ประเภทพฤติกรรมของสัตว์
พฤติกรรมของสัตว์ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
1.พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด (inherited behavior หรือ innate behavior) 2.พฤติกรรมการเรียนรู้ (learned behavior หรือ acquired behavior)
พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด
ลักษณะสำคัญของพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด
1.เป็นพฤติกรรมที่สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้หรือฝึกฝนมาก่อน
2.เป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ถูกกำหนดด้วยหน่วยพันธุกรรมหรือยีน (gene) ให้มีแบบแผนของการตอบสนองที่คงที่แน่นอน (stereotyped) ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
3.อาจถูกปรับปรุงหรือพัฒนาให้เหมาะสมมากขึ้นได้ด้วยการเรียนรู้ภายหลัง
4.มีแบบแผนที่แน่นอน ในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันทุกตัวจะแสดงพฤติกรรมเหมือนกันหมด
ชนิดของพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด
1.พฤติกรรมการเคลื่อนที่หรือโอเรียนเตชัน (orientation) เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อปัจจัยทางกายภาพทำให้เกิดการวางตัวที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต เช่น ปลาว่ายน้ำในลักษณะที่หลังตั้งฉากกับแสงอาทิตย์ ทำให้ศัตรูที่อยู่ในระดับต่ำกว่ามองไม่เห็นเป็นการหลีกเลี่ยงศัตรูได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการรวมกลุ่มของสัตว์ในบริเวณที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของสัตว์ชนิดนั้นๆ อีกด้วย ทำให้สามารถพบสัตว์ต่างชนิดในต่างบริเวณ พฤติกรรมแบบโอเรียนเตชันแบ่งได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
1.1ไคนีซิส (kinesis) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยการเคลื่อนที่ทุกส่วนของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกของสิ่งมีชีวิตพวกโพรทิสต์ (protist) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำบางชนิดที่ยังไม่มีระบบประสาท หรือมีระบบประสาทแล้วแต่ยังไม่เจริญดีพอ เป็นการเคลื่อที่ซึ่งไม่มีทิศทางไม่แน่นอน ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่ถูกควบคุมด้วยทิศทางของสิ่ง เช่น
- การเคลื่อนที่ของแมลงสาบ เมื่ออยู่ตามที่แคบที่มีผิวสัมผัสใกล้กับตัวมันมาก เช่น ตามซอกบ้านมันจะอยู่นิ่งกับที่แต่เมื่ออยู่ในที่โล่งมันจะเคลื่อนที่รวดเร็วและไม่มีทิศทางแน่นอน เพราะตัวมันไม่สามารถรับความรู้สึกจากผิวสัมผัสที่ห่างไกล
1.2แทกซิส (taxis) เป็นพฤติกรรมที่พบในโพรทิสต์ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด แสดงออกด้วยการเคลื่อนที่ทุกส่วนของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น โดย มีทิศทางการเคลื่อนที่ที่แน่นอนหรือสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า เช่น
- การบินตรงเข้าหาดวงอาทิตย์ขณะหนีศัตรูของผีเสื้อชนิดหนึ่ง โดยผีเสื้อชนิดนี้เมื่อพบศัตรูมันจะบินเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อให้ตาของศัตรูพร่า การที่มันหันไปอยู่ในทิศตรงเข้าหาดวงอาทิตย์ได้ เพราะตาของมันถูกกระตุ้นโดยแสงอาทิตย์เท่ากันทั้ง 2 ข้าง
2.พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ (reflex หรือ simple reflex action) เป็นพฤติกรรมพื้นฐานซึ่งพบในสัตว์ที่มีระบบประสาททุกชนิด แสดงออกด้วยการที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกที่มากระตุ้นอย่างทันทีทันใด โดยมีแบบแผนการตอบสนองที่แน่นอนคงที่ ไม่ซับซ้อน ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าที่เป็นอันตรายได้อย่างรวดเร็ว การตอบสนองต่อสิ่งเร้าจึงเกิดได้เองโดยอัตโนวัติและไม่ต้องใช้เวลาในการรับส่งกระแสประสาทมาก มี 2 ประเภทหลักๆ คือ
2.1 รีเฟล็กซ์ในการงอแขนขา (flexion หรือ withdrawal reflex) เป็นการตอบสนองเพื่อป้องกันตัวจากสิ่งเร้าที่เป็นอันตราย เช่น ถ้าเอามือไปจับสิ่งของที่ร้อนจัดจะกระตุกงอแขนหนีออกจากสิ่งของนั้นทันที
2.2 รีเฟล็กซ์ในการเหยียดแขนขา (stretch reflex) เป็นการการตอบสนองเพื่อช่วยในการทรงตัว เช่น เมื่อ ลื่นหกล้มเราจะเหยียดแขนออกไปยังพื้นเมื่อเท้าข้างหนึ่งสะดุดกับวัตถุกับ
วัตถุที่อยู่ตามพื้นขาอีกข้างหนึ่งจะเหยียดตรงเพื่อยันพื้นเอาไว้ไม่ให้หกล้ม
3.พฤติกรรมรีเฟล็กซ์แบบต่อเนื่อง (chain of reflex) หรือ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์แบบซับซ้อน (complex reflex action) ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้
3.1 มีมาแต่กำเนิด ซึ่งสัตว์สามารถแสดงออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้ หรือมีประสบการณ์มาก่อนเหมือนกับพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ แต่ต่างกันตรงที่มีความซับซ้อนมากกว่า
3.2 มีแบบแผนของการแสดงออกที่แน่นอน และมีลักษณะเฉพาะในสัตว์แต่ละชนิด (species) ซึ่งเรียกว่า fixed action patterns (FAP) แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้บ้างตามสภาพทางสรีรวิทยาของสัตว์และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ที่มีระบบประสาทที่เจริญดี อาจจะถูกดัดแปลงบางส่วนไดด้วยประสบการณ์จากการเรียนรู้
3.3 เป็นการตอบสนองด้วยพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์หลายพฤติกรรมเกิดต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ โดยพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอันดับแรกจะไปกระตุ้นให้มีพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์อื่นๆ ตามมาเช่น
- การสร้างรังของนกประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยๆ
หลายพฤติกรรม เช่น การหาวัสดุที่นำมาสร้างรัง การหาที่ที่เหมาะที่จะสร้างรัง และแบบของรังที่จะสร้าง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะในนกแต่ละชนิด
พฤติกรรม รีเฟล็กซ์แบบต่อเนื่องนี้มีประโยชน์โดยตรงต่อสัตว์ในแง่การช่วยดำรงเผ่าพันธุ์ของสัตว์ให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งพบว่าเป็นผลมาจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกประเภทต่างๆ ร่วมกับสภาพการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายที่สำคัญ 2 ระบบ คือ
1. ระบบประสาทที่ควบคุมแบบแผนการแสดงออกให้เป็นไปอย่างมีแบบแผน
2. ระบบต่อมไร้ท่อหรือฮอร์โมนทำหน้าปรับสภาพในร่างกายให้พร้อมที่จะแสดงพฤติกรรมบางอย่าง เช่น พฤติกรรมการสืบพันธุ์จะไม่แสดงออก ถ้ามีระดับฮอร์โมนเพศไม่เพียงพอ
พฤติกรรมการเรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ เป็นพฤติกรรมของสัตว์ที่อาศัยประสบการณ์หรือการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับระบบประสาท สัตว์จะต้องมีความสามารถในการจำ สัตว์ที่มีวิวัฒนาการของระบบประสาทสูงจะมีความสามารถในการจำมากขึ้น ทำให้มีการเรียนรู้ได้มากขึ้น
ประเภทของพฤติกรรมการเรียนรู้ได้แก่
1.การเรียนรู้แบบแฮบบิชูเอชันหรือความเคยชิน (habituation)
2.การเรียนรู้แบบฝังใจ
(imprinting)
3.การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (conditioning หรือ conditioned response หรือ conditioned reflex)
4.การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (trial and error learning )
5.การเรียนรู้แบบใช้เหตุผล (reasoning หรือ insight learning)
-การเรียนรู้แบบแฮบบิชูเอชัน
การเรียนรู้แบบแฮบชูเอชันเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้แบบที่ง่ายที่สุด คือ การตอบสนองของสัตว์ต่อสิ่งเร้าใดๆ ที่ไม่มีผลอะไรสำหรับมันที่เกิดซ้ำซาก โดยการค่อยๆ ลดการตอบสนองลง จนในที่สุดจะหยุดการตอบสนองทั้งๆ ที่การกระตุ้นจากสิ่งเร้ายังคงมีอยู่ เป็นการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยความจำเป็นพื้นฐาน คือ จำสิ่งเร้าที่มากระตุ้นได้ จึง
-การเรียนรู้แบบฝังใจ
1.เป็นพฤติกรรมที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและการเรียนรู้ โดยช่วงเวลาการเรียนรู้จะถูกควบคุมโดยพันธุกรรม ทำให้สัตว์แต่ละชนิดช่วงเวลาในการเรียนรู้แบบฝังใจต่างกัน แต่จะเหมือนกันในสัตว์ชนิดเดียวกัน ซึ่งเรียกช่วงระยะเวลานี้ว่า ระยะวิกฤติ (critical period หรือ sensitive period
2.อาจแสดงในระยะแรกเกิด หรือภายหลังเมื่อเจริญเติบโตแล้วขึ้นแล้ว จะไม่แสดงออกหรือถูกปิดบังไปโดยพฤติกรรมการเรียนรู้แบบอื่นๆ
3.ความฝังใจที่เกิดขึ้นอาจจำไปตลอดชีวิต หรืออาจฝังใจเพียงระยะหนึ่ง พฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การเรียนรู้แบบฝังใจที่เกิดในระยะแรกเกิดของสัตว์ (parental imprinting) ส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมที่มีการติดตามพ่อแม่ เช่น การเดินตามแม่ห่านของลูกห่านเมื่อแรกเกิด พฤติกรรมแบบนี้จะทำให้เกิดความผูกพันระหว่างลูกกับแม่ การอยู่ใกล้ชิดกันจะช่วยให้พ่อแม่สามารถป้องอันตรายให้แก่ลูก และลูกจะได้มีโอกาสเรียนรู้จากแม่ ทำให้รู้จักเพื่อนร่วมสปีชีส์ จะส่งผลให้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ถูกต้องเมื่อเติบโตขึ้น
2. การเรียนรู้แบบฝังใจที่เกิดในระยะหลังเมื่อเจริญเติบโตขึ้น (sexual imprinting) เป็นพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาจาก parental imprinting ที่ทำให้สัตว์แต่ละชนิด จดจำพวกเดียวกันได้ เมื่อถึงระยะสืบพันธุ์ จึงมีการเลือกสัตว์เพศตรงข้ามที่เป็นสปีชีส์เดียวกันได้อย่างถูกต้อง
ข้อสังเกต
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจนี้ บางพฤติกรรมอาจเกิดขึ้นภายหลัง แม้จะมีการเรียนรู้ในระยะแรกก็ตามการพิจารณาว่าพฤติกรรมนั้นๆ ของสัตว์เป็นการเรียนรู้แบบฝังใจหรือไม่นั้น จึงต้องอาศัยการทดลอง เพราะพฤติกรรมแบบนี้อาจแสดงในภายหลังจากการเรียนรู้ผ่านไปแล้วเป็นเวลานานๆ ก็ได้
-การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข
การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข เป้นพฤติกรรมของสัตวืที่แสดงออกมาเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า 2 ชนิดที่มากระตุ้นตามลำดับ ดังนี้
1. เมื่อมีสิ่งเร้าชนิดแรกซึ่งเรียกว่า สิ่งเร้าแท้จริงหรือสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข (unconditioning stimulus) มากระตุ้นสัตว์จะแสดงการตอบสนองที่มีแบบแผนปกติต่อสิ่งเร้ารั้น
2. ขณะที่คงมีการกระตุ้นจากสิ่งเร้าชนิดแรก เมื่อนำสิ่งเร้าชนิดที่ 2 ซึ่งเรียกว่า สิ่งเร้าไม่แท้จริงหรือสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข (conditioning stimulus) มากระตุ้นพร้อมกับสิ่งเร้าชนิดแรกและให้มีการกระตุ้นจากสิ่งเร้าชนิดที่ 2 เพียงอย่างเดียว สัตว์จะมีการตอบสนองที่มีการตอบสนองที่มีแบบแผนเหมือนกับที่กระตุ้นด้วยสิ่งเร้าชนิดแรก ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้ว สิ่งเร้าชนิดที่ 2 ไม่ทำให้เกิดการตอบสนองเลย
-การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก
เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยการที่สัตว์มีโอกาสทดลองการตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยที่ยังไม่รับรู้ว่าเมื่อตอบสนองไปแล้วจะเกิดผลดีหรือผลเสียหรือไม่ ผลของการของการตอบสนองจะทำให้สัตว์เกิดการเรียนรู้ที่เลือกตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มีผลดีต่อตัวเอง และหลีกเลี่ยงการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดผลเสีย พฤติกรรมการเรียนรู้แบบนี้ในสัตว์ต่างชนิดกันจะใช้เวลาไม่เท่ากัน สัตว์ ที่มีระบบประสาทเจริญดีจะสามารถเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกได้รวดเร็วและ สามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้มากกว่าสัตว์ที่มีระบบประสาทเจริญ ด้อยกว่า เนื่องจากมีการพัฒนาของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจำดีกว่า การพิจารณาว่า สัตว์มีพฤติกรรมเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกได้ดีหรือไม่นั้น ดูได้จากจำนวนครั้งที่ผิดน้อยลง และสามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้
-การเรียนรู้แบบใช้เหตุผล
การเรียนรู้แบบใช้เหตุผล เป็น พฤติกรรมการเรียนรู้ขั้นสูงสุดที่แสดงออกด้วยการแก้ไขปัญหาที่พบเห็นได้ อย่างถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการทดลองทำถึงแม้ว่าปัญหานั้นจะเป็นสิ่ง ที่เคยพบเห็นมาก่อนหรือไม่ก็ตามสัตว์ที่จะแสดงพฤติกรรมแบนี้ได้แก่สัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมเพราะมีสมองส่วนเซรีบรับเจริญดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆมีความ สามารถในการรับรู้ (perception) ว่าปัญหาหรือสิ่งเร้านั้นคืออะไรแล้วยังมีความสามารถในการสร้างแนวคิดเห็น (concept) สำแก้ปัญหาตลอดจนมีการใช้ความจำ (memory) ในสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนจากประสบการณ์แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้อย่างเหมาะสม
แบบทดสอบ เอาไว้ฝึกทำกัน ตามลิงค์นี่เลย
//www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/286/8/biology/unit10t2.html