดเมน 2 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน 2. โดเมน 3 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ โดนเมนเนม 2 ระดับ จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน เช่น www.kruitti.com ประเภทของโดเมน คือ คำย่อขององค์กร โดยประเภทขององค์กรที่พบบ่อย มีดังต่อไปนี้ * .com คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์ * .org คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร * .net คือ
องค์กรที่เป็นเกตเวย์ หรือ จุดเชื่อมต่อเครือข่าย * .edu คือ สถาบันการศึกษา * .gov คือ องค์กรของรัฐบาล * .mil คือ องค์กรทางทหาร โดนเมนเนม 3 ระดับ จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ เช่น www.nwss.ac.th, www.google.co.th ประเภทขององค์กรที่พบบ่อยคือ
* .co คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์ * .ac คือ สถาบันการศึกษา * .go คือ องค์กรของรัฐบาล * .net คือ องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย * .or คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร ตัวย่อของประเทศที่ตั้งขององค์กร * .th คือ ประเทศไทย * .cn คือ ประเทศจีน * .uk คือ ประเทศอังกฤษ * .jp
คือ ประเทศญี่ปุ่น * .au คือ ประเทศออสเตรเลีย
|