ตาแห้งเป็นภาวะที่หลายคนเป็นกันมาก โดยจะเกิดขึ้นเมื่อมีน้ำตาไม่เพียงพอในการหล่อเลี้ยงหรือหล่อลื่นดวงตา เนื่องมาจากน้ำตาถูกผลิตออกมาน้อย หรือน้ำตาที่ผลิตออกมาไม่มีคุณภาพ จึงก่อให้เกิดอาการเจ็บตา คันตา หรือตาแดงตามมา ซึ่งน้ำตาไม่เพียงพอก็มีสาเหตุจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อายุที่มากขึ้น สุขภาพของตนเอง สภาพแวดล้อม หรือการใช้ยาบางชนิด
โดยทั่วไป สาเหตุของตาแห้งสามารถเกิดจากสิ่งที่เราเจอในทุก ๆ วัน เช่น การอยู่ในที่แจ้งที่มีลมและแดดแรง การจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินไป หรือจากความเหนื่อยล้า และอาจมาจากการอยู่ในที่ที่มีการสูบบุหรี่ รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- กระบวนการตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines)
- เกิดจากโรคที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างน้ำตา เช่น โรคโจเกรน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคของหลอดเลือด (Collagen Vascular Diseases)
- ปัญหาที่ทำให้เปลือกตาไม่สามารถปิดลงได้เป็นปกติ
อาการของตาแห้ง
เมื่อตาแห้งก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายตา มีอาการระคายเคือง หรือแสบตา ซึ่งอาจเกิดตาแห้งได้จากหลากหลายสถานการณ์ เช่น เมื่อโดยสารเครื่องบิน อยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ระหว่างขับขี่จักรยานยนต์ หรือหลังจากการมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
โดยปกติอาการตาแห้งมักเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ซึ่งอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- มีอาการแสบ คัน ระคายเคือง หรือรู้สึกเสียดสีที่ดวงตา
- เกิดเมือกเหนียว ๆ บริเวณรอบดวงตา
- สายตามีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ
- ตาแดง
- รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในดวงตา
- ใส่คอนแทคเลนส์ได้ยากกว่าปกติ
- ขับรถในเวลากลางคืนได้ยากขึ้น
- ตาแฉะ
- มองเห็นภาพเบลอหรือตาล้า
หากว่ามีสัญญาณหรืออาการของตาแห้งดังกล่าวข้างต้น รวมไปถึงตาแดง ระคายเคือง ตาล้าหรือเจ็บตา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งแพทย์จะตรวจดูอาการหรือส่งไปยังผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
รักษาตาแห้งอย่างไรให้ได้ผล ?
โดยส่วนใหญ่ ผู้ที่มีปัญหาตาแห้งแบบเป็นครั้งคราวหรือมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียมที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปได้ แต่ในรายที่มีอาการติดต่อกันยาวนานและมีความรุนแรง ต้องมองไปถึงสาเหตุ หรือจัดการกับสภาวะหรือปัจจัยที่เป็นสาเหตุของตาแห้ง รวมไปถึงการรักษาอื่น ๆ ที่สามารถทำให้คุณภาพของน้ำตาดีขึ้น หรือการหยุดไม่ให้น้ำตาระบายออกอย่างรวดเร็ว
ในบางราย การรักษาปัญหาสุขภาพที่เป็นสาเหตุพื้นฐานของตาแห้ง สามารถช่วยกำจัดสัญญาณและอาการของตาแห้งได้ เช่น การรักษาด้วยยาที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นที่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือหากมีปัญหาที่เกี่ยวกับเปลือกตาอย่างขอบเปลือกตาม้วนเข้าด้านใน (Ectropion) แพทย์อาจส่งต่อให้ศัลยแพทย์ตาผ่าตัดแก้ไขและฟื้นฟูโครงสร้างเปลือกตา หรือผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) แพทย์ก็จะส่งต่อไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรูมาตอยด์โดยเฉพาะ
โดยยาตามใบสั่งแพทย์ที่ใช้ในการรักษาตาแห้ง ได้แก่
- ยาที่ใช้เพื่อลดการอักเสบที่เปลือกตา
การอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณเปลือกตาสามารถทำให้เกิดต่อมน้ำมันจากน้ำมันที่หลั่งออกมาและไปรวมกับน้ำตาได้ แพทย์อาจแนะนำให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งยาปฏิชีวนะสำหรับตาแห้งส่วนใหญ่จะเป็นแบบยารับประทาน หรือบางคนจะใช้แบบยาหยอดตาหรือขี้ผึ้ง
- ยาหยอดตาเพื่อควบคุมการอักเสบของกระจกตา
การอักเสบที่เกิดขึ้นที่กระจกตา อาจควบคุมได้ด้วยการใช้ยาหยอดตาตามใบสั่งยาจากแพทย์ ซึ่งมีส่วนประกอบของยาไซโคลสปอริน (Cyclosporin) ซึ่งเป็นยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือการใช้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตอรอยด์ แต่ยากลุ่มคอร์ติโคสเตอรอยด์นั้นจะไม่เหมาะกับการใช้ในระยะยาวเนื่องจากผลข้างเคียงของยา
- ไฮดรอกซีโพรพิล เซลลูโลส (Hydroxypropyl Cellulose)
หากมีอาการตาแห้งระดับปานกลางจนถึงรุนแรง และการใช้น้ำตาเทียมไม่สามารถช่วยได้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทางเลือกอื่นอย่างการใช้ที่แทรกตาหรือไฮดรอกซีโพรพิล เซลลูโลส (Hydroxypropyl Cellulose) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าวสีใส ๆ ใช้วันละครั้ง โดยการแทรกเข้าไปที่ระหว่างดวงตากับเปลือกตาด้านล่าง สิ่งนี้ก็จะละลายอย่างช้า ๆ และปล่อยสารที่ใช้ในยาหยอดตาเพื่อหล่อลื่นดวงตา
- ยากระตุ้นน้ำตา
ยาที่ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำตาที่เรียกว่า คอลิเนจิก (Cholinergics) โดยกลุ่มยาชนิดนี้มีทั้งประเภทยาเม็ด แบบเจล หรือยาหยอดตา แต่อาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เหงื่อออก
- ยาหยอดตาที่ทำจากเลือดของตัวเองหรือยาหยอดตาซีรั่ม
หรือที่เรียกว่า Autologous Blood Serum Drops เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ตาแห้งรุนแรงโดยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาชนิดอื่น ๆ แต่ในกรณีนี้จะพบได้น้อยมาก
วิธีป้องกันตาแห้งอย่างถูกต้อง
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาอาการตาแห้ง คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง หรือการป้องกันตั้งแต่สาเหตุ ไม่ปล่อยเอาไว้จนเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยการสังเกตตัวเองว่าสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมใดที่ทำให้เกิดอาการ และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ตัวอย่างง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น
- เมื่ออยู่ในที่ที่มีอากาศแห้งมาก ๆ เช่น ในห้องแอร์หรือบนเครื่องบิน พยายามหลับตาพักสายตาบ่อย ๆ เพื่อลดการระเหยของน้ำตา
- เมื่อต้องทำงานที่ต้องใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน ๆ ควรหมั่นพักสายตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้พยายามกระพริบตาให้ถี่ขึ้นกว่าปกติ
- หากต้องทำงานอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ อาจใช้เครื่องทำความชื้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศให้กับห้องหรือสถานที่ที่มีอากาศแห้งมาก ๆ ได้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีลมแรงนาน ๆ หากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมแว่นตากันลม เพื่อป้องกันลมปะทะดวงตามากจนเกินไป รวมถึงหลีกเลี่ยงแรงลมจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ให้โดนบริเวณดวงตาโดยตรง เช่น การใช้ไดร์เป่าผม การนั่งจ่อหน้าพัดลมหรือแอร์ในรถยนต์ เป็นต้น
- หยดน้ำตาเทียมที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่หากต้องการใช้บ่อยครั้งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารกันบูด หรือจะเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดเจลแทน
- รับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาที่มีกรดไขมันดี อย่างปลาแซลมอนหรือปลาซาร์ดีน แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณที่ควรรับประทานในแต่ละวัน รวมถึงข้อดีและข้อเสียของการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 ในรูปแบบอาหารเสริม
- ประคบอุ่นบริเวณเปลือกตา เพื่อลดการอุดตันของไขมันในต่อมเปลือกตาและเพิ่มคุณภาพของน้ำตา หรือทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาด้วยผ้าชุบสบู่และน้ำอุ่น จากนั้นล้างออกด้วยความระมัดระวัง
- การสูบบุหรี่ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการตาแห้งให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สูบเองหรือผู้ที่ไม่ได้สูบก็ควรหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่
อย่างไรก็ตาม หากสัญญาณและอาการของตาแห้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็น ตาแดง ตาล้า เจ็บหรือระคายเคืองตา ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงขอคำแนะนำในการดูแลรักษาดวงตาให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง