- Facebook iconแชร์ไปที่ Facebook
- Twitter iconแชร์ไปที่ Twitter
- LINE iconแชร์ไปที่ Line
1. อันดับแรก
ทำความเข้าใจกับตำแหน่งของเกียร์ก่อน P คือ จอด N คือเกียร์ว่าง R คือถอยหลัง D คือเดินหน้า D2 หรือ L คือเกียร์ต่ำ(แล้วแต่รุ่นรถนะครับ บางรุ่นก็มีแค่ P,R,N,D)
2. การสตาร์ท
ตำแหน่งเกียร์ควรอยู่ที่ P ใช้เท้าขวาเหยียบเบรคไว้ แล้วก็บิดกุญแจสตาร์ท หรือกดปุ่ม Push Start
3. การขับเดินหน้า
ขณะที่เท้ายังคงเหยียบเบรค ให้เลื่อนตำแหน่งเกียร์มาเป็นตำแหน่ง D หรือ D4 จากนั้นค่อยๆ ผ่อนเท้าออกจากเบรค ซึ่งตอนนี้รถจะแล่นไปได้เองอย่างช้าๆ แล้วเราจึงค่อยๆเปลี่ยนไป เหยียบคันเร่งเพื่อให้ได้ตามความเร็วที่เราต้องการ
4. การขับขึ้นลง ทางลาดชัน
ผ่อนความเร็วรถแล้วเลื่อนเกียร์มาที่ตำแหน่ง L แล้วก็เหยียบคันเร่งไปตามความต้องการ
5. การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์
L มาเป็น D ผ่อนความเร็ว แล้วเลื่อน มาที่ตำแหน่ง D แล้วขับไปตามปกติ
6. การจอดรถ
ค่อยๆ ผ่อน ความเร็วรถเมื่อรถจอดสนิทก็เลื่อนตำแหน่งมาที่ P ใส่เบรคมือ ดับเครื่อง
7. การจอดรถในลักษณะกีดขวางคันอื่น
หรือการจอดแบบปลดเกียร์ว่าง เมื่อจอดปกติตามข้อ 3 แล้ว แต่ไม่ต้องดึงเบรคมือขึ้นก็กดปุ่มเล็กๆ แล้วเลื่อนตำแหน่งเกียร์ไปที่ N
8. การจอดกรณีติดไฟแดง
เหยียบเบรคค้างไว้แล้วเลื่อนเกียร์มาที่ตำแหน่ง N
9. การถอยหลัง
เหยียบเบรคค้างไว้แล้วเลื่อนเกียร์มาที่ตำแหน่ง R ค่อยๆ ผ่อนเบรคเพราะรถจะถอยได้เอง แต่ถ้าต้องการให้ถอยเร็วหรือกรณีถอยขึ้นที่สูงก็อาจต้องเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วได้แต่ค่อยๆเหยียบนะ
ก่อนอื่นก็คาดเข็มขัดกันก่อนนะครับ
1. เกียร์ธรรมดาจะมี คลัทช์
เพิ่มขึ้นมาจากรถเกียร์ออร์โต้อยู่ซ้ายสุด ต่อมาอันกลาง คือเบรก และคันเร่งจะอยู่ด้านขวามือสุด
2. เรียนรู้เรื่อง คลัทช์
ว่ามันทำหน้าที่ปลดกำลังเครื่องยนต์ที่กำลังหมุนจากล้อรถยนต์ที่หมุนอยู่ เพื่อยอมให้คุณเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่ทำให้เกิดการเสียดสีของฟันเกียร์ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนเกียร์ (เปลี่ยนขึ้น หรือลง) คลัทช์ต้องถูกกดจนสุดพื้นรถ จะเปลี่ยนขึ้นหรือลงให้ดูรอบรถดีๆนะครับ
3. การจะสตาร์ทรถ
ต้องเช็คเกียร์ดูก่อนว่า อยู่ที่เกียร์ว่างหรือเปล่า โดยลองโยกหัวเกียร์ดูว่า สามารถโยกไปซ้ายหรือขวาได้ ซึ่งคุณจะไม่รู้สึกสะดุดเมื่อโยกหัวเกียร์จากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งแล้วจึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์
4. ปรับเบาะให้พอดี
โดยให้เราเหยียบคลัทช์ได้จนสุด จากนั้นเหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถและค้างไว้ เข้าเกียร์ 1แล้วค่อยๆ ใช้เท้าปล่อยแป้นคลัทช์อย่างช้าๆ พอรถเริ่มออกตัวก็ให้เริ่มเหยียบคันเร่ง และฟังเสียงรอบเครื่อง หรือดูรอบเครื่องจากหน้าปัด แล้วเปลี่ยนเกียร์ 2 ,3 ตามลำดับ ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์จะใช้วิธีเดียวกันนี้ทุกครั้ง
5.ซึ่งก่อนการออกตัว
หลายๆคนที่ไม่เคยขับรถเกียร์ธรรมดามาก่อนเลยให้ทดลองยกเท้าของคุณออกจากแป้นคลัทช์ช้าๆ จนกระทั่งคุณได้ยินเสียงความเร็วเครื่องตกลง. จากนั้นให้ลองกดแป้นคลัทช์ซ้ำอีกครั้ง ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งคุณสามารถจดจำเสียงนี้ได้ นี่คือจุดที่คลัทช์กดตัวลงบนล้อตุนกำลัง หรือเรียกว่าจุด Friction Point
6.การทำให้รถออกตัว
ให้ยกเท้าของคุณจากแป้นคลัทช์ จนกระทั่งรอบเครื่องตกลงเล็กน้อย และเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ ในขณะที่ปล่อยแป้นคลัทช์ช้าๆ คุณอาจจะลองดูหลายๆ ครั้งเพื่อหาจังหวะเหยียบแป้นคันเร่ง และปล่อยแป้นคลัทช์ที่สัมพันธ์กัน อีกวิธี คือปล่อยคลัทช์จนกระทั่งถึงจังหวะที่กำลังของเครื่องยนต์ตกลงเล็กน้อย แล้วค่อยเหยียบแป้นคันเร่งเมื่อคลัทช์จับตัว ในตอนนี้รถจะเริ่มเคลื่อนที่ โดยวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถดับได้ดีที่สุด คือการเร่งเครื่องยนต์ เมื่อปล่อยคลัทช์ กระบวนการนี้อาจยุ่งยากสักหน่อย เนื่องจากคุณพึ่งเรียนรู้การใช้รถเกียร์ธรรมดา ที่มี 3 แป้นเหยียบ ดังนั้นคุณควรเตรียมพร้อมที่จะดึงเบรกมือในกรณีฉุกเฉิน จนกระทั่งคุณมีความชำนาญในการขับขี่มากขึ้น
7.ในระหว่างการขับขี่รถยนต์.
เมื่อรอบเครื่องของคุณถึง 2,500 – 3,000 รอบต่อนาที คุณควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 จำไว้ว่ามันมันจะขึ้นอยู่กับประเภทรถที่คุณขับขี่ว่าเครื่องวัดความเร็วรอบถูกตั้งให้เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบเท่าไหร่ เมื่อเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เครื่องยนต์ของรถจะเริ่มเร็วขึ้น และคุณควรจดจำเสียงนี้ให้ได้ ให้เหยียบแป้นคลัทช์ และโยกหัวเกียร์จากเกียร์ 1 มาเกียร์ 2,3,4,5 ตามลำดับ
8.หากคุณปล่อยคลัทช์เร็วเกินไป
รถจะกระตุก และดับ หากเครื่องยนต์มีเสียงคล้ายจะดับ ให้เหยียบคลัทช์ค้างไว้ หรือกดคลัทช์ให้ลึกขึ้นอีกเล็กน้อย ความเร็วเครื่องยนต์ที่มากเกินไป ในขณะที่ไม่ได้เหยียบคลัทช์จนสุด จะทำให้ชิ้นส่วนของคลัทช์สึกหรอก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เกิดการลื่นไถล หรือทำให้ชิ้นส่วนคลัทช์ที่ระบบส่งกำลังไหม้
- Facebook iconแชร์ไปที่ Facebook
- Twitter iconแชร์ไปที่ Twitter
- LINE iconแชร์ไปที่ Line
Google Plus
Line
เกียร์ออโต้ (AUTO)ขับยังไงให้ถูกวิธี
เกร็ดความรู้อยู่รอบตัวเราแต่บางเรื่องก็อาจจะโดนมองข้ามกันได้ อย่างเช่นเรื่องราวในคอลัมน์นี้ที่ทางทีมงานได้นำความรู้มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันเกี่ยวกับการใช้งานเกียร์ออโต้นั่นเองครับ หลายคนอาจดูว่าไม่น่าจะมีอะไรมากมาย แต่บนความที่ไม่มีอะไรนั่นแหละครับ ก็จะมีบางอย่างที่บางคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็ได้ เอาละครับเราไปดูกันดีกว่าครับว่าการใช้งานเกียร์ออโต้ที่ถูกต้องจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ปัจจุบันมีผู้ที่ใช้รถเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มีมือใหม่มือเก่า มือเก๋า อยู่บนท้องถนนมากมายปะปนกันไป และระบบส่งกำลังที่ค่ายผู้ผลิตรถทำออกมานั้นก็มีกันอยู่สองแบบคือ เกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ แต่ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเกียร์ออโต้กัน ซึ่งเกียร์ออโต้จัดว่าเป็นระบบส่งกำลังอีกหนึ่งประเภทที่สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย ไม่ซับซ้อน
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับตำแหน่งของเกียร์ออโต้กันก่อนครับ
- P (PARKING) ใช้สำหรับจอดรถ ซึ่งจะล็อคล้อไว้ไม่ให้รถเคลื่อน โดยเราจะเปลี่ยนเกียร์มาที่ P เมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้วและต้องการดับเครื่อง เลิกใช้งาน หรือเมื่อต้องการจอดรถบนทางลาดชัน (ข้อแนะนำ : ควรดึงเบรคมือ เสริมด้วย เพื่อป้องกันเกียร์เสียหาย ถ้าถูกชนท้าย) นอกจากนั้น ก่อนสตาร์ทรถ ตำแหน่งเกียร์ควรจะอยู่ที่ P เช่นเดียวกัน
- R (REVERSE) คือ เกียร์ถอยหลัง โดย เมื่อเกียร์มาอยู่ที่ตำแหน่ง R นี้แล้ว รถจะถอยหลังไปได้เองอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งเลย (ข้อแนะนำ: ขณะกำลังถอยหลัง ไม่ควรเหยียบคันเร่ง เพราะจะทำให้รถถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรวางเท้าไว้ที่บนแป้นเบรก เพื่อเตรียมพร้อมในการเหยียบเบรก ขณะทำการถอยหลัง)
- N (NEUTRAL) คือ เกียร์ว่าง ใช้เมื่อต้องการจอดรถไว้ชั่วคราว เช่น ขณะจอดรถติดไฟแดง และเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง N นี้ รถจะสามารถถูกเข็นไปได้ (เวลาที่เราจอดรถขวางหน้ารถคันอื่นๆ ตามห้าง ควรใส่เกียร์ว่าง และปลดเบรคมือออกด้วย)
- D หรือ D4 คือ เกียร์เดินหน้า 4 SPEED ใช้ในการขับขี่ปกติ โดยเมื่อเปลี่ยนเกียร์มาที่ D แล้ว รถจะเริ่มออกตัว แล่นไปเองอย่างช้าๆ และเมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะเริ่มเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถ (ปกติ ถ้าวิ่งบนทางราบ เราจะใช้เกียร์ D นี้บ่อยสุด)
- 3 หรือ D3 คือ เกียร์เดินหน้า 3 SPEED ส่วนใหญ่ใช้ในการขับขึ้น-ลงเนินที่ไม่ชันมาก เช่น ขึ้นสะพาน โดยรถจะเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ไปสุดที่เกียร์ 3 นอกจากนี้เรายังใช้ในกรณีที่ต้องการเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้าด้วย โดยขณะที่รถวิ่งด้วยตำแหน่งเกียร์ D4 เป็นระยะเวลานาน เมื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ D3 จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลัง ทำให้เครื่องแรงและสามารถแซงไปได้อย่างรวดเร็ว
- 2 หรือ D2 คือ เกียร์เดินหน้า 2 SPEED ใช้เมื่อต้องการขับรถขึ้น-ลงเนิน หรือเขาที่ค่อนข้างชัน หรือ ขับขึ้น-ลง ตามห้าง โดยรถจะเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ไปสุดที่เกียร์ 2
- L (LOW)คือ เกียร์ 1 ซึ่งจะใช้ในการขับขึ้น-ลง เขาที่สูงชันมากๆ เมื่อลงเขาด้วยเกียร์ L จะเป็นการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก เพื่อลดการเหยียบเบรก เพราะอาจจะทำให้ผ้าเบรกไหม้ได้
ขับเกียร์ออโต้อย่างไรให้ถูกวิธี
เรามาเริ่มต้นที่การสตาร์ทเครื่องกันก่อนเลยครับ ตำแหน่งของเกียร์ออโต้ที่จะสามารถสตาร์ทได้จะมีอยู่สองตำแหน่งด้วยกันคือ “N”และ “P” เพื่อความปลอดภัยควรวางเท้าไว้ที่แป้นเบรกแล้วค่อยบิดสวิทช์กุญแจสตาร์ทรถ
เมื่อจอดรถติดไฟแดงหรือติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานควรเปลี่ยนตำแหน่งของเกียร์มาไว้ที่ “N”หรือ “P” แล้วดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล
ในทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก “N” ไป “P” ต้องให้รถจอดสนิททุกครั้งเพื่อลดความเสียหายกับระบบเกียร์
การขับรถเกียร์ออโต้ควรใช้กี่เท้าดี คำตอบที่ถูกต้องคือ ควรใช้เท้าเดียวครับเพราะในการขับขี่จริงบนท้องถนน ไม่ควรเอาเท้าซ้ายวางไว้ที่แป้นเบรกพร้อมกับเท้าขวาวางบนแป้นคันเร่ง ที่ถูกต้องคือใช้เท้าขวาเท่านั้นวางเท้าในตำแหน่งที่ถนัดและสามารถเปลี่ยนตำแหน่งจากคันเร่งไปเบรกหรือจากเบรกไปคันเร่งได้อย่างไม่ยากนัก ส่วนเท้าซ้ายให้วางไว้ที่ตำแหน่งจุดพักเท้าด้านซ้ายสุด
รถบางรุ่นจะถอดกุญแจออกได้ก็ต่อเมื่อตำแหน่งเกียร์อยู่ที่ “P” ในตำแหน่งอื่นๆจะไม่สามารถดึงกุญแจออกได้ แต่เมื่อต้องการให้รถจอดแล้วสามารถเข็นได้ก็สามารถทำได้โดย เลื่อนเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง “P” แล้วดึงกุญแจออก ขั้นตอนต่อไปนำกุญแจที่ดึงออกมาเสียบลงไปที่ช่องบนแป้นเกียร์เพื่อทำการปลดตำแหน่งเกียร์ตามที่ต้องการ หรือบางรุ่นจะมีปุ่ม SHIP LOCK ให้กด เพียงเท่านี้ก็สามารถจอดแบบเข็นได้แล้ว
การบำรุงรักษาเกียร์ออโต้
ขั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับถ้าเพื่อนๆได้อ่านคำแนะนำด้านบนนี้ทั้งหมด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาเกียร์ออโต้ให้อยู่กับเราไปได้นานแสนนาน ส่วนเรื่องของระบบน้ำมันของเกียร์ออโต้นั้นก็ควรที่จะเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาในคู่มือของรถแต่ละรุ่น เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์