สมัยที่เราตัวคนเดียวการยื่นภาษีเป็นเรื่องที่มีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว คือ ยื่นด้วยจำนวนรายได้ที่เรามี และหักลดหย่อนตามสัดส่วนต่าง ๆ แต่เมื่อเรามีคนอีกคนกลายเป็นสามี-ภรรยา ทำให้เรามีทางเลือกที่จะจ่ายภาษีในสถานะใหม่ ทางเลือกก็คือ แยกยื่น กับ ยื่นร่วมกัน อย่างไรน่าสนใจกว่ากันลองมาดูกรณีศึกษาต่อไปนี้
กรณีแรก “คู่สมรสมีเงินได้อยู่ในฐานภาษีเดียวกัน หรือรายได้ใกล้เคียงกัน”
ในกรณีนี้แนะนำให้แยกยื่น โดยต่างฝ่ายต่างแยกยื่นเงินได้ในชื่อของตนเอง จะทำให้โดยรวมแล้วทั้งคู่จะเสียภาษีน้อยกว่าการร่วมยื่น เนื่องจากคู่สมรสจะได้รับยกเว้นภาษี 1.5 แสนบาทแรกทั้งคู่ แต่ถ้าหากคิดจะร่วมยื่นกัน จะทำให้เงินรวมรายได้สุทธิสูงมากขึ้น ก็จะไปเข้าในฐานภาษีที่สูงขึ้น ทำให้มีโอกาสส่งผลให้เสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นนั่นเอง
กรณีที่สอง “คู่สมรสทั้งสองคนมีรายได้ไม่สูง แต่มีรายการใช้เป็นค่าลดหย่อนได้มาก”
ในกรณีที่คู่สมรสทั้งสองคนมีรายได้ไม่สูง แต่มีรายการใช้เป็นค่าลดหย่อนได้มาก แนะนำให้ยื่นร่วมกัน โดยรวมเงินได้ทุกประเภทเข้าด้วยกัน ทั้งกรณีสามีเป็นผู้ยื่นแบบ หรือภรรยาเป็นผู้ยื่นแบบ
สำหรับกรณีที่สามีภรรยาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีรายได้ไม่สูงนัก แต่มีรายการที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้มาก ถ้าไปแยกยื่นจะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังนี้
- แยกยื่นแล้วรายได้สุทธิถึงเกณฑ์ไม่ต้องเสียภาษี ในกรณีนี้หลายคนอาจคิดว่าก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ความจริงคือเราถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว ถ้ารายได้เราไม่ถึงเราจะไม่สามารถขอคืนภาษีได้ ในขณะที่ทั้งคู่มีรายการที่ใช้หักลดหย่อนภาษีได้มาก แบบนี้ถ้าแยกยื่นอาจเสียประโยชน์ ควรร่วมยื่นนำรายได้ทั้งสองมารวมกัน และยื่นทีเดียว และนำรายการหักลดหย่อนภาษีได้ไปหักเพื่อขอภาษีในส่วนนี้คืน ไม่เสียสิทธิ์
- แยกยื่นแล้วต้องเสียภาษีมากกว่าการยื่นร่วม ในกรณีที่รายได้ของคู่สมรสและตัวเราเองมีไม่มาก แต่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี การแยกยื่นเราจะต้องเสียภาษีมากกว่าการยื่นร่วม และรายการที่หักลดหย่อนอาจจะกระจัดกระจาย แบบนี้ควรยื่นร่วมกัน แต่ต้องพิจารณาว่ายื่นร่วมแล้วยังอยู่ในฐานภาษีเดิม และนำรายการลดหย่อนมารวมกันหักลดหย่อนได้อย่างเต็มที่จะดีกว่า
กรณีที่สาม “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง”
ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง แนะนำยื่นรวมเฉพาะเงินได้ประเภทอื่น แต่ให้แยกยื่นเงินเดือนออกมา โดยกรณีที่คู่สามีภรรยาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินได้ประเภทเงินเดือนสูง และอาจมีเงินได้ประเภทอื่น ๆ บ้าง เช่น รายได้จากค่าเช่า รายได้จากเงินปันผลหุ้น ค่าคอมมิชชั่นจากงานเสริม ถ้าคู่สมรสมีฐานภาษีสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง แนะนำให้ฝ่ายที่มีเงินเดือนสูงยื่นแบบเสียภาษีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนในชื่อของตนเอง แล้วนำเงินได้ประเภทอื่นไปยื่นรวมกับคู่สมรสแทน วิธีการนี้จะช่วยให้ฐานภาษีของตนเองลดลง และทำให้โดยรวมแล้วทั้งคู่จะเสียภาษีน้อยกว่าการแยกยื่น
อย่างไรก็ตามการจะเลือกว่าควรยื่นเสียภาษีแบบใดนั้นต้องพิจารณาฐานภาษีเงินได้ของตนเอง และคู่สมรสเป็นหลัก ถ้าการแยกยื่นจะทำให้เราเสียประโยชน์การขอคืนดังกรณีข้างต้น ก็แนะนำให้ยื่นร่วมกันจะดีกว่า แต่หากการยื่นร่วมกันจะทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และต้องจ่ายภาษีมากขึ้น แบบหลังแนะนำให้แยกยื่นจะดีที่สุด
ฐานภาษีใหม่ในปี 2560
สำหรับฐานภาษีใหม่ในปี 2560 มีดังต่อไปนี้
รายได้ | อัตราภาษีที่ต้องเสีย |
รายได้ไม่เกิน 300,000 บาท | ร้อยละ 5 |
รายได้เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท | ร้อยละ 10 |
รายได้เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 750,000 บาท | ร้อยละ 15 |
รายได้เกิน 750,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท | ร้อยละ 20 |
รายได้เกิน 1,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท | ร้อยละ 25 |
รายได้เกิน 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท | ร้อยละ 30 |
รายได้เกิน 5,000,000 บาทขึ้นไป | ร้อยละ 35 |
ทั้งนี้ฐานภาษีใหม่จะเริ่มใช้ภายในปี 2560 ดังนั้น เราควรวางแผนการเสียภาษี และมองหาการลงทุนเพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษีไว้ล่วงหน้า แม้ฐานภาษีใหม่จะดูต่ำกว่าเก่า แต่จะมีการซอยระดับรายได้ของเราให้ถี่ขึ้น ถ้ารายได้เราโตเร็วก็จะต้องเสียภาษีในฐานใหม่เร็วกว่าที่เราคาดคิด ควรวางแผนแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลัง ถ้าวางแผนดีนอกจากจะประหยัดภาษีได้แล้ว ยังสบายใจอีกด้วยนะครับ
การจ่ายภาษี เป็นหนึ่งในหน้าที่ของประชาชนพลเมืองไทย คนไทยทุกคนที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ที่มีเกณฑ์ต้องยื่นภาษีจะต้องรวบรวมเอกสารจำเป็นให้ถูกต้องและครบถ้วน และนำไปยื่นที่กรมสรรพากร หรือจะใช้ช่องทางออนไลน์โดยการยื่นเอกสารผ่านทางเว็บไซต์หรือในแอปพลิเคชันก็แล้วแต่จะสะดวก และหากใครกำลังสงสัยว่าสิทธิลดหย่อนภาษี ปี 2565 มีอะไรบ้าง บทความนี้ FINNOMENA ได้รวบรวมเอาสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในปี พ.ศ. 2565 มาไว้แล้ว หาคำตอบได้ที่นี่ ครบในที่เดียว!
อ่านเพิ่มเติม สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> //finno.me/taxplanner-services
ความสำคัญของการวางแผนลดหย่อนภาษี
การวางแผนลดหย่อนภาษี เป็นวิธีที่จะทำให้เราได้เงินภาษีคืน และประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองได้มากขึ้น วิธีลดหย่อนภาษีที่เราเลือกก็ถือเป็นผลประโยชน์กับตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
ค่าลดหย่อนภาษีที่กฎหมายได้ระบุไว้ เป็นสิ่งที่รัฐเห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในชีวิต หรือเป็นสิทธิพิเศษที่รัฐต้องการจะสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมบางอย่าง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใน ทุก ๆ ปี ดังนั้น ประชาชนผู้เสียภาษีจึงควรหมั่นติดตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขในทุกปี เพื่อที่จะได้วางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเซฟงบในกระเป๋าไปได้อีกมาก
ประเภทค่าลดหย่อนภาษี
1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
ประกอบด้วย
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องถามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้
- ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี โดยสามีสามารถลดหย่อนภาษีในกรณีที่ภรรยาไม่มีเงินได้ เอกสารหลักฐานที่ใช้สำหรับการลดหย่อนภาษีคือ ใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาล
- ค่าลดหย่อนภาษีบุตร คนละ 30,000 บาท โดยจะต้องเป็นบุตรโดยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรม และบุตรมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาอยู่ หรือในกรณีที่บุตรอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป และเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
- กรณีมีเฉพาะบุตรชอบด้วยกฎหมาย: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรกี่คนก็ได้ตามจำนวนบุตรจริง
- กรณีมีเฉพาะบุตรบุญธรรม: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้คนละ 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
- กรณีมีทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม: ให้ใช้สิทธิบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก่อน และหากบุตรบุญธรรมเป็นคนที่ 4 จะไม่สามารถใช้สิทธิได้ แต่ถ้าบุตรบุญธรรมอยู่ในคนที่ 1-3 สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้
- ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน กล่าวคือ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท (และจะต้องไม่ใช่พ่อแม่บุญธรรม) โดยบิดามารดาจะต้องมาอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนซ้ำระหว่างพี่น้องได้ ต้องมีการระบุลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการเลี้ยงดู (ลย.03) ว่าบุตรคนใดจะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูบิดา/มารดา
- ค่าลดหย่อนภาษีกรณีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพลภาพ จำนวนคนละ 60,000 บาท และผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ
ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพลภาพเป็นบิดามารดา – บุตร – คู่สมรสของตนเอง สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสองส่วน ตัวอย่างเช่น คู่สมรสไม่มีรายได้และเป็นผู้พิการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท และค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000 บาท)
2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
ประกอบด้วย
- เงินประกันสังคม สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 7,200 บาท (จากปกติ 9,000 บาท) เนื่องจากปี พ.ศ. 2565 มีการปรับลดอัตราเงินสะสมประกันสังคม (จำนวนเงินประกันสังคมที่ลดหย่อนได้สูงสุดเป็นข้อมูลในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากมีประกาศปรับลดส่งเงินสมทบอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง)
- เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถลดหย่อนค่าเบี้ยประกันของคู่สมรสได้สูงสุด 10,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และถ้าหากมีการเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
- เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท (บิดามารดามีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่จำเป็นต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และมีการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันชนิดต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์ทางการลดหย่อนภาษีได้ที่ สรุป ซื้อประกันแบบไหน ได้ลดหย่อนภาษี? สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่ต้องรู้
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน RMF ได้ที่ “RMF” คืออะไร? ทบทวนเงื่อนไขพร้อมกองทุนแนะนำ!
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยให้สิทธิประโยชน์สำหรับลดหย่อนภาษี 5 ปี – สามารถอ่านเรื่องกองทุนรวม SSF เพิ่มเติมได้ที่ คัมภีร์มหากาพย์กองทุน SSF กองไหนดี ต้องซื้อไหม ซื้อได้เท่าไร? สุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษีปี 2565
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถนำมาลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท
- เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) สำหรับผู้ที่ลงทุนในธุรกิจ Social Enterprise สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนได้ โดยลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
*** สำหรับกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุน SSF กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ***
3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
ประกอบด้วย
- เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
- เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง นำมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งมาจากมาตรา 70 ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดไว้ว่า ผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองสามารถนำจำนวนเงินบริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีหรือรายจ่ายเพื่อการบริจาคตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ที่ บริจาคอะไร ลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า !
4. ค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ประกอบด้วย
- ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท
5. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
ประกอบด้วย
- โครงการช้อปดีมีคืน 2565 สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2565 ตามที่จ่ายจริง โดยสินค้าและบริการที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ได้แก่ สินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้า OTOP สินค้าหมวดหนังสือ (รวมถึง E-Book)
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
รูปแบบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ 2 แบบ คือ ภ.ง.ด.90 (สำหรับผู้มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือน) และ ภ.ง.ด.91 (สำหรับผู้มีรายได้เป็นเงินเดือนโดยไม่มีรายได้เสริมอื่น) และจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้
- หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับใบ 50 ทวิ
- รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา
- เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษี เพื่อกรอกแบบฟอร์มการยื่นจ่ายภาษี
สถานที่สำหรับการยื่นภาษี
- ยื่นภาษีด้วยตัวเองที่กรมสรรพากร หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
- ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร //www.rd.go.th
- ยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax โดยการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรเป็นอันดับแรก จึงจะสามารถยื่นผ่านแอปพลิเคชันได้
กรณียกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้พิการ และมีบัตรประจำตัวคนพิการว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
- กรณีเป็นผู้สูงอายุ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
- กรณีมีเครดิตภาษีเงินปันผล สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น สามารถใช้ยกเว้นภาษีได้ตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล
และทั้งหมดนี้ก็คือ รายการลดหย่อนภาษีสำหรับปี พ.ศ. 2565 ที่ทาง FINNOMENA ได้รวบรวมเอาไว้ให้ การวางแผนเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในแต่ละปีก็เป็นการวางแผนทางการเงินอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในหมวดหมู่ของภาษี และเพื่อสิทธิประโยชน์ของตนเองไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่าย การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ หรือการลงทุนเพื่อผลตอบแทนในอนาคต การวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างรัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น และไม่ได้ส่งผลในเรื่องของการเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังส่งผลต่อการวางแผนชีวิตของตัวเราเองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประกันชีวิต ประกันสุขภาพ การลงทุนเพื่อวัยเกษียณ การออมเพื่ออนาคต การซื้อที่อยู่อาศัย เป็นต้น ดังนั้น หากยิ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีมากเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากขึ้นเท่านั้น
รับบริการผู้แนะนำการลงทุนกองภาษีส่วนตัวจาก FINNOMENA ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองภาษี 200,000 บาทขึ้นไป
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> //finno.me/taxplanner-services
FINNOMENA Admin
ผู้เขียน
FINNOMENA
FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง