Lost in hong kong ซ ม ล ชาน-ซ ม

เราเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมตอนเช้าก่อนจะลากกระเป๋าท่ามกลางฝนที่ตกปรอยๆ (จริงๆ ก็ไม่ปรอยนะ) ไปขึ้นรถเมล์ที่อยู่หน้าโรงแรมเพื่อไปยังท่าเรือ Macau Ferry Terminal (อันนี้คือชื่อที่เราจดมาก่อนจะเดินทาง) รถเมล์ที่มาเก๊าคิดราคาเดียวตลอดสาย น่าจะประมาณคนละ 3.4 ดอลลาร์ได้ เราต้องเตรียมเงินให้ครบตามจำนวนเพราะคนขับเขาไม่มีทอนนะคะ พูดง่ายๆ พอขึ้นไปเราจะเป็นคนหยอดเงินใส่กล่องเอง หรือถ้าเป็นคนในพื้นที่ก็จะใช้การ์ดเติมเงินแตะที่เครื่องสแกน คนขับจะไม่แตะต้องเงินเลยค่ะ

การผจญภัยเพื่อไปท่าเรือนั้นยังมีอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากเราจดมาไว้ว่าเราต้องไป Macau Ferry Terminal นะ เราก็นั่งรถไปพร้อมกับมองดูป้ายไปด้วย มีอยู่ป้ายหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเหมือนจะเป็นท่าเรือ แต่ด้วยความคิดที่ว่าชื่อที่เราจดมาเนี่ยมันไม่เหมือนกัน ก็เลยคิดว่ายังไม่ถึง เราเลยนั่งไปต่อสักพักก็เริ่มรู้สึกว่ารถเมล์เริ่มวนกลับมาทางเก่าเพื่อเข้าเมืองแล้ว ตอนนั้นเลยตัดสินใจถามคนขับซึ่งสื่อสารกันอย่างยากลำบาก เพราะเราพูดอังกฤษ ส่วนเขาพูดจีน แต่จากท่าทางก็ทำให้เราพอเข้าใจว่า เรานั่งเลยป้ายแล้ว

แต่โชคดีที่มีผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่งอยู่บนรถเมล์ด้วย เขาถามว่าเราจะไปไหน พอบอกว่าจะไปท่าเรือข้ามไปเกาะฮ่องกง เขาก็เลยชี้อาคารที่เราคิดว่าเป็นท่าเรือ (แต่คนละชื่อกับที่เราจดมาให้ดู) แล้วบอกให้เราลง แล้วข้ามถนนไปขึ้นรถคันใหม่ ตอนแรกเราก็คิดว่าจะนั่งแท็กซี่ไปกันดีไหม แต่คิดไปคิดมา ในเมื่อรถเมล์ก็มี แถมยังวิ่งถี่ซะขนาดนี้ เรื่องอะไรจะเสียเงินให้แท็กซี่ล่ะเนอะ 🙂

เรานั่งเรือของ Turbo Jet ค่ะ มีบริการตลอด 24 ชั่วโมง เรือออกจากท่าทุกๆ 30 นาที ราคาค่าตั๋วชั้นธรรมดาสำหรับวันธรรมดาตกคนละประมาณ $HK 139 ได้ค่ะ จะสังเกตว่าถ้าเราข้ามจากมาเก๊าไปฮ่องกงจะแพงกว่านิดหนึ่ง ถ้าไปช่วงกลางคืนก็จะแพงกว่า แล้วถ้าไปช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ก็จะแพงกว่าเหมือนกันค่ะ เป็นอย่างนี้ทุกเจ้าเลย

หลังจากข้ามฝั่งมาแล้ว ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น เรือจะไปจอดที่ตึก Shuntax ผ่านต.ม. ตรวจเอกสารนิดหน่อย จากนั้นเราก็นั่ง MTR ซึ่งอยู่ด้านล่างของตึกไปยังที่พักของเราค่ะ ขอบอกว่าบรรยากาศในฮ่องกงกับมาเก๊าต่างกันลิบลับค่ะ อย่างน้อยเราก็สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้สะดวกมากขึ้น

อ้อ ลืมบอก เราทำบัตร octopus ด้วยนะคะตั้งแต่ขึ้นมาที่ฝั่งฮ่องกง บัตรนี้เป็นบัตรเติมเงินซึ่งสะดวกมากๆ ใช้จ่ายค่าเมโทร รถเมล์ ร้านสะดวกซื้อจำพวก 7-11 และร้านอื่นๆ ที่รองรับบัตรนี้ได้ด้วยค่ะ ค่ามัดจำบัตร $HK 50 ซึ่งนำบัตรมาคืนที่เคาน์เตอร์เพื่อขอมัตรจำคืนได้ภายหลัง โดยเขาจะหักค่าธรรมเนียมไปคนละประมาณ $HK 9 (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) เราเติมเงินไว้ที่ $HK 100 ค่ะ ซึ่งเราก็ใช้เกินนิดๆ

เราเสียเวลาหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ๆ เจ้าของโรงแรมก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็ใช้ความพยายามในการสื่อสารมากนิดหนึ่ง แต่ไม่ยากเกินไปเพราะเราได้นำ voucher ที่จองที่พักยื่นให้ เราพักขากันเล็กน้อยก่อนจะลงไปทานอาหารเช้าที่ร้านโจ๊กหน้าโรงแรมกันค่ะ

ร้านที่ว่านี้เป็นร้านโจ๊กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่ยอมรับของคนท้องถิ่น เป็นร้านเล็กๆ แต่เบียดเสียดไปด้วยผู้คนที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา โต๊ะจึงหาที่ว่างยากเหลือเกิน ผลคือเราต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นค่ะ แปลกดีเหมือนกัน ที่แปลกนี้คือเรานั่งตรงข้ามคนที่ไม่รู้จักอ่ะค่ะ ส่วนนัทนั่งข้างๆ เลยรู้สึกแปลกที่ว่าฉันมากินข้าวกับใครกันแน่เนี่ย 555

เวลานั้นก็ถือว่าสายแล้ว แต่มาฮ่องกงทั้งทีเราก็อยากกินโจ๊กเนอะ เลยตัดสินใจสั่งโจ๊กกันค่ะ เราสั่งโจ๊กใส่หมูและตับธรรมดาค่ะ ส่วนของนัทสั่งแบบใส่ทุกอย่างตั้งแต่ไข่เยี่ยวม้า ปลาทอด ลูกชิ้น หมู กุ้ง ฯลฯ แล้วเรายังลองสั่งผัดหมี่มากินด้วยค่ะ แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว

ตามความเห็นเรานะคะ โจ๊กให้เยอะมากค่ะ แต่รสชาติค่อนข้างจืด ไม่กลมกล่อมเหมือนโจ๊กบ้านเรา ส่วนผัดหมี่ที่ลองสั่งมา เราไม่ให้ผ่านค่ะ ไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่เลย แอบเสียดายเงิน แง้

โปรแกรมเที่ยวที่แรก เราจะไปไหว้พระใหญ่กันค่ะ ก่อนหน้าที่เราจะมาฮ่องกงนั้น เราได้จอง voucher กระเช้านองปิงไว้ แต่ก่อนหน้าที่เราจะเดินทางสองอาทิตย์ เว็บที่เราซื้อตั๋วล่วงหน้าก็ประกาศว่ากระเช้านองปิงจะปิดปรับปรุงเป็นเวลาสามอาทิตย์เนื่องจากโดนไต้ฝั่นกระหน่ำ ซึ่งวันแรกที่ปิดนั้นตรงกับวันที่เราเดินทางไปถึงพอดี เราจึงต้องคืนตั๋วค่ากระเช้าไปโดยปริยาย ซึ่งพนักงานที่รับเรื่องก็น่ารักค่ะ

แต่อุปสรรคหรือจะมาขัดเราได้ เมื่อขึ้นกระเช้าไม่ได้ เราก็ขึ้นรถเมล์ไปก็ได้นี่นา เราจึงนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง Tsuen Wan Line ไปลงที่ Lai King จากนั้นต่อรถไฟฟ้าสีส้มไปลงที่ Tung Chung และออกทาง Exit B เพื่อเดินทางไปจุดที่รถเมล์จอดใกล้ๆกับทางขึ้นกระเช้า Ngong Ping 360 ค่ารถเมล์ไม่เกิน 20 ดอลลาร์ เราก็ยืนรอแป๊บหนึ่งก็ได้ขึ้นรถเมล์แล้วค่ะ

จากภาพเราจะเห็นห้างที่ชื่อว่า Citygate ด้วย เป็นเอาต์เลตค่ะ คนก็มาเดินเยอะเหมือนกัน เราเข้าไปดูตอนขากลับ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ บอกไว้เผื่อใครอยากแวะ

เรานั่งรถขึ้นเขาประมาณ 45 นาทีได้ แล้วก็มาถึงค่ะ เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงพายุเข้า แต่โชคดีค่ะที่วันนี้มีช่วงที่ฝนหยุดให้เราเดินเที่ยวได้บ้าง ดังนั้นพอเราไปถึงวัดที่อยู่บนเขา เราจึงเห็นหมอกสีขาวลอยละล่องเต็มเลย

จะบอกว่ามีป้ายขายของภาษาไทยด้วยอ่ะ เห็นไหมคะ 🙂

อากาศดีมากกกกกก เราก็เก็บภาพกันไปตามระเบียบ ด้านล่างตรงที่เราอยู่นี้จะมีหมู่บ้านที่ชื่อว่า หมู่บ้านนองปิงค่ะ สามารถแวะเที่ยวชมได้ มีร้านอาหารด้วยน้า

ชาวบ้านที่นี่เขาเลี้ยงวัวแบบปล่อยกันด้วยอะ ตามทางรอบหมู่บ้านเลยมีขี้วัวอยู่เป็นระยะ เวลาเดินต้องระมัดระวังนิดหนึ่งนะคะ 🙂

จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นองค์พระใหญ่มาแต่ไกลเลยค่ะ เอ๊ะ เราเห็นจากที่สูงๆ ใช่ไหม แสดงว่าคงต้องเดินขึ้นไปไหว้ท่านสินะ

แล้วเราก็เริ่มออกเดินกันค่ะ ถัดจากประตูสีขาวด้านหน้า ก็จะเป็นลานกว้าง อย่างที่บอกตอนเราไปเป็นช่วงหลังฝนตก หมอกก็เลยลงค่ะ แถมลงจัดมากเลยค่ะ กลายเป็นเมืองในสายหมอกไปเลย สวยไปอีกแบบเนอะ

เมื่อเดินมาสุดทางเดิน เราจะพบลานวงกลมกว้างๆ ค่ะ เขาว่ากันว่าบริเวณนี้เป็นจุดที่เราจะขอพรและรับพลังจากองค์พระได้ เพราะเป็นจุดที่พระใหญ่ท่านจะมองลงมาเห็นเราได้อย่างชัดเจนที่สุด แต่เราจะมารับพลังกันตอนขากลับค่ะ เพราะฉะนั้นเตรียมขึ้นข้างบนกันเถอะ

สารภาพว่าตอนแรกที่เห็นบันไดเกือบเป็นลมค่ะ จะสูงไปหนายยยยยยย มีทั้งหมด 268 ขั้นค่ะ แต่เมื่อมาแล้ว ท้อไม่ได้ ฉะนั้นต้องพยายามต่อไป แม้เหนื่อยจนแทบหอบเลยก็ตามที เราก็เลยเดินไป พักไป ถ่ายรูปไปเป็นระยะ เพลินๆ ดีค่ะ

น่าแปลกมากเลยนะคะ ตอนแรกที่เรามองมาจากข้างล่างนั้น หมอกสีขาวบดบังองค์พระจนมิด แบบว่าหมอกหนักมากจริงๆ แต่พอเราไปถึงบนสุด หมอกกลับหายไปไหนก็ไม่รู้ ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นท่านอย่างชัดเจน

ข้างบนสวยมากค่ะ แถมยังอากาศดีมากๆ ด้วย มีต้นสนล้อมรอบเต็มไปหมด ด้านหนึ่งเป็นตัวหมู่บ้านที่แทรกปนกับป่าไม้ อีกด้านเป็นทะเลที่มีเกาะเล็กๆ ประปรายอยู่ค่ะ

จากที่หาข้อมูลมาพบว่าองค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์หนัก 250 ตัน สูง 34 เมตรจากฐานซึ่งเป็นรูปกลีบบัว ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นและแบพระหัตถ์ซ้ายไว้บนตัก ว่ากันว่าใครที่ไปนมัสการพระใหญ่ ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขและประสบความสำเร็จในทุกๆด้านค่ะ

เราดีใจมากที่ได้เห็นหมอกในทะเลอีกแล้ว สวยมากจริงๆ

เราเดินชมทั่วทุกมุมเลยค่ะ

ถ้าถามว่าองค์พระที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ที่มีน้ำหนักมากถึง 250 ตันนั้นมีขนาดใหญ่ขนาดไหน ลองดูภาพข้างล่างสิคะ เทียบกับตัวเราแล้ว เราดูเล็กกระจิ๊ดเดียวไปเลย

ส่วนใต้ฐานขององค์พระนั้นมีห้องจัดแสดงภาพด้วยนะคะ แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ ซึ่งแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นภาพสีน้ำมันที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาขององค์พระ ส่วนที่สองเป็นวงล้อพระพุทธธรรม ส่วนที่สามเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากประเทศศรีลังกาค่ะ

ถึงเวลาก็เดินลงมาค่ะ เพราะเริ่มเย็นแล้ว กลัวไม่มีรถกลับ แล้วดูสิคะ พอเรากลับหมอกก็เริ่มบดบังองค์พระอีกแล้ว พูดไม่ออกเลยค่ะ

เห็นบันไดทางลงแล้วแอบวิงเวียนเนอะ ถ่ายมุมนี้ดูเหมือนชันยังไงไม่รู้

อย่างที่บอกว่าเราจะกลับมารับพลังและขอพรจากท่านอีกครั้งก่อนกลับที่ลานวงกลม กว่าเราจะลงไปถึง ก็มองไม่เห็นองค์พระแล้วค่ะ หมอกลงหนากว่าตอนแรกเยอะเลย

จากนั้นเราก็นั่งรถเมล์กลับมาโรงแรมค่ะ แอบแวะซื้อขนมมากินด้วย หูยยย ไม่อยากบอกเลยว่าที่ฮ่องกงร้านขายขมญี่ปุ่นเยอะมว้ากกกกกก แถมยังราคาถูกกว่าที่ไทยเยอะ เรียกว่าถูกกว่ากันครึ่งๆ เลย แล้วทำไงล่ะคะถ้าไม่ซื้อมากิน อิอิ

แต่แอบซื้อพลาสเตอร์บรรเทาปวดมาด้วย แบบว่า…ไม่ได้เดินเที่ยวนาน อาการปวดขาเลยกำเริบ จริงๆ ปวดไปทั้งตัวเลยค่ะ 5555

นอนเกลือกกลิ้งที่โรงแรมจนถึงสองทุ่มได้ เลยลงมาหาของกินจากร้านในย่านแถว Mong Kok กันค่ะ แน่นอนค่ะ เป็นร้านที่หาข้อมูลมาแล้ว แต่พอไปกินกลับไม่ค่อยประทับใจเลย หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ชอบอาหารจืดๆ ก็ได้มั้ง จากที่ปกติเวลาเที่ยวไม่เคยคิดที่จะพกมาม่าใส่กระเป๋า ตอนนั้นเราอยากได้มาม่าต้มยำมากเหลือเกิน…มากที่สุด 😉

แล้วเราก็แอบแวบชมชีวิตผู้คนค่ะ ฮ่องกงคนพลุกพล่านมาก ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย คนที่นี่ติดมือถือมากเหมือนกันค่ะ แถมส่วนใหญ่ใช้แต่ซัมซุงด้วย หุหุ

แล้วเราก็มาเดินย่อยกันที่ Lady Night Market กันค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือตลาดนัดกลางคืนนั่นเอง ของส่วนใหญ่ที่เราเห็น นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็จะเป็นของก็อปแบรนด์เนมค่ะ ของก็อปจริงๆ วางขายเกลื่อนกลาดเลย

แล้วก็เหมือนเดิม มีร้านขายเสื้อผ้า เครื่องสำอางให้เลือกเพียบ ร้านอาหารก็เรียกได้ว่าเดินไปมุมไหนก็เจอ

ตอนขากลับโรงแรม คุณชายอยากกินเต้าหู้เหม็นที่ขายตามร้านของทอดค่ะ แต่เราทนกลิ่นไม่ค่อยได้ เลยไม่กิน ยิ่งกว่านั้นยังมีอาการอาหารเป็นพิษอีกต่างหาก เป็นคนเดียวด้วย ถึงห้องเลยไปอาเจียนตามระเบียบ คิดว่าน่าจะมาจากร้านที่เพิ่งกินเข้าไปล่าสุด อิฉันเลยทำการแบล็กลิสต์เอาไว้ว่าถ้ามาคราวหน้าฉันจะไม่ไปกินอีกแล้ว

ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ จะทยอยๆ มาเขียนต่ออีกบล็อกหนึ่ง เจอกันบล็อกหน้าค่ะ ที่นี่เลย ตะลอน Hong Kong (2)

Macau เราก็ต้องมากิน

Trip Macau-Hongkong : 2-5 September 2013

สวัสดีค่ะ เริ่มทริปใหม่กันอีกแล้ว คราวนี้เป็นทริปยาวต่อเนื่องอีกแล้วค่ะ จะเริ่มไล่มาตั้งแต่มาเก๊า ฮ่องกง จากนั้นก็ลงไปทะเลใต้แล้วก็ขึ้นดอยแอ่วเหนือกันค่ะ มาดูกันว่าจบทริปเราจะตัวบวมขนาดไหนเพราะยังไงๆ มาเที่ยวทั้งทีก็หนีไม่พ้นเรื่องกินอยู่แล้ว 555

เราเริ่มทริปนี้ด้วยความฉุกละหุกค่ะ ทีแรกตกลงกับนัทว่าต่างคนต่างไปเจอกันที่สนามบินละกัน แต่ก็นะ…เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าอยากนั่งแท็กซี่ไปด้วยกันก็เลยตกลงนัดเจอกันที่ข้างล่างบีทีเอสวงเวียนใหญ่ เราก็บอกเขาว่า เออ…รออยู่ตรงทางขึ้นฝั่งทางออก 1 นะ จะได้โบกแท็กซี่ไปลงดอนเมืองต่อเลย แต่เป็นไงไปไงไม่รู้ หากันไม่เจอ หากันอยู่นั่นร่วมครึ่งชั่วโมงทั้งที่เราก็อยู่ที่เดิมตลอด จนเราเริ่มหงุดหงิดและกังวลแล้วว่าอาจจะเช็กค์อินไม่ทัน สุดท้ายเลยตัดสินใจต่างคนต่างโบกแท็กซี่ไปเองดีกว่า เราก็ได้แต่นั่งหงุดหงิดๆ ในรถว่าบอกให้ไปเจอกันที่สนามบินตั้งแต่แรกก็ไม่ยอม แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ เราต้องจ่ายทั้งค่าทางด่วนทั้งโทลเวย์เพื่อให้ไปถึงสนามบินให้เร็วที่สุด

แต่….แต่เรื่องยังไม่จบค่ะ รถแท็กซี่ที่คุณชายนั่งมา คนขับดันไม่รู้จักทางซะงั้น แถมเป็นเช้าวันจันทร์ที่รถติดได้โล่ โน่นเลยค่ะ ขับออกไปแจ้งวัฒนะ ขับอ้อมไปเพื่อ?? เราที่คอยอยู่ที่สนามบินทั้งกลัวทั้งหงุดหงิดว่าช่างเป็นการเริ่มต้นทริปด้วยอารมณ์ที่ดีเหลือเกิน จนสุดท้ายนัทต้องลงจากแท็กซี่แล้วโบกมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้เร่งเครื่องเต็มที่มาส่งแบบเส้นยาแดงผ่าแปดสุดๆ

พอโหลดกระเป๋าได้ ก็วิ่งผ่านต.ม.เข้าไปยังเกตสุดท้ายนู้นนนนน เราแทบเป็นลม วิ่งกันคอแห้งไปเลย เกือบแล้วค่ะ เกือบจะไม่ได้ไปซะแล้ว เฮ้อออออ

พอได้นั่งประจำที่ก็อารมณ์เย็นลง หลับๆ ตื่นๆ สักพัก (ไม่ใช่เรานะคะ) ก็ถึงแล้วจ้า เรามาลงที่มาเก๊าเป็นที่แรกสำหรับทริปนี้ค่ะ (ฮ่องกง/มาเก๊าเร็วกว่าไทย 1 ช.ม.ค่ะ)

เอากระเป๋า แลกเงินเสร็จ เราก็หยิบกระดาษแพลนต่างๆ ที่ปริ้นท์ติดตัวเอาไว้ออกมาค่ะ เรามาถึงตอนกลางวัน ก็ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แล้ว ก็เลยใช้วิธีนั่งรถฟรีของ The Venetian ซึ่งจอดอยู่ด้านนอกสนามบินค่ะ เป็นคันสีน้ำเงิน เขียนด้านข้างไว้ว่า The Venetian ย่านนี้จะเป็นย่านคาสิโนแทบทั้งหมด ตามรายทางถูกรายล้อมด้วยโรงแรมที่แสนหะรูหะรา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกาสิโนทั้งนั้นเลย

เรานั่งรถประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ จากนั้นก็เดินเข้าไปในเดอะเวเนเชี่ยน ข้างในแสนจะใหญ่โต แถมประโคมตกแต่งด้วยสีทอง ไม่เรียกว่าหรูก็ไม่รู้จะพูดว่าไงแล้ว เราเดินเข้าไปก็จะเห็นเคาน์เตอร์เช็กอินจะอยู่ฝั่งซ้าย แต่เราเดินไปทางขวาเพื่อไปฝากกระเป๋าไว้ เพราะเราไม่มีปัญญาพัก อุ๊ย! ไม่ช่ายยยย เราตั้งใจมาเที่ยว ไม่ใช่มาเล่นกาสิโนค่า จากนั้นเราก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสี่กัน (หรือชั้นสามหว่าจำไม่ได้แล้ว) ไปเดินเล่นที่เวนิสจำลองค่ะ

เราออกจากลิฟต์ ผ่านบันไดเลื่อนไปสักหน่อย (จะละเอียดไปไหนเนี่ย) ออกประตูไปเราก็จะเจอเวนิสจำลองที่แสนโด่งดังของเดอะเวเนเชี่ยนแล้วค่ะ ได้ดูแล้วก็ทึ่งนะคะ ทั้งที่มันอยู่ระหว่างชั้นในตัวอาคารแท้ๆ คนก็ยังเจาะพื้น ใส่น้ำลงไปทำให้เหมือนทะเล แถมยังทำท้องฟ้า เปิดไฟให้ดูสลัวๆ ตึกอาคารในนั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้าก็เน้นตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป สรุปว่าจำลองได้เก่งจริงๆค่ะ

ดูสิคะ แม้แต่สะพานยังทำเลย แม้จะไม่เป๊ะ แต่ก็โอเคค่ะ

จะบอกว่าไม่ได้มีแต่เราหรอกค่ะที่แค่มาเที่ยวชมแต่ไม่ได้พักที่โรงแรมนี้ เพราะเราก็ทำตามเขามาเหมือนกัน 5555 ไปเถอะค่ะ สำหรับคนที่ไม่อยากไปเวนิสที่ไกลถึงอิตาลี แต่อีกที…ไปที่อิตาลีจริงๆ ก็น่าจะดีกว่าอยู่ดีเนอะ

เดินเล่น ถ่ายรูปกันสักแป๊บ รู้สึกไม่ไหวแล้ว หิวมาก ข้าวเช้ากับข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน เลยลงไปเอากระเป๋าแล้วลากไปตามทางข้างล่างนี้เลยค่ะ เราจะไปนั่งรถฟรีไปโรงแรมกัน หาป้าย Hotel West Lobby อยู่นาน ที่แท้ต้องเดินผ่ากลางกาสิโนเข้าไป ก็โดนคุณยามเรียกตรวจพาสปอร์ตกันนิดหนึ่ง

ถึงโรงแรม เช็กอิน เอากระเป๋าเก็บเรียบร้อยก็ควักแผนที่ร้านอาหารที่เตรียมไว้ออกมา ตามหัวข้อเลยที่บอกว่า “มาถึงมาเก๊า เราก็ต้องมากิน” จะบอกว่าเราเตรียมที่จะไปตะลุยกินกันจริงๆ ค่ะ ถ้าใครดูลิสต์ร้านอาหารแนะนำที่ต้องไปชิมนี่คงต้องอึ้งกันเป็นแถว แต่ว่า…แต่อีกละ เนื่องจากเรากะเวลาผิด เลือกนั่งเครื่องบินไฟล์สายๆ กว่าจะถึงมาเก๊าก็บ่าย กว่าจะออกจากเดอะเวเนเชี่ยน กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้ว บร๊ะเจ้า! รายการอาหารดูเหมือนจะลดลงแล้วแน่ๆ เลย

ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ตั้งใจเก็บร้านที่อยากกินให้ได้มากที่สุดเอาไว้ เราไปร้านแรกกันค่ะ เป็นร้านห่านย่าง เป็ดย่าง หมูแดง เดินจากที่พักไปไกลพอสมควร ทีแรกแอบงงแผนที่ที่ปริ๊นท์มา พอถามคนในพื้นที่ถึงรู้ว่าแผนที่มากลับหัวนี่เอง ร้านนี้จะอยู่เลยเซนาโด้สแควร์ไป 2-3 แยกค่ะ ไม่ไกลจากร้านทาร์ตไข่มาร์กาเรตเลย มีชื่อร้านเป็นภาษาจีนอ่านว่าอะไรไม่รู้ แต่มีคนแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ แต่ไปถึงร้านจริงๆ เราก็ไม่ได้มองภาษาอังกฤษที่ป้ายร้านหรอกค่ะ อาศัยรูปถ่ายที่เซฟเอาไว้มาเทียบเอาค่ะ

ร้านนี้มีชื่อว่า “Chan Kuong Kei Casa de Pasto” ค่ะ เป็นร้านท้องถิ่นที่มีคนเข้าออกตลอด ในร้านมีเมนูภาษาอังกฤษ แต่คนในร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย กร้ากกกกก เอาเป็นว่ากว่าเราจะสั่งให้เข้าใจตรงกันได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่พนักงานเขาก็ดีนะคะ เห็นว่าเราจะสั่งเป็นจานแยกๆ เขาก็แนะนำว่าสั่งแบบกับโปะข้าวดีกว่าไหม เผื่อจะถูกกว่า เราปฏิเสธไป เพราะลองมาหารกันสองคนแล้ว ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อีกอย่าง…อยากกินอะไรที่มันหลากหลายด้วย แต่ใครจะสั่งแบบราดข้าวก็ไม่ผิดนะคะ ไม่อยากบอกว่าเราอ่ะ น้ำลายไหลตั้งแต่ดูรีวิวในเว็บแล้ว 555

อาหารแนะนำ : เลือดหมูกับผักกาดแก้ว มันเป็นอะไรที่โอ้วววว สุดยอดมากๆ เลือดนุ่มๆ เคี้ยวกรึบๆ กินแกล้มเบียร์ชิงเต่าแล้วอย่างกับล่องลอยอยู่ในความฝัน (เว่อร์มะ) แล้วก็พวกหมูย่างที่เนื้อนุ่มกำลังดี เป็ดย่างพริกไทยดำ จานนี้ขอบอกว่าต้องสั่งนะคร้าบบบบบ มันหอมพริกไทย แล้วน้ำราดที่ราดมาให้บนหนังเป็ดกรอบๆ นี่ พอเอามากินกับข้าวสวยร้อนๆ เราพนันเลยว่าคุณต้องขอข้าวเป็นถ้วยที่สองแน่ๆ (เอ๊ะ! หรือว่าเราจะหิว?!) แล้วที่ขาดไม่ได้ก็คือไก่นึ่งซีอิ้วค่ะ เนื้อไก่นุ่มมากกกกกกกก เขาจะมีน้ำจิ้มขิงผสมกระเทียมออกรสเค็มมาให้ค่ะ แต่เราแอบคิดว่าถ้าได้น้ำจิ้มข้าวมันไก่แบบไทยๆ ก็จะดีไม่น้อย ร้านนี้ถ้ามีสิบให้สิบคะแนนเลยค่ะ แม้กระทั่งตอนนี้ยังประทับใจไม่รู้ลืม เลิฟเลิฟ

สรุปมื้อนี้จ่ายไปประมาณสองร้อยเหรียญฝ่าๆ

เหมือนจะอิ่ม แต่ก็นะ เราก็ยังไม่หยุดกิน เราเดินเข้าซอยเล็กๆ ไปร้านทาร์ตไข่มาร์กาเร็ต (Margaret’s Café e Nata) กันค่ะ ร้านนี้เปิด 06:30 – 20:00 แต่ปิดวันพุธนะจ๊ะ เป็นหนึ่งในสองร้านที่ขายทาร์ตไข่อันเลื่องชื่อของมาเก๊าค่ะ

จะบอกว่าร้านนี้มีตำนานด้วยละ ว่ากันว่า… ร้านทาร์ตไข่ร้านแรกเป็นของชายชาวอังกฤษที่ชื่อว่าท่านลอร์ด โสตว์ ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เกาะโคโลอาน และเปิดร้านขายทาร์ตไข่โดยตั้งชื่อร้านว่า Lord Stow’s Bakery จากนั้นไม่นานก็ได้มาแต่งงานกับสาวงามนามว่า มาการ์เร็ต แล้วทั้งสองก็ช่วยกันทำร้านจนโด่งดัง แต่สุดท้ายความรักของทั้งคู่ก็เป็นอันขาดสะบั้นลง ท่านลอร์ด โสตว์ ยังคงทำทาร์ตไข่ขายที่เกาะโคโรอานต่อไป ส่วนคุณนายมาร์กาเร็ตก็นำความรู้เรื่องทาร์ตไข่ที่ได้มาจากสามีมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง(ซะงั้น) ซึ่งเป็นร้านที่เราไปกินนี่แหละค่ะ และทั้งสองร้านก็ได้รับความนิยมไม่ต่างกันเลย

เราซื้อมาแบบเซ็ต 6 ชิ้นค่ะ เพราะอยากได้กล่อง กร้ากกกกก แต่ถ้าอยากซื้อชิ้นสองชิ้นแล้วมานั่งกินที่หน้าร้านก็ทำได้ค่า มีขนมอื่นๆ ให้เลือกด้วย หรือจะเป็นน้ำปั่นก็มีให้ซื้อหานะคะ

ขอบอกว่าถ้าจะกินทาร์ตไข่ให้อร่อยแบบอร้อยยยย อร่อยจริงๆ ต้องกินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่ค่ะ แป้งของทาร์ตไข่ร้านนี้กรอบกำลังดี กัดไปคำแรกกลิ่นหอมนมเนยและคัตตาร์ต รวมถึงไข่ร้อนๆ มันลอยกรุ่นเข้าจมูก เป็นอะไรที่ลืมไม่ลง (ไม่ได้โม้!)

ตอนที่เรากินอ่ะ เราหลบฝนด้วย เป็นการเที่ยวที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจซะเลย ชริ ชริ เราเลยหยิบมากินระหว่างรอฝนซา อากาศเย็นนิดๆ กับทาร์ตไข่ร้อนๆ อ้าาาาา ยิ่งพิมพ์ยิ่งน้ำลายไหล มันอร่อยกว่าทาร์ตไข่เคเอฟซีหลายล้านเท่า!

อิ่มท้องแล้วต้องทำยังไงคะนักเรียน เดินเที่ยวสิคะ เราเดินกลับมาที่เซนาโด้สแควร์ค่ะ เราแวะหลบฝนกันที่ธนาคารนิดนึง (ตรงนี้แหละที่เราแอบแว้บกินทาร์ตไข่ อิอิ)

ถนนหนทางบ้านเขาเส้นไม่ใหญ่มากค่ะ แต่มีรถวิ่งพลุกพล่านตลอด รถเมล์ก็มีให้บริการหลายสายเลย

เซนาโดสแควร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วนะจ๊ะ อย่างที่รู้ๆกันเนอะว่าเคยถูกปกครองโดยโปรตุเกสมาก่อน ดังนั้นสถาปัตยกรรมแถบนี้ ไม่ว่าป้ายชื่อถนนต่างๆ ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของชาวโปรตุกีสเอาไว้

สวยดีค่ะ ดูลูกเล่นที่ถนนสิคะ ใครจะไปใครจะมาที่นี่ (หมายถึงนักท่องเที่ยวนะ) จะต้องไม่พลาดที่จะแวะมาถ่ายรูปกันค่ะ ร้านค้าแถวนี้น่าจะถูกใจสาวๆ เยอะเลย เพราะเต็มไปด้วยร้านขายเครื่องสำอางจำพวก Sasa, Bonjour, Watsons ค่ะ

แล้วเราก็เดินต่อไปเที่ยวซากโบสถ์กันค่ะ จะเรียกว่าเป็นย่านละลายทรัพย์เลยก็ว่าได้ เพราะมีทั้งร้านขายเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านขายหมูแผ่น ขนมปัง โอ๊ย เยอะแยะไปหมด แต่เราอิ่มแล้ว เลยไม่ค่อยสนเท่าไหร่ ระหว่างทางมีโบสถ์ขึ้นชื่อว่าโบสถ์เซนต์โดมินิกด้วยนะคะ แต่เราลืมเก็บภาพไว้ เป็นโบสถ์สีเหลือง สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1587 อยู่ไม่ไกลจาก 7-11 เท่าใดนัก

เดินมาเรื่อยๆ ท่ามกลางฝนปรอย มองป้ายบอกทางก็จะเจอจุดหมายปลายทางของเราค่ะ ซากโบสถ์เซนต์ปอล แต่ก่อนจะถึงซากโบสถ์นี่ ข้างทางมีร้านขายหมูแผ่นเยอะแยะมากมายเลย คนในร้านก็ออกมาเรียกลูกค้าก็เป็นทิวแถว ไม่หวั่นแม้วันฝนตก…

โบสถ์นี้มีประวัติว่าไว้ว่า ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1602-1640 เคยเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของชาวตะวันตกในดินแดนตะวันออก ต่อมาในปี 1835 ก็เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงจนเหลือแต่ซาก ด้านหลังจากซากโบสถ์มีหลุมฝังศพของบาทหลวงผู้ก่อตั้งโบสถ์และโครงกระดูกของชาวคริสต์ญี่ปุ่นและเวียดนามที่เสียชีวิตอยู่ค่ะ แต่เราไปถึงก็เจอทั้งฝนตก แถมยังค่ำแล้วด้วย เลยไม่ได้ไปดูด้านหลังค่ะ

รูปถ่ายตอนฟ้าไม่ใสแสนจะหม่นหมอง เราเดินบันไดขึ้นไปกันค่ะ ไม่สูงมากแต่ก็เล่นเอาหอบไปนิด ก็บันทึกภาพไว้ค่ะ แต่ก็รู้ว่าภาพที่บันทึกไปมันไม่หายไปไหนหรอกเพราะมันอยู่ในฮาร์ดดิสของเรา(ถ้าไม่ทำหายหรือทำพังอ่ะนะ) แต่ความทรงจำในสมองของเรานี่สิ มันจะเริ่มเลือนหายไปตามวันเวลา เราก็เลยต้องนำมาบันทึกไว้ในบล็อกนี่แหละค่ะ เวลากลับมาอ่านก็ขำๆ ดีว่าเวลาไปเที่ยว ได้ไปเจอนั่นนู่นนี่ เจอเหตุการณ์อย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ไม่ลืมค่ะ

เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะ จะไปต่อกันที่ฮ่องกงนะจ๊ะ

Marseille เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์ (2)

Trip Marseille, France : 12-13 June 2011

หลังจากไปนั่งเรือชมหินผาที่กลางทะเลมาเมื่อวาน (ความเดิมตอนที่แล้ว Marseille เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์ (1)) วันนี้ตอนเช้าเราก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ลงมาซื้อตั๋วเพื่อจะนั่งเรือไปยังเกาะที่ใจกลางทะเลกันค่ะ เกาะที่ว่านี้มีสองเกาะด้วยกันอย่างที่เคยบอกไปในบล็อกที่แล้วคือ ชาโต้ดิฟกับหมู่เกาะฟริอูล วันนี้เรามาดูกันค่ะว่าแต่ละเกาะเป็นอย่างไร

โชคดีที่อากาศในวันนี้แจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง นกนางนวลบินร่อนเต็มท้องฟ้า มีโอกาสคุยกับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาจากเมืองอื่นว่า เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา พายุเข้าเมืองมาร์กเซย เลยทำให้ไปเที่ยวไหนไม่ค่อยสะดวก ถือว่าโชคเข้าข้างเราจริงๆ ค่ะ 55+

การซื้อตั๋วเรือก็เหมือนเดิมนะคะ คือต้องมาซื้อตรงบริเวณท่าเรือเก่า แต่เราต้องซื้อคนละเจ้ากัน เนื่องจากมีที่เที่ยวทั้งหมดสองเกาะ เราก็สามารถเลือกได้ค่ะว่า เราต้องการไปเที่ยวทั้งสองเกาะไหม หรือจะไปแค่เกาะใดเกาะหนึ่ง ก็ตามสะดวกค่ะ ขึ้นอยู่กับเวลาว่าเรามีมากน้อยแค่ไหน สำหรับเราเลือกไปเกาะฟริอูลเพียงเกาะเดียว เพราะเที่ยวเสร็จก็ต้องรีบกลับขึ้นฝั่งเพื่อเตรียมไปเช็คเอาท์ที่โรงแรมก่อนเที่ยงค่ะ แล้วที่เราเลือกเที่ยวที่เกาะนี้เป็นเพราะเกาะมีขนาดใหญ่มากกว่า มีธรรมชาติมากกว่า เลยคิดว่าน่าจะมีที่ให้เดินเที่ยวเยอะกว่าเกาะชาโต้อีฟค่ะ

พอซื้อตั๋วเสร็จ เราก็ไปหาอาหารเช้ากินง่ายที่ร้านแม็คโดนัลด์ ก่อนจะมาเดินเตร็ดเตร่รอเวลาขึ้นเรือกันค่ะ

บริเวณท่าเรือเก่าในตอนเช้าดูพลุกพล่านเหมือนเคย แต่ที่แตกต่างจากในช่วงเวลาอื่นๆ เห็นจะเป็นเรือประมงเล็กๆ มาจอดเทียบท่า แล้วก็ขนปลาที่เพิ่งหามาขึ้นมาเก็บไว้บนฝั่งค่ะ ยิ่งกว่านั้นยังมีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดแผงขายปลากันด้วย เรียกได้ว่าถ้าใครอยากได้ปลาสดๆ แบบที่เรียกว่าสดจริงๆ ก็มาหาซื้อแถวๆ นี้ในช่วงเช้าตรู่ได้เลยค่ะ

ภาพข้างล่างคือเรือโดยสารที่เราจะไปกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ตรวจ แล้วเดินขึ้นเรือมาเลยค่ะ เรือที่จะไปเกาะเป็นของบริษัท Frioul If Express ค่ะ

เนื่องจากช่วงที่เราออกเดินทางยังเช้าอยู่มาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นระหว่างการเดินทาง นอกจากทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแล้ว ก็คือหมอกสีขาวที่ยังล่องลอยบางเบาในทะเลค่ะ คือจะบอกว่าในตอนที่ไปเที่ยวนั้น แทบทั้งชีวิต เราเคยเห็นแต่หมอกที่เกิดบนยอดเขาหรือไม่ก็บนท้องถนน ดังนั้นพอเราเห็นม่านหมอกที่เกิดขึ้นที่ใจกลางทะเล เราเลยอดตื่นเต้นไม่ได้ มันสวยและโรแมนติกมาก อย่างกับเมืองในเทพนิยายยังไงยังงั้นเลย

ไม่นานเรือก็มาถึงเกาะแรก ภาพข้างล่างนี้คือชาโต้ดิฟ(Chateau d’If)ค่ะ เกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะฟริอูล เป็นเกาะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่เมื่อก่อนนี้ชาวประมงมักใช้เป็นที่พักชั่วคราวเวลาออกหาปลากลางทะเล แต่ภายหลังจากการมาเยือนของกษัตริย์ฟรองซัวส์ที่หนึ่งในราวปีค.ศ. ๑๕๑๖ ก็ให้ทรงสร้างป้อมปราการขึ้นบนเกาะแห่งนี้ ก่อนจะถูกเปลี่ยนมาเป็นที่คุมขังนักโทษกบฏ แล้วจากนั้นไม่นานก็กลายมาเป็นแหล่งกักกันเชื้อโรค สรุปว่าเกาะเล็กๆ เพียงเกาะเดียวถูกใช้ซะคุ้มเลยนะคะว่าไหม

เนื่องจากเราไม่ได้ซื้อตั๋วเพื่อลงเรือที่เกาะนี้ ดังนั้นเราจึงได้แค่ยืนถ่ายรูปจากด้านบน รอจนกระทั่งผู้โดยสารที่ต้องการลงตรงเกาะนี้ไปหมด แล้วเรือของเราก็ออกเดินทางต่อไป

น้ำใสมากกกกกกกกก เสียงคลื่นเซาะหินดังครืนๆ

ภาพข้างล่างคือภาพเต็มๆ ของชาโต้ดิฟค่ะ เราถ่ายไว้ตอนนั่งเรือจากมาแล้ว

ประมาณ 10-15 นาทีต่อมา และแล้วเรือก็แล่นเข้าสู่เขตของหมู่เกาะฟริอูลค่ะ อย่างที่บอกข้างต้นว่าเกาะฟริอูลเป็นเกาะใหญ่ นั่นเพราะประกอบด้วยเกาะเล็กๆ สี่เกาะด้วยกันคือ Pomègues, Ratonneau, If และ Tiboulen ค่ะ เป็นที่อนุรักษ์พันธุ์พืชและดอกไม้หายากต่างๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งหลบภัยทางธรรมชาติและเป็นที่วางไข่ของนกทะเลอีกด้วย

ลงจากเรือได้ มองไปทางซ้ายเห็นมีโรงแรมกับร้านอาหารอยู่ เลยมองหาป้ายนิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปทางขวามือแทน เพราะอย่างแรกที่ต้องการคือการเดินชมธรรมชาติรอบๆ เกาะค่ะ

เนื่องจากชายฝั่งแถบทะเลเมดิเตอร์เรนียนแถบนี้เต็มไปด้วยหน้าผาหินกลางทะเล ดังนั้น…ใช่แล้วค่ะ หมู่เกาะฟริอูลของเราก็มีกาล็องก์หรือหน้าผาหรือจะเรียกว่าภูเขาหินปูนก็ได้ให้ดูเช่นกัน อย่างว่า…เนื่องจากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า หน้าผาหินปูน มันก็เลยเป็นภูเขาที่มีหน้าตาค่อนข้างโล้นแบบนี้นี่แหละค่ะ 🙂

เราเดินไปตามทางเดินสักพัก เราก็เจอทางแยกทางซ้ายมือว่าเป็นกาล็องก์อะไรสักอย่าง(จำชื่อไม่ได้แล้วจริงๆ) เราก็เดินผ่านซอกหินเข้าไปเล็กน้อย เข้าไปก็เจอกับชายหาดเล็กๆ ค่ะ จะว่าชายหาดก็ไม่เชิงเพราะริมหาดมีแต่ก้อนหินค่ะ แต่ขอบอกว่าน้ำใสมากกกกก แต่ก็เย็นมากๆ เช่นกัน นี่ขนาดเริ่มเข้าหน้าร้อนแล้วนะเนี่ย

บอกได้เลยว่า พอได้เข้ามาเหมือนกับอยู่ในสวรรค์ เพราะมันสวยมากค่ะ ท้องฟ้าก็ใส น้ำทะเลก็ใส เวลาถ่ายรูปออกมาทุกอย่างเลยสดใสไปหมด แม้แต่คนก็อารมณ์สดใสที่ได้ชมบรรยากาศงามๆ แต่ขอบอกว่ากว่าจะหามุมเพื่อถ่ายรูปให้ได้อย่างใจต้องการนั้น ก็ค่อนข้างทุลักทุเลกันเล็กน้อย เพราะเราต้องพยายามไต่หินทีละก้อน…ทีละก้อน ไปยืนอยู่บนหินก้อนเกือบสุดท้ายเพื่อแชะภาพถ่ายเราได้ในที่สุด เหตุผลที่ไม่เดินไปจนถึงก้อนสุดท้ายก็เพราะว่าเราไปต่อไม่ได้แล้ว มันไม่มีที่ให้เรายืนเลย ฮ่าๆๆๆ

จากนั้นเราก็เลยกลับมาทางเก่า แล้วเดินต่อไปทางขวามือ ผ่านโรงพยาบาลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Caroline บรรยากาศรอบข้างยังคงโล้นๆ ล้านๆ ด้วยภูเขาหินปูน รู้สึกว่าจะมีภูเขาอยู่ลูกให้นักปีนเขาได้เดินขึ้นไปด้วยค่ะ ใจจริงเรานึกอยากเดินขึ้นไปเหมือนกัน แต่พอเห็นป้ายเตือนถึงระดับความยากและความชัน บวกกับรองเท้าที่เราสวมก็ไม่ค่อยสะดวกกับการเดินแบบลำบากๆ ก็เลยจำใจโบกมือลา แล้วก็เดินตามทางต่อมา จนในที่สุดเราก็เห็นเนินเล็กๆ ทางขวามือของเราค่ะ

เราก็เลยตัดสินใจปีนขึ้นไปที่เนินตรงนี้ แล้วก็พบว่าตัดสินใจไม่ผิดเลย เพราะวิวตรงนี้มันเป็นอะไรที่เรียกว่ายิ่งกว่าพาราไดซ์ซะอีก

บนเนิน เราจะเห็นท่าเทียบเรืออยู่ทางฝั่งขวา แล้วถ้าเราลองมองไปทางซ้าย เราก็เห็นชาโต้ดีฟอยู่ไกลออกไป แล้วหากลองมองเลยชาโตดีฟไปอีกหน่อย เราก็จะเห็นเมืองมาร์กเซยทางด้านหลัง แน่นอนว่าที่เด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นโบสถ์บนยอดเขา โนเตรอะดาม เดอลา การ์ด นั่นเองค่ะ พระแม่มารียืนเด่นเห็นแต่ไกลเลย

ยิ่งเราไปตอนเช้าด้วย พระอาทิตย์จะขึ้นอยู่ทางซ้ายมือของเรา พอแสงตกกระทบกับน้ำทะเล มันก็ทอประกายระยิบระยับสวยงามสุดๆ ไปเลยค่ะ เฮ้ออออ ว่าแล้วก็คิดถึง

ตอนแรกเรากะว่าจะเดินไปให้สุดปลายเกาะอีกด้าน เพราะอยากเห็นว่าชายหาดแซ็งต์เอสแตฟ(Plage Saint-Estève)เป็นยังไง แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ดูเวลาแล้วก็เสี่ยงว่าจะตกเรือ ก็เลยตัดสินใจย้อนกลับทางท่าเทียบเรือดีกว่า

เราเดินผ่านร้านอาหารและโรงแรมเล็กๆ ไปค่ะ เพื่อไปดูว่าถนนอีกฟากนั้นมีอะไร ปรากฏว่าเป็นถนนที่ให้รถวิ่งไปยังเกาะที่อยู่ติดกัน พูดถึงรถบนเกาะแล้ว มีน้อยถึงน้อยมากที่สุดค่ะ อากาศบนเกาะเลยค่อนข้างสะอาด

จากที่เห็น ตามชายฝั่งนอกจากจะมีก้อนหินที่น่าจะไปเอามาจากที่ไหนสักที่เพื่อมาถมตามริมทะเลป้องกันการถูกกัดเซาะจากน้ำทะเลแล้วนั้น ก็ยังมีก้อนหินจำลองอีกด้วยค่ะ เป็นก้อนเหลี่ยมๆ ทำจากปูน เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน

เมื่อเราหันกลับมาอีกทาง ทิวทัศน์ก็ยังสวยงามน่ารักเหมือนเคย โรงแรมสร้างเป็นกระจุกเล็กๆ เท่านี้ค่ะ ทาสีส้ม สีน้ำตาล สีขาวสลับๆ กัน ไม่มีอาคารหลังไหนที่ทาแปลกแยกกันไปกว่านี้

และด้วยความที่อากาศค่อนข้างร้อน แน่นอนเราไม่พลาดที่จะแวะร้านไอศกรีมค่ะ มีรสลาเวนเดอร์ด้วยล่ะ เราก็เลยขอลองสักหน่อย รสชาติเหมือนไอศกรีมทั่วไป แต่ที่ตกใจก็คือกลิ่นลาเวนเดอร์นี่แหละค่ะ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เลย ขออภัย…ภาพไอติมที่ถ่ายมาถูกข้าพเจ้าเลียไปแล้วนิดนึง 55555

แล้วก็ได้เวลาขึ้นเรือกลับทั้งที่ยังไม่อยากกลับ เป็นอันว่าทริปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ที่เมืองวาล็องโซล เที่ยวเมืองเอ็กซองโปรวองซ์ และเมืองมาร์กเซย ซึ่งเป็นทริปต่อเนื่องกันก็เป็นอันจบลงแค่นี้

ไว้เจอกันใหม่บล็อกหน้านะคะ จะพาไปเที่ยวในแถบเอเชียกันบ้าง ส่วนจะไปที่ไหนนั้น รอติดตามนะคะ 🙂

Marseille เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์ (1)

Trip Marseille, France : 13-14 June 2011

กว่าจะถึงบล็อกนี้ได้เพื่อมาอัพเกี่ยวกับทริปนี้โดยเฉพาะก็ปาเข้าไป…เอ่อ นานมากอ่ะ นับนิ้วไม่ถูก เอาเป็นว่าวันนี้ได้ฤกษ์มาเขียนบันทึกเกี่ยวกับการเที่ยวครั้งนี้กันสักทีแล้ววววว 🙂

Marseille ถ้าอ่านตามสำเนียงฝรั่งเศสจะอ่านออกเสียงประมาณว่า ‘มาร์กเซย’ แต่ถ้าจะเขียนให้ถูกต้องตามหลังราชบัญฑิตยสถานก็จะเขียนว่า ‘มาร์เซย’ ซึ่งมันทำให้เราแอบหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะมันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ช่ายยยย มันไม่ใช่การอ่านเขียนที่ถูกต้อง แต่เอาเถอะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า

มาร์กเซยเป็นเมืองทางตอนใต้ ถือว่าเป็นเมืองท่าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศฝรั่งเศส ยิ่งกว่านั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมายอย่างที่นึกไม่ถึงว่าจะมีเยอะขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าจะมีแค่ทะเลธรรมดา แต่พอหาข้อมูลก่อนมา ก็พบว่ามีหลายที่ที่อยากไป แต่ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้เราเก็บได้เป็นบางที่เท่านั้นเอง

ภาพข้างล่างนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง บริเวณนี้เรียกว่า Le Vieux Port หรือ ท่าเรือเก่าค่ะ ทำไมถึงได้เรียกว่าท่าเรือเก่า หนึ่งคือเป็นท่าเรือเก่าแก่ที่สุดของเมืองมาร์กเซย สองก็เพราะว่ามีท่าเรือใหม่ถูกสร้างเอาไว้อีกที่หนึ่งตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ดังนั้นท่าเรือแห่งนี้จึงกลายเป็นท่าเรือเก่าโดยปริยายนั่นเอง

บริเวณท่าเรือเก่าแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนามประตูสู่เมดิเตอร์เรเนียน แน่ละ เพราะติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซะขนาดนั้น แล้วสมัยโบราณก็ยังเคยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญในการค้าขายระหว่างประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกด้วยค่ะ

แต่ปัจจุบันนี้ นอกจากจะมีท่าเทียบเรือแล้ว ตรงลานกว้างข้างหน้ายังเป็นจุดขายตั๋วเรือท่องเที่ยว ซึ่งมีประมาณสองเจ้าใหญ่ๆ ด้วยกัน เจ้าแรกพาไปส่งยังเกาะต่างๆ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ใกล้ๆ เมืองมาร์กเซยนั่นแหละ ส่วนอีกเจ้าก็จะเป็นเรือท่องเที่ยวพาไปชมหน้าผาหินกลางทะเลหรือที่เราเรียกกันว่ากาล็องก์ (Les calanques) มันคืออะไรนั้น เรามีภาพให้ชมด้านล่างเพราะว่าเราไม่พลาดที่จะไปดูด้วยตาตัวเองอยู่แล้ว ฮี่ๆ

เหตุที่เรามาที่ท่าเรือเก่าเป็นที่แรกนั้น ไม่ใช่เพียงแค่มาชมบรรยากาศเพียงอย่างเดียว แต่เรามาเพื่อขึ้นรถเมล์ค่ะ ซึ่งรถเมล์สายนี้จะนำเราไปสู่มหาวิหารบนยอดเขาที่มีชื่อว่าโนเตรอะดาม เดอลาการ์ด (Notre-Dame de la garde)

แต่กว่าเราจะขึ้นมาถึงโบสต์หรือมหาวิหารบนยอดเขาแห่งนี้ได้ เป็นอะไรที่สุดยอดมากกกกกกค่ะ เพราะทางขึ้น นอกจากจะเรียกได้ว่าชันสุดๆ แล้ว ถนนก็ยังทั้งเล็กทั้งแคบ แถมโค้งยังเยอะอีก เอาเข้าไป แต่โชว์เฟอร์เราเก่งค่ะ ขับราวกับเหาะ แป๊บเดียวก็มาถึงลานจอดรถด้านบนแล้ว

มาถึงเราก็ตะลึงตึงตึงค่ะ นอกจากอากาศจะดีมากๆ แ้ล้ว วิวทิวทัศน์หรือว่าความสวยงามต่างๆ เราให้เต็มสิบ เราเดินจากลานจอดรถขึ้นไปตามบันไดเลยค่ะ ระหว่างทางจะมีลานโล่งๆ ให้ชมวิวเป็นระยะ ไม่นานก็มาถึงลานหินอ่อนอันกว้างขว้างด้านบนค่ะ

ตัวมหาวิหารนั้นทำจากหินอ่อนสีขาวสลับเทาดังรูป เราว่าคล้ายๆ โบสถ์ที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่ของที่โน่นจะมีสีเขียวกับแดงแทรกแซมอยู่ด้วย ตรงหน้าโบสถ์มีหอระฆังทรงสี่เหลี่ยมตั้งตระหง่านอยู่ เราหาข้อมูลดูพบว่าหอระฆังมีความสูงถึง 41 เมตรเลยทีเดียว ถัดจากตัวอาคารสีขาว บนยอดเราก็จะเห็นมีรูปปั้นสีทองของพระแม่มารีอุ้มเด็กหันหน้าออกสู่ทะเลเด่นเป็นสง่าเลยค่ะ เขาว่ากันว่าท่านจะช่วยปกปักรักษานักเดินเรือยามล่องเรือในทะเล

เรามาชมวิวด้านนอกตรงลานหินอ่อนก่อนค่ะ ขอบอกว่าข้างบนลมแรงมากถึงมากที่สุด แม้เราจะไปตอนหน้าร้อน แต่ลมบนยอดเขาก็สามารถค่ะ…ทำให้เราหวิวๆ หนาวๆ ได้ ยิ่งกว่านั้นตอนเราถ่ายรูปออกมา เจ้าลมบ้ายังผมเผ้าเรากระเซอะกระเซิงไปหมด ฮือๆ

เราเดินมาตรงริมกำแพงกันค่ะ ภาพข้างล่างนี้เรามองเห็นท่าเรือเก่าด้วย อยู่ตรงกลางรูปเลย…ตรงที่เห็นว่าเป็นแถบสีขาวๆ หลายๆ แถบนั่นแหละค่ะ ส่วนท่าเรือใหม่ก็จะอยู่ถัดขึ้นไปด้านบน ใกล้ๆ ตึกสูงสีฟ้าอมเทา

ความแตกต่างระหว่างท่าเรือใหม่และท่าเรือเก่านั้นคือ ท่าเรือเก่าไว้จอดเรือเล็ก ส่วนท่าเรือใหม่เอาไว้ให้เรือใหญ่เทียบท่าค่ะ

เราเดินมาส่องอีกฝั่งบ้าง จากตรงนี้เราจะเห็นเกาะสองเกาะด้วยกัน คือชาโตดีฟ (Chateau d’If) แล้วก็เกาะฟริอูล (Des iles du Frioul) ซึ่งเราจะเดินทางไปที่นั่นในวันถัดไป

ส่วนภาพนี้เราลงเปรียบเทียบให้ดูว่า ชุมชนเมืองที่แออัดในเมืองมาร์กเซยกับอีกฟากหนึ่งซึ่งยังพอมีสีเขียวของธรรมชาติอยู่บ้างจะเป็นอย่างไร แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยเนอะ

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเมล์กลับลงมาที่ท่าเรือเก่าที่เดิมค่ะ มาต่อคิวซื้อตั๋วไปชมหน้าผาหินกลางทะเลกัน ตรงหน้าที่ขายตั๋วจะมีป้ายบอกรอบเวลาไว้ค่ะว่าเรือจะออกรอบไหนบ้าง

ได้ตั๋วแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นเรือค่ะ ขาออกจากฝั่ง เราได้เห็นวิวอาคารเก่าๆ รอบชายฝั่งกันด้วย อย่างรูปข้างล่างนี้คือป้อมปราการแซ็งต์ฌองค่ะ (Fort Saint-Jean) เป็นตึกสีอิฐเก่าๆ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศสเคยถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ จากนั้นก็ถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมันเพื่อหลบการโจมตีทางอากาศ ต่อจากนั้นไม่นานก็ถูกระเบิดทำลายจนป้อมปราการเสียหายเป็นบริเวณกว้าง

เห็นตรงส่วนที่แหว่งหายไปไหมคะ นั่นแหละค่ะคือจุดที่โดนระเบิด แต่นี่คือหลังจากที่ทำการซ่อมแซมตัวอาคารเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันก็ได้ถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อารยธรรมยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน (The Museum of European and Mediterranean Civilisations) ซึ่งเราได้แค่ผ่าน แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าไปดูข้างในเลยค่ะ

นี่ขนาดเรือแล่นออกมาไกลนะคะ เรายังมองเห็นโบสถ์บนยอดเขาได้ ก็คงเหมือนกับที่พระแม่มารีก็สามารถมองเราจากบนนู้นได้เช่นกัน สร้างความอุ่นใจให้แก่นักเดินเรือ

บนเรือมีนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยวชมกาล็องก์หรือหน้าผาหินกลางทะเลไม่น้อยค่ะ มีไกด์บรรยายความเป็นมาเกี่ยวกับหน้าผาแต่ละที่ด้วยนะคะ ทราบมาว่าแต่ละที่ก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามลักษณะรูปร่างของมันค่ะ

เรานำภาพให้ชมเป็นบางส่วน ขอบอกว่าของจริงยิ่งใหญ่มากกกกกกกกกก หน้าผาหินบางแห่งก็มีเรือรับส่งผู้โดยสารที่ชื่นชอบกีฬาวิบากจำพวกปีนหน้าผาหรือไม่ก็เดินไต่เขา บางที่ก็มีชายหาดที่แวดล้อมด้วยหน้าผา ดูเป็นส่วนตัวดีค่ะ

ณ จุดนี้ เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะลงไปหาดส่วนตัวนั้นไปยังไง แล้วค่าเรือหรือค่าที่พักแพงมากหรือเปล่า เพราะตอนที่เราเห็น เราได้แต่มองตาปริบๆ อยู่บนเรืออีกลำ นึกอิจฉาคนที่ได้ไปค่ะ กระซิกๆ

สังเกตได้ว่าหน้าผาหินแต่ละแห่งจะมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลย บางที่ก็ยังพอเห็นต้นหญ้าต้นไม้บ้าง หรือไม่ก็เห็นประภาคารหลังเล็กๆ บ้าง แต่บางที่ก็มีแค่หินปูนเพียงอย่างเดียว ทั้งสวยงาม ทั้งน่าทึ่งกับสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างอย่างบอกไม่ถูกเเลยค่ะ

เราปิดท้ายเย็นวันนี้ด้วยร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเก่ามากนัก ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เพราะที่นั่นมันใกล้กับโรงแรมของเราด้วย แถมยังเป็นแหล่งรวบรวมอาหารพื้นเมืองเอาไว้หลายร้านอีกต่างหาก (แน่นอนเป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยว พวกคนพื้นเมืองคงไม่ค่อยเหลียวแลกันอยู่แล้ว)

อาหารพื้นเมืองที่เราตั้งใจมาชิมในคืนนี้เรียกว่า ‘บุยยาเบส’ (Bouillabaisse) เป็นซุปทะเลรวมมิตร รสชาติเค็มๆ มันๆ ปะแล่มๆ บอกไม่ถูก 55555 จะเห็นว่าสีของน้ำซุปจะออกสีเหลืองนะคะ สีนี้ได้จากเกสรของหญ้าฝรั่นหรือ saffron ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงอลังการ ส่วนพวกอาหารทะเลที่จะใส่ลงในซุปนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะสั่งอะไร ยิ่งใส่มากก็ยิ่งแพง ขอบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น เพราะเป็นอาหารที่มีราคาแพงมากจริงๆ อย่างของเราตกจานละ 45 ยูโร ส่วนอีกจานก็เกือบๆ 60 ยูโรเชียวละค่ะ ที่บ่นว่าแพงคือมันอร่อยไม่สมราคาอะ เสียใจ

เขาจะเสิร์ฟพร้อมขนมปังบาแก็ตหั่นเป็นชิ้นๆ กินกับซอสสีแดงอิฐ รสชาติเค็มๆ มันๆ ที่เรียกว่าซอสรุย (Sauce Rouille) อิ่มไปอีกมื้อค่ะ

ทริปเมืองมาร์กเซยยังไม่จบเพียงเท่านี้นะคะ เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่ะ

To be continued…

ต่อตอนที่ (2) ตรงนี้เลยจ้า Marseille เมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์ (2)

Posted in Travel in France | Tagged กาล็องก์, ท่าเรือเก่า, บุยยาเบส, ป้อมปราการแซ็งต์ฌอง, ฝรั่งเศส, มนตราปฏิพัทธ์, มาร์กเซย, มาร์เซย, เมืองท่า, เมืองท่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศส, ใต้แสงดาว, ไหมมุก นักเขียน, Bouillabaisse, Chateau d'If, Fort Saint-Jean, france, iles du Frioul, Le Vieux Port, Les calanques, Marseille, Notre-Dame de la garde |

เมืองน้ำพุ Aix-en-Provence

Trip Aix-en-Provence, France : 11-12 June 2011

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่เราเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ที่เมืองวาลองโซลจนอิ่มหนำ และต้องปั่นจักรยานจนขาลากไปแล้ว ตอนกลับก็ยังต้องปั่นกลับมาอีก แถมที่วางเท้าจักรยานยังเกี่ยวถุงน่องขาดจนเป็นรู แง ชีวิตช่างบัดซบเพราะถุงน่องที่ใส่ดันเป็นสีดำอีกต่างหาก จะหาที่เปลี่ยนก็ไม่มี อ้อ ไม่ใช่สิ มีนะ เจอห้องน้ำสาธารณะอยู่ที่นี่ แต่เราเข้าไม่ไหวจริงๆ สภาพของมันไม่สามารถบรรยายได้เพราะมันเป็นอะไรที่รับไม่ได้ที่สุดของที่สุดแล้วจริงๆ แต่เอาเถอะ เราก็มีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเรา ช่วงนั้นกระแสถุงน่องขาดกำลังฮิต (แต่จริงๆ เราก็ไม่อยากจะฮิตกับเขาด้วยหรอกนะ จนกระทั่งวันนี้) เราก็เลยพยายามเดินมองเชิดไปข้างหน้าด้วยความมั่นสุดฤทธิ์ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วอิฉันก็อายโคตรๆ เหมือนกัน แล้วที่ทำท่าเดินแบบไม่มองใครก็กลัวจะเห็นสายตาคนอื่นมองเราแล้วส่งสายตากลับมาว่า ว้าย! อีนี่ ถุงน่องขาดนี่หว่าฉะนั้นแล 5555

แต่…แต่มันยังไม่จบค่ะ เพราะกว่าจะเอารถจักรยานมาคืนร้านเช่าได้ ร้านก็เกือบปิด แล้วทีนี้รถบัสคันสุดท้าย…ท้ายสุดของวันที่จะพาพวกเรากลับไปยังเมืองเอ็กซองโปรวองซ์นั้นจะออกจากสถานีภายในสิบหน้านาทีนี้แล้ว แล้วเราต้องทำไง นอกเหนือไปจากออกวิ่งเต็มแรง แรงเท่ากล้ามเนื้อขา ณ ช่วงเวลานั้นจะมาเราไปถึงรถบัสได้ มันเป็นช่วงเวลานรกแตก ไม่มีอะไรที่จะทุกข์ทรมานเท่ากับการเที่ยวในครั้งนี้ได้เลยจริงๆ 555

แล้วเราก็ทำสำเร็จค่ะ เกือบไม่ทันเหมือนกัน พอขึ้นรถมาได้ เราสองคนก็หลับเป็นตายเลยทีเดียว

หลังจากที่มาถึงเมืองเอ็กซองโปรวองซ์แล้ว ใจหนึ่งก็อยากกลับไปพักที่โรงแรม แต่อีกใจก็หิว ก็เลยพากันเดินหาร้านทั้งที่ถุงน่องอิฉันขาดๆ นี่แหละค่ะ

แต้แน่ว อาหารก็ตามภาพ จำชื่อเมนูไม่ได้แล้วค่ะ จำได้แต่ว่ากินซีซ่าสลัดไก่แล้วก็ของหวานเป็นทิรามิซุค่ะ

เรื่องกินสำหรับเรา ไม่หวั่นแม้วันมามาก เหงื่อโทรมกายเราก็บ่ยั่น ต้องหาอะไรใส่ท้องซะก่อน

กินเสร็จ เราก็มาหารถกลับโรงแรมค่ะ ตอนนั้นรถเมล์ก็หมดแล้ว ก็เลยเดินมาตรงจุดรอแท็กซี่ตรงภาพด้านล่างนี่แหละค่ะ แล้วก็โทรศัพท์เรียก พวกเราก็ยืนรออยู่นาน ไม่มีใครมาต่อคิวเลย แถมยังยืนรอจุดที่เขียน “รถแท็กซี่” เป๊ะๆ อีกด้วย พอรถแท็กซี่แล่นมาจอดตรงหน้า เราสองคนก็ขึ่นไปนั่งพร้อมกับบอกปลายทางกับคนขับเรียบร้อย ตอนที่รถแท็กซี่กำลังจะแล่นออกไป อยู่ๆ ก็มีป้ามาจากไหนไม่รู้มาเคาะๆ ประตูพูดกับคนขับ ด่าใหญ่เลยว่าฉันมาก่อน ทำไมฉันถึงไม่ได้ขึ้น เรากับนัทเลยเม้าท์ป้าเป็นภาษาไทย แหม ถ้าพวกเจ๊มาก่อนพวกฉันจริง แล้วทำไมพวกฉันถึงไม่เห็นเจ๊เลยล่ะจ๊ะ แท็กซี่เองก็ขี้เกียจจะเถียงกับป้า ก็เลยบอกให้ป้าไปโทร.ไปที่ศูนย์ใหม่เองก็แล้วกัน จากนั้นโชว์เฟอร์ก็หันมายักไหล่กับเราเบาๆ อย่างระอา นี่คือนิสัยแย่ๆ อย่างหนึ่งของสตรีสูงวัยชาวฝรั่งเศสค่ะ หึๆ

ตลอดค่ำคืนนั้น เรานอนปวดขาทั้งคืนจนต้องหาวิธีรักษาเฉพาะหน้าไปก่อน เช้าขึ้นมาเนื่องจากเรามีเวลาเที่ยวที่เมืองนี้น้อย แล้วตอนบ่ายต้องไปที่เมืองอื่นต่อ ก็เลยต้องรีบลุกออกมาเช็กเอาต์แล้วนั่งรถเมล์เข้าเมืองค่ะ

เมืองเอ็กซองโปรวองซ์นั้นในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นโปรวองซ์นี่แหละค่ะ แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองหลวงของแคว้นแล้ว แต่ก็ยังมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของอำนาจและความเจริญต่างๆ ยิ่งกว่านั้นแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ค่าครองชีพก็แอบแพงเหมือนกันนะคะ ที่เมืองนี้มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่โดดเด่นในด้านกฏหมาย ดังพอๆ กับที่เมืองตูลูสและปารีส ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นักเรียนไทยที่เลือกเรียนด้านกฎหมายหลายคนจะเลือกเรียนที่เมืองนี้กันค่ะ

ที่เที่ยวเด่นๆ ของเมืองนี้คือถนนที่มีชื่อว่า “มิราโบ” (Le cour Mirabeau) หาไม่ยากค่ะ หาตั้งอยู่ใจกลางเมืองทอดจากวงเวียนน้ำพุเลย ความงามของถนนสายนี้คือต้น Platane ต้นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ แต่มันคือต้นไม้ใหญ่ในภาพข้างล่างนี่แหละค่ะ ถ้าได้มาเที่ยวตอนหน้าใบไม้ผลิไปจนถึงหน้าร้อน เราก็ยังมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของถนนสายนี้อยู่ ตรงกันข้ามกับหน้าใบไม้ร่วงกับหน้าหนาว ต้นไม้แถวนี้ก็จะโกร๋นกันเป็นแถวๆ

ที่เมืองนี้มีร้านกาแฟเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่งค่ะ ชื่อว่า Les deux garcons (เล เดอ การ์ซงหรือลูกชายสองคน) เก่าแก่ไม่เก่าแก่ก็คิดดูค่ะว่าเปิดมาตั้งแต่ปีค.ศ.1792 แล้ว ส่วนตัวเราไม่ได้ไปค่ะ เพราะลืมว่ามีอยู่ 555

เมืองเอ็กซองโปรวองซ์ ถ้าเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสจะเขียนว่า Aix-en-Provence แล้วคำว่า Aix เนี่ยแผลงมาจากคำว่า Aqua ในภาษาโรมันซึ่งแปลว่า น้ำ ดังนั้นถ้าหากใครแวะไปเยี่ยมเยียนที่เมืองนี้ก็จะเห็นน้ำพุแทบจะทุกตอกซอกซอยเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่ามีเป็นร้อย จริงหรือเปล่าไม่รู้ เราก็ไม่ได้มีเวลาเดินนับมากมายขนาดนั้น อย่างตรงถนนมิราโบก็มีน้ำพุปาไปแล้วสามอันค่ะ

เดินเหนื่อยแล้วก็มานั่งพักกินไอศกรีมสักนิด ใครว่าหน้าร้อนเมืองนอกไม่ร้อน แต่ที่แน่ๆ อิฉันเกรียมไปแล้วค่ะ จะสังเกตเห็นว่าตัวอาคารตรงถนนสายนี้ส่วนใหญ่จะทาเป็นสีเหลืองนวล

กินติมเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่ต้นทางค่ะ บริเวณนี้จะมีวงเวียนน้ำพุขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองค่ะ มีชื่อว่า La fontaine de la Rotonde ค่ะ

ในภาพเหมือนจะเล็กๆ เนอะ แต่ถ้าเทียบกับขนาดตัว เราว่าตัวเราใหญ่แล้ว น้ำพุของจริงใหญ่กว่ามากค่ะ

ความสำคัญของเมืองเอ็กซองโปรวองซ์นั้นคือเป็นแหล่งกำเนิดศิลปินเอกแนว Impressionism ค่ะ ที่โด่งดังเห็นจะเป็นปอล เซซาน ซึ่งมีรูปปั้นของเขาตั้งอยู่ในตัวเมืองอย่างภาพขวาบนนี่แหละค่ะ

เวลาเพียงครึ่งวัน เราก็เที่ยวได้แค่นี้นี่แหละค่ะ ไว้ไปซ่อมใหม่ ทริปหน้าเราจะขึ้นรถไฟไปต่อกันที่เมืองมาร์กเซยละน้า ไว้มีเวลาจะมาอัพให้อ่านอีกค่า

ลั้ลลาที่ทุ่งลาเวนเดอร์ ณ เมือง Valensole

Trip Valensole, France : 11 June 2011

วันนี้อากาศดี ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ไม่ร้อน เลยแวะมาอัพบล็อกที่ยังค้างไว้ต่อค่ะ ทั้งที่ทริปนี้ภูมิใจนำเสนอมากกกกก แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่สามารถสลัดตัวขี้เกียจออกได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้ามาเขียน

ทริปนี้เป็นทริปไม่ค่อยยาวด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัด แต่โดยรวมก็ได้เที่ยวหลายเมืองอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่เมืองวาลองโซล เมืองเอ็กซองโปรวองซ์ และเมืองมาร์กเซย เพราะได้วางแผนหาข้อมูลก่อนเที่ยวไว้ล่วงหน้าก่อนเหมือนเช่นเคยว่าจะไปที่ไหนกันบ้าง อีกอย่างทริปที่ตั้งใจไว้นานมากๆ ว่าจะต้องไปให้ได้ เพราะอะไร….ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเสน่ห์แห่งฤดูร้อนและความสวยงามทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยเฉพาะในเขตตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ขึ้นชื่อว่านักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางไปให้ได้ในชีวิตนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นทะเลน้ำใสหรือทุ่งดอกไม้สีม่วงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่แรกกันดีกว่าเนอะ….

หลังจากบ่นๆ พร่ำเพ้อเป็นเวลาเกือบปีว่าอยากไปทุ่งลาเวนเดอร์สักครั้งในชีวิตให้ได้ ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าจะไป…ต้องไปดูที่ไหน แล้วจะไปอย่างไร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด และที่ที่เราหาข้อมูลพบก็คือถ้าคุณอยากไปดูทุ่งไร่ลาเวนเดอร์ คุณจะต้องไปที่เมืองวาลองโซล ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง ทำไมเราจะต้องไปถึงที่นั่นด้วยทั้งที่ที่อื่นก็มีปลูกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เราก็ขอตอบว่าใช่ แต่มันไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับไปดูที่ที่มันเป็นต้นตำหรับจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเราเป็นคนแพ้คำว่า ‘ดั้งเดิม’ และคำว่า ‘ที่สุด’ อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตอนที่เราหาข้อมูลแล้วพบว่า เมืองวาลองโซลเป็นเมืองที่ปลูกลาเวนเดอร์มากที่สุดและใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส เราเลยไม่รอช้าที่จะวางแผนไปกัน

แต่ปัญหาก็เกิดเมื่อพบว่ามันไม่มีรถไฟผ่านเมืองดังกล่าว รถบัสก็ไม่มี จะขับรถไปเองก็ขับไม่เป็น ตายละหวา จะเอาไงดี อยากไปก็อยากไป เพราะดอกไม้มันบานปีละครั้งแถมยังบานแค่ช่วงสั้นๆ อีก ไปๆ มาๆ ก็ไปพบข้อมูลของนักท่องเที่ยวฝรั่งนี่แหละ บอกว่าคุณสามารถปั่นจักรยานไปได้ พอเราอ่านเจอเท่านั้นแหละก็รีบลองหาข้อมูลอีกว่าถ้าจะปั่นจักรยานจริง เราจะเริ่มต้นจากที่ไหนจึงจะง่ายที่สุด ก็พบว่าเราจะต้องไปเริ่มต้นที่เมือง Manosque แล้วปั่นไปยังเมืองวาลองโซลได้เลย ห่างกันแค่ 20 กม. เอง ดูตามแผนที่ข้างล่างที่เราวงไว้สิ ใกล๊ใกล้เนอะ ห่างกันไม่ถึงคืบเลย

เราออกเดินทางจากตูลูสในตอนเย็นตรงไปยังเมืองเอ็กซองโปรวองซ์ (Aix-en-Provence) แต่กว่าจะเข้าไปถึงตัวเมืองจริงๆ ก็ต้องนั่งรถบัสต่อเข้าไปอีก แล้วก็นอนพักหนึ่งคืนก่อนจะเริ่มทริปวิบาก

ด้วยความที่โรงแรมอยู่ไกลจากสถานีรถไฟไปนิดจึงทำให้เราต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อมานั่งรถรถเมล์ที่นานๆ จะวิ่งผ่านโรงแรมที พอมาถึง Gare routière เราก็ตรงไปซื้อรถบัสนั่งไปที่เมืองมาโนสก์ต่อ วิวระหว่างก็ดูเจริญหูเจริญตา ความเฟรชยังคงมีเต็มตัว

และแล้วเราก็มาถึงเมืองมาโนสก์ พอลงจากจุดจอดรถได้ เราก็ควักแผนที่ร้านเช่าจักรยานที่ปรินต์มา ไม่ช้าไม่นาน (แต่จริงๆ ก็นานอยู่นะ) ก็มาถึงร้านเช่าจักรยานจนได้ เย้ๆ รูปข้างล่างนี้คือวิวจากหน้าร้านเช่าจักรยานค่ะ

จักรยานที่เราเช่าเป็นจักรยานที่เรียกว่า VTT (เวเตเต) มาจากชื่อเต็มๆ คือ Vélo Tout Terrain ประมาณจักรยานเสือภูเขานั่นแล อากาศตอนปั่นก็แบบว่า เริ่มต้นก็ร้อนสะบัดแล้วค่ะ แต่โชคดีที่ตอนที่ออกจากเมืองไม่นานยังปั่นง่ายก็เลยก็เลยยังรู้สึกว่าชิลๆ แวะถ่ายรูปข้างทางกันเป็นระยะค่ะ

ลืมเล่าให้ฟังว่าเมืองมาโนสก์นี้ก็มีความสำคัญเหมือนกันนะคะ ถ้าใครรู้จักเครื่องประทินผิวหรือเครื่องสำอางที่ชื่อว่า L’Occitane de Provence นั้น โรงงานของมันก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้นี่แหละค่ะ โดยรับดอกลาเวนเดอร์มาทำเครื่องสำอางจากเมืองวาลองโซลอีกที ถ้าใครได้ไปก็ลองไปแวะเยี่ยมชมดูนะคะ ได้ข่าวว่าถ้าไปซื้อที่โรงงานจะได้รับส่วนลดประมาณ 10-15 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว ส่วนตัวเราชอบแฮนด์ครีมยี่ห้อนี้มากค่ะ

อันนี้คือสวนอะไรสักอย่างที่เราแวะถ่ายรูปข้างทางค่ะ ชิลค่ะชิล ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา อิอิ

พอปั่นหลังจากนั้นไม่นาน จากทางลาดลงก็เริ่มเป็นทางเรียบธรรมดา สักพักปั่นๆ ไปก็รู้สึกทำไมรู้สึกเหนื่อยง่าย และปวดต้นขาเหลือเกิน พอได้พักแล้วหันหลังกลับไปมองเท่านั้น โอ้แม่เจ้า! นี่เรากำลังปั่นขึ้นเขามานี่หว่า เท่านั้นแหละค่ะ แข้งขาที่อ่อนเปลี้ยอยู่แล้วก็อ่อนเปลี้ยลงไปยิ่งกว่าเดิม

ยิ่งปั่นก็ยิ่งคิดว่าทำไมฉันจะต้องมาลำบากอะไรแบบนี้ด้วยว้าาาาา ฉันเหนื่อย ฉันร้อน ฉันปวดขา ฉันกำลังจะตายแล้ววววว แต่โชคดีที่ยังมีแรงฮึดซ่อนเร้นอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ อยู่ จึงทำให้พยายามปั่นต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางข้างหน้าให้ได้ แม้ว่าเราจะปั่นไปพักไปทุกๆ 1 กม.เลยก็ตามที 55555 อันนี้เรื่องจริงค่ะ

เอาละ ใกล้ถึงแล้วๆ ลาเวนเดอร์ของฉันอยู่ไหน ทำไมฉันเห็นแต่ทุ่งข้าวสาลี แวะถามคนข้างทางก็บอกว่าอีกไม่ไกล ปั่นต่อไปข้างหน้าได้เลย ฮึบๆ

ตอนนี้ใจเริ่มมาแล้วค่ะ เพราะเริ่มเข้าสู่เขตเมืองวาลองโซลแล้ว โค้งเยอะมากๆ และโชคดีที่รถไม่ค่อยเยอะ เลยปั่นค่อนข้างสบาย แถบๆ นี้นอกจากจะปลูกลาเวนเดอร์เป็นเมนหลักแล้ว การปลูกมะกอกก็ดังไม่แพ้กันค่า

ตอนนี้เราเริ่มเห็นทุ่งลาเวนเดอร์อยู่ในสายตาแล้ว แต่อยากเข้าห้องน้ำอ่ะ ห้องน้ำข้างทางก็ไม่มี ก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปในไร่มะกอกซึ่งเป็นของใครก็มิอาจรู้ได้ซะเลย เนื่องจากเจ้าของไร่ไม่อยู่ เราเลยขออนุญาตเข้าห้องน้ำเขาแบบเงียบๆ พอออกมาก็ดันไปเห็นต้นเชอร์รี่อีก ก็เลยขออนุญาตเงียบๆ เก็บมากินซะเลย 5555555

เชอร์รี่สองสามต้นลูกดกมากกกกกกกกกกก แต่มันเกือบเน่าไปหมดแล้ว แสดงว่าเจ้าของไร่ไม่ได้แวะมาที่นี่นานมากแน่ๆ ก็เลยเลือกลูกที่ยังกินได้มาเติมความสดชื่นให้ร่างกาย ถือว่าเราช่วยกำจัดเชอร์รี่ใกล้เสียให้ก็แล้วนะคะคุณเจ้าของสวน

อิ่มกายสบายท้อง เราก็ปั่นข้ามถนนมา สีม่วงนั้นอยู่ข้างหน้าเรานั่นเอง กรี๊ดดดดด จำความรู้สึกได้ว่าตื่นเต้นดีใจมาก ทิ้งจักรยานตรงเข้าไปในทุ่งดอกไม้เลย

ทุ่งนี้ดอกไม้ยังโตไม่เต็มที่ค่ะ แต่ก็นะ เต็มที่หรือไม่เต็มที่ เราก็จัดการชักภาพถ่ายไม่ยั้งอยู่แล้ว

ลาเวนเดอร์เป็นดอกไม้ที่บานในฤดูร้อน ถ้าใครอยากจะมาเยี่ยมชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่ประเทศฝรั่งเศสก็ให้มาช่วงมิถุนายน-สิงหาคมนะคะ แต่ช่วงที่ดีที่สุดก็ให้มาช่วงต้นกรกฎาจะดีมาก หรือถ้ามาตอนงานวันชาติฝรั่งเศสซึ่งก็คือวันที่ 14 กรกฎาคมก็ยิ่งดี เพราะวันนี้จะมีงานลาเวนเดอร์ประจำปี แถมมีเฮริคอปเตอร์ให้ขึ้นไปนั่งชมทุ่งลาเวนเดอร์จากด้านบนด้วย กิ๊บเก๋ดีไหมล่ะ แต่ราคานี่ เราไม่ทราบนะคะ เพราะยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน

จากรูปเราไปช่วงต้นมิถุนายน ดอกลาเวนเดอร์ยังไม่บานเท่าไหร่ แต่กลิ่นนี้โชยกระจายไปทั่วทั้งทุ่งดอกไม้แล้วค่ะ

มาทั้งทีใครจะเที่ยวแค่ทุ่งเดียวละเนอะ ก็ต้องปั่นไปอีกหลายๆ ทุ่ง ก็เจอทุ่งที่ใหญ่กว่าและกอดอกลาเวนเดอร์ก็โตกว่ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ มันหอมจนน่ากินเลยทีเดียว

รูปข้างล่างนี้ ขาดิฉันไม่ได้ดำธรรมชาตินะคะ ใส่ถุงน่องค่ะ หุหุ

ลาเวนเด้อออออออออออร์ ไอเลิฟยู

ตอนเดินชมดอกไม้ เราเจอเพื่อนเราเต็มเลย นี่ก็ตัวหนึ่งที่มาแย่งดอกไม้เราดม

จากรูปนี้ก็จะเห็นชัดๆ ว่าพื้นดินบริเวณแปลงลาเวนเดอร์ก็จะทำจากหินกรวดแข็งๆ แบบนี้แหละค่ะ ฉะนั้นเวลานั่งโปรดระวังกันนิดนึงนะจ๊ะ

ลาเวนเดอร์นอกจากจะนำไปทำเป็นหัวน้ำหอมแล้ว ยังนำไปทำเป็นน้ำมันหอมละเหย สบู่ แยม คุกกี้ ทำอะไรได้หมดทุกอย่าง แต่ทำไมที่ฝรั่งเศสเขาไม่เอามาทำเป็นยากันยุงแบบบ้านเราบ้างอ่ะ 55555

หลังจากที่เราได้เที่ยวทุ่งดอกไม้จนพอใจ เราก็ปั่นกลับในระยะทางที่เท่าเดิม แฮ่ก!!

สรุปว่าทริปนี้แม้ว่าจะเหนื่อยมากกกกไปสักหน่อย ก็ถือว่าเป็นทริปที่ประทับใจ เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสทำอะไรวิบากๆ แบบนี้อีกไหม

เจอกันใหม่บล็อกหน้า จะพาไปเที่ยวเมืองน้ำพุ…เมืองเอ็กซองโปรวองซ์นะคร้าบบบบบ

เดินป่าที่ Cahors, France

Trip Cahors, France : 13 November 2010

สวัสดีค่ะ ทริปนี้เรามาเที่ยวแบบฝรั่งเศสๆ กันบ้าง ที่ว่าเที่ยวแบบฝรั่งเศสมันเป็นยังไง เดี๋ยวเราจะสาธยายให้ฟังค่ะ

ทริปนี้เริ่มต้นขึ้นจากพี่ป.เอกคนหนึ่งส่งเมลเข้ากรุ๊ปเด็กไทยในตูลูสว่า มหาลัยจะจัดทริปไปเที่ยว Lot(โล) ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ห่างจากตูลูสไปทางทิศตะวันตกราวๆ หนึ่งชั่วโมงได้ โดยคนที่จะลงชื่อไปได้ก็ต้องเป็นนักเรียนเท่านั้น ตอนนั้นเรากับนัทก็ปรึกษากันบวกกับมีพี่ๆ คนไทยไปกันหลายคนอยู่ก็เลยโอเคตกลงไป แถมราคาค่าทริปก็ไม่แพงเลย ซึ่งรวมค่ารถทัวร์ไปกับค่าไกด์แล้ว ก็นั่นแหละเนอะ เขาคิดให้ในราคานักเรียนนี่นา

เช้าวันเสาร์ เจ้าหน้าที่นัดรวมกันที่ Gare routière หรือสถานีรถบัสซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย อากาศในวันนี้เริ่มเย็นนิดหน่อยก็พากันสวมเสื้อกันหนาวไปเต็มที่ ผู้ร่วมทริปส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักเรียนต่างชาติค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน บราซิล ฯลฯ อีกอย่างครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกด้วยค่ะ ที่เราไปกับทัวร์แบบมีไกด์ เพราะปกติชอบหาข้อมูลแล้วเดินทางไปเอง มาดูกันว่าจะเป็นยังไง อิอิ

หลังจากนั่งรถชมวิวทิวทัศน์ออกนอกเมืองโดยใช้เส้นทางเดียวกับไปทางสนามบิน ไม่นานเกินรอ เราก็เริ่มเข้าสู่ตัวเมือง Cahors (กาออร์) แล้วค่ะ มีสายหมอกจางๆ รอต้อนรับพวกเราอยู่เลย

เรามาแวะจุดสำคัญที่มีชื่อเสียงแห่งแรกกันค่ะ นั่นก็คือสะพาน Valentre ลงรถปุ๊บ เจ้าหน้าที่เค้าก็ให้เลือกเลยค่ะว่า คุณจะจับกลุ่มอยู่กับไกด์ภาษาฝรั่งเศสหรือภาษาอังกฤษ เลือกเอาตามสะดวกเลยค่ะ

สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เป็นสะพานเก่าแก่แห่งที่สามที่ถูกสร้างขึ้นไว้ในเมืองนี้ ไกด์เล่าว่าสองแห่งแรกได้หายสาบสูญไปแล้ว จำสาเหตุไม่ได้ โดยมีป้อมปราการถูกสร้างเชื่อมไว้ตรงกลางสองแห่ง ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้เอาไว้เฝ้ามองข้าศึกเพื่อปกป้องเมืองทางตะวันตก ปัจจุบันถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้วค่ะ

เห็นจากภาพว่าเป็นสะพานขนาดเล็กก็จริง แต่ของจริงนี่ก็ใหญ่โตเหมือนกันนะคะ สองฟากฝั่งมีแม่น้ำคล้ายๆ กับเขื่อนและมีประตูเปิดปิดไว้ด้วย น้ำเชี่ยวเชียวค่ะ

ขนาดอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่สายหมอกบนยอดเขายังไม่จางหายไปเลย ดูโรแมนติกดีค่ะ แต่อีกนัยหนึ่ง เนื่องจากไปเที่ยวตอนฤดูใบไม้ร่วง ก็อดคิดไม่ได้ว่าดูเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเหมือนกันนะ

ภาพล่างคือภาพของรุ่นพี่ที่ไปทำป.เอก กับแควนๆ ฝรั่งของพวกเค้า อิอิ ตอนนี้บางคนก็จบกลับไทยมาเรียบร้อยแล้วค่ะ

จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเข้ามาในตัวเมืองกันค่ะ เมืองกาออร์นั้นยังคงรักษาตัวเมืองเก่าๆ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทั่วทั้งฝรั่งเศสนะคะ ที่อาคารเก่าๆ ทั้งหลายที่คงไว้มีประวัติความเป็นมายาวนาน ณ จุดนี้ด้วยความที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบเที่ยวกับไกด์ เลยรู้สึกเบื่อๆ ที่ต้องยืนฟังนิดนึง แถมแอบเลวด้วยค่ะ เพราะคิดในใจว่า ตอนที่ไกด์อธิบายแล้วชมตึกโน้นตึกนี้ว่าสวย มันสวยตรงไหนวะ 55555 เห็นป่ะว่าเลวจริง อิอิ

ไกด์บอกด้วยว่าถึงกาออร์จะเป็นเมืองเล็กๆ ก็จริง แต่ที่นี่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตไวน์ด้วยค่ะ และไวน์พวกเขาก็ชนะการแข่งขันทั่วประเทศในอันดับต้นๆ สูสีกับไวน์จากเมืองดังๆ หลายเมืองมาแล้ว

อยากให้เมืองไทยในแต่ละจังหวัดรักษาตึกเก่าๆ ไว้บ้างจังเลยนะคะ ดูเป็นเอกลักษณ์และสวยงามดี เสียดายที่ถูกทำลายทิ้งไปซะเยอะ

จากภาพขวาบนที่เห็นเป็นกากบาทตรงกำแพง ดูเหมือนได้รับอิทธิพลมาจากเยอรมันนิดๆ เลยเนอะ

จากนั้นเราก็เดินต่อมาที่โบสถ์ค่ะ ก่อนจะถึงโบสถ์นั้นมีสวนที่ชื่อว่า ‘สวนแห่งความลับ’ (Les jardins Secrets) ช่วงนี้เราฟังไกด์บ้างไม่ฟังบ้าง เนื่องจากยืนเม้าท์กับรุ่นพี่อยู่ (กร้ากกก) พฤติกรรมนี้อย่าลอกเลียนแบบนะคะ เสียมารยาทมากๆ เลย

เค้าบอกว่าสวนแห่งความลับนี้นอกจากจะได้พบกับความรู้และความสนุกสนานของพืชพรรณต่างๆ ที่ปลูกอยู่ในสวนแล้ว คุณอาจจะได้เจอความลับขอพันธุ์พืชต่างๆ ที่คุณไม่เคยรู้ แล้วเค้ายังบอกอีกว่าถ้าอยากมาชมสวนตอนที่สวยงามจริงๆ ให้มาระหว่างเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายนค่ะ

จากนั้นเราก็เดินเข้ามาในโบสถ์แซ็งต์เตเตียนกันค่ะ และแน่นอนโบสถ์แต่ละแห่งแม้จะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ แต่ที่ให้ความรู้สึกไม่แตกต่างกันเลยคือความสงบ ความเงียบ และความเยือกเย็น

โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์สไตล์กอธิคค่ะ ถูกสร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1493 -1553 เป็นโบสถ์ที่มีความงามโดดเด่นโดยฝีมือของประติมากรชื่อดัง Carennac และ Cadouin ค่ะ

เมื่อเราออกมาข้างนอก และเดินต่อมาอีกหน่อยเราก็จะเจอนาฬิกาโบราณค่ะ สังเกตได้จากเครื่องในตรงกล่องสี่เหลี่ยมข้างล่างจะเห็นว่าดูโบราณจริงๆ

จากนั้นคุณไกด์ก็ปล่อยให้เราเดินหาข้าวเที่ยวกินกันเองค่ะ โชคดีมากที่ตรงใกล้ๆ โบสถ์มีตลาดนัดด้วย เราก็เลยได้มีโอกาสชมวิถีชีวิตชาวบ้านแถบนี้ แน่นอนเนื่องจาก Cahors ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ เราเลยเดิมชิมและเลือกซื้อมาเก็บไว้เหมือนกันค่ะ ยิ่งกินกับแฮมหรือดองกวาแดงยิ่งเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

เราพักทานอาหารเที่ยวกันเสร็จแล้ว รถบัสก็พาพวกเรามุ่งออกนอกเมืองตรงมายังเมืองเล็กๆ อีกเมืองที่ชื่อว่า Bouzies (บูซีส์) แค่ทางผ่านเราก็ตื่นเต้นกันแล้วค่ะ มีที่ไหนผาหินที่ติดกับตรงถนน มีการเจาะอุโมงค์ให้รถวิ่งผ่านแต่ยังคงรักษาธรรมชาติเอาไว้ได้ มันสุดยอดมากเลยนะ

รถจอดให้พวกเราลงไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าผาหินนั่นแหละค่ะ จากจุดนี้จะป็นการท่องเที่ยวที่แตกต่างจากตอนเช้าแล้วค่ะ แล้วอย่างที่บอกว่าครั้งนี้เป็นการเที่ยวแบบคนฝรั่งเศสจริงๆ ดังนั้นก็คงหนีไม่พ้นคำว่าเดินป่านั่นเอง

เราเริ่มข้ามสะพานเล็กๆ เข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ การตกแต่งน่ารักมากๆ จนอดหลงรักไม่ได้เลย สีหน้าในรูปนี่ลั้ลลามากๆ เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองในอนาคตนั่นเองค่ะ 555 สังเกตแม่น้ำตรงนี้ไว้ให้ดีนะคะ

ตรงนี้คุณไกด์บอกว่าให้พักเข้าห้องน้ำ พวกเธอจะปวดไม่ปวดก็เข้าไว้ซะเพราะว่าอีกไกลเลยกว่าจะได้เข้าอีก เราก็เอ๊ะ ทำไมต้องอีกไกล แต่หลังจากเริ่มออกเดินไปก็รู้แล้วว่าคำพูดของคุณไกด์ถูกต้องจริงๆ T_T

เรามาเดิน เดิน เดินค่ะ อากาศหลังฝนตกเย็นชื้น แต่เดินไปได้สักพัก แต่ละคนก็เริ่มถอดเสื้อกันหนาวแล้วค่ะ อิอิ

จะบอกว่านอกจากตรงริมถนนที่มีการเจอะผาหินให้เป็นทางผ่านของรถ ในระหว่างเดินป่าพวกเราก็เจอเหมือนกัน แต่เป็นฝีมือของคนยุคก่อนนะคะ นอกจากจะเจาะให้เป็นกำแพงโค้งแล้ว ตรงบริเวณกำแพงเค้ายังสลักเป็นลวดลายอ่อนช้อยสวยงามอีกด้วย เป็นน่าจะเป็นส่วนผสมระหว่างหินปูนกับหินอ่อนถ้าจำไม่ผิด แต่ที่รู้ๆ ก็คืออิชั้นทึ่งค่ะ

ระหว่างทางไม่มีอะไรมากค่ะ ธรรมชาติมากกกกกกกกกถึงมากที่สุด บ้านเรือนน้อยหลัง แทบจะนับหลังได้ ยังแอบคิดอยู่เลยว่าพวกเขามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่ เวลาไปซื้อของ ถ้าหากไม่มีรถคงลำบากน่าดู

เราเจอเพื่อนข้างทางด้วยค่ะ น่าจะเป็นล่อ (หรือว่าลาหว่า แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ม้าแน่นอน) ตัวไม่ใหญ่มาก อ้วนท้วนสมบูรณ์เชียวค่ะ

แหม ถ้าหากเดินทางเรียบมาหลายกิโลแล้วยังบอกว่าลำบาก คุณจะได้เจออะไรที่หนักหน่วงกว่านั้น เพราะหนทางเริ่มจะลาดชันขึ้นแล้วค่ะ หึหึ แล้วเราทำยังไงน่ะเหรอ ก็เดินไปพักไปน่ะสิคะถามได้ ตอนนี้แต่ละคนเริ่มปลดเสื้อออกจากตัวเพิ่มแล้วค่ะ 555

จากภาพบน(ขอภาพข้างล่างนี้) คุณจะเห็นว่ามันสูงจากแม่น้ำที่เราเห็นในตอนแรกแค่ไหน

ถ้าถามว่าจุดหมายปลายทางของคุณไกด์ที่ต้องการให้เราไปที่ไหน ขอตอบว่าที่นู่นนนนนค่ะ เห็นรูปข้างล่างนี้ไหมคะ หมู่บ้านริมหน้าผาที่ว่านั่นแหละค่ะ

แต่ก็น่าทึ่งเหมือนกันนะคะ ขนาดอยู่ชิดหน้าผาขนาดนี้ พวกเขาก็ยังมาสร้างบ้านเรือนกันอยู่ ชอบจัง และแน่นอนว่าทางเดินในหมู่บ้านก็เป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต่างกัน ทำเอาข้าพเจ้าหอบแฮ่กกันเลยทีเดียว

แต่คำว่าเส้นชัยก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม เพราะในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ค่ะ เดินจากข้างล่างขึ้นมาข้งบนด้วยตัวเองเพียงเพื่อมาชมวิวและหมู่บ้านบนนี้ ผลลัพธ์มันก็หอมหวานดีเหมือนกันนะคะ สังเกตแม่น้ำตรงล่างขวางนะคะ เราขึ้นมาสูงขนาดนี้แหละค่ะ

สรุปว่าทริปนี้แม้ว่าจะเหนื่อยไปสักหน่อย แต่ก็ประทับใจค่ะ ถามว่าถ้ามีโอกาสจะทำอย่างนี้อีกไหม ตอบได้ทันทีว่าทำแน่ๆ ค่ะ เล็งๆ ไว้ว่าจะไปเดินป่าจริงๆ ด้วยซ้ำ (ขอในฝรั่งเศสนะ ป่าไทยไม่เอากลัวทาก) ในชีวิตหนึ่งเกิดมาทั้งที่ต้องเที่ยวให้คุ้มใช่ไหมคะ

เจอกันเอนทรี่หน้าค่ะ จะพาไปเที่ยวเมืองในประเทศฝรั่งเศสเหมือนเดิม แต่จะเป็นเมืองไหนต้องคอยติดตามนะคะ สนุกแน่นอน บายค่ะ

Milano, Italy

Trip Milan, Italy : 18-20 August 2010

เราตื่นตอนเช้าลากกระเป๋าลงเรือมาขึ้นรถไฟไปต่อที่มิลานกันค่ะ นั่งยูโรไลน์ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ก็มาถึงจุดหมายปลายทางกันแล้ว

อย่างที่รู้ๆ กันเนอะ ถ้าพูดถึงมิลาน คำแรกที่แว้บเข้ามาในหัวคือเมืองแฟชั่น เอาละ เรามาตามดูกันดีกว่าว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งแฟชั่นจริงๆ หรือเปล่า

ก้าวเรกที่มาถึงเลย ก็คือสถานีรถไฟค่ะ บอกได้เลยว่าไปเที่ยวมาก็หลายเมือง สถานีรถไฟของเมืองมิลานใหญ่และสวยมากกกกกกกที่สุด การแตกแต่งโอ่อ่า กว้างใหญ่ ดูปุ๊บรู้ปั๊บเลยว่า แม่ง นี่มันอิตาลีจริงๆ 555 จากนั้นพวกเราก็เอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่โรงแรมค่ะ งงๆ กับเส้นทางนิดหน่อย แต่ก็ถามคนมาเรื่อยๆ ค่ะ โรงแรมไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก แต่ก็ใช้เวลาเดินพอสมควรเลยค่ะ

เช็คอิน เอากระเป๋าเก็บแล้วจะเสียเวลาอยู่ใย เราก็ไปเที่ยวกันต่อเลยสิคะ ที่แรกที่จะไป คงหนีไม่พ้น เจ้าดูโอโมกลางเมือง ที่นี่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่า ถ้าใครมาเยือนที่นี่แล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับดูโอโม ถือว่ามาไม่ถึงค่ะ

ดูโอโมของจริงสีขาวสวยมากค่ะ เขาว่ากันว่าใฃ้เวลาสร้างถึง 400 ปี จุดเด่นคือมียอดแหลมๆ มากกว่า 135 ยอด เจ้าโบสถ์นี้จึงมีชื่อเล่นว่า โบสถ์เม่นนั่นเอง

จะบอกว่าบริเวณลานกว้างนี้มีนกพิราบเยอะมาก คนดำก็เลยนำพวกข้าวโพดคั่วมาขายไว้โปรยให้พวกนกค่ะ แต่ขอเตือนว่าให้ระวังมิจฉาชีพกันนิดนึงด้วยนะคะ เพราะส่วนใหญ่จะแฝงมากับคนพวกนี้แหละค่ะ

เราเข้าไปดูในโบสถ์กันค่ะ คล้ายกับโบสถ์ทั่วๆปค่ะ แต่สำหรับเรา เราว่าเฉยๆ นะ มันไม่ค่อยสวยเท่าไร ก็เข้าไปนั่งทำจิตใจสงบในบรรยากาศเย็นยะเยือกค่ะ แต่ที่แตกต่างจากโบสถ์ทั่วไปหน่อย ตามช่องว่างระหว่างต้นเสา เราจะสังเกตเห็นว่ามีผ้าใบภาพขึงเอาไว้ค่ะ รูปภาพก็จะเกี่ยวกับศาสนานี่แหละ แต่ละภาพก็จะแตกต่างกันไป แล้วเราสามารถขึ้นไปยอดโบสถ์ได้ด้วยนะคะ

ออกจากโบสถ์เม่นกันแล้ว ข้างๆ กันก็ถือว่าเป็นไฮไลต์ค่ะ เรียกว่าอาคารแกลลอเรีย วิคตอริโอ เอ็มมานูแอลที่สอง มองเผินๆ ภายนอกเหมือนประตูชัยเลยเนอะ

เดินเข้าไปข้างในก็สวยงามไม่ต่างกันค่ะ ที่น่าสังเกตบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านค้าไฮเอ็นด์ทั้งหลายค่ะ ทั้งหลุยซ์ ทั้งทอดส์ และอื่นๆ อีกมากมาย ระดับพวกเราน่ะหรือคะ โฮะๆ ถ่ายภาพเก็บบรรยากาศเฉยๆ น่ะสิคะ 555 แหม คนอื่นๆ เขาก็ทำเหมือนกันนั่นแหละค่ะ แต่จะบอกว่าถ้าอยากจะช็อปปิงจริงๆ มีอาคารอยู่ทางด้านหลังโบสถ์ค่ะ ตรงนั้นนักท่องเที่ยวเดินเยอะมาก ร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าก็มากมายค่ะ ไม่ต้องห่วง คุณได้เดินขาลากแน่ๆ

ยังเป็นภาพข้างในแกลลอเรียต่อค่ะ

บีลองเดินทะลุออกมาอีกฝั่ง เผื่อจะเจออะไรที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ปรากฏว่า…ไม่มีค่ะ! 555 หมดแล้วเหรอที่เที่ยว ไม่เอานะ ไหนบอกว่าเป็นเมืองแฟชั่นยังไงล่ะ แต่คิดไปคิดมาก็ถูกของเขาเนอะ เมืองแฟชั่น ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวนี่

ค่ะ…เมื่อรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร ดิฉันก็เลยถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบๆ ไปก่อน

จากนั้นก็ใช้แผนเดิมค่ะ คือการนั่งรถชมเมือง นั่งรถรางค่ะ ที่พิเศษก็คือเป็นรถรางแบบโบราณที่พวกเขาพยายามที่จะรักษาเอาไว้ คันเล็กๆ น่ารักดีค่ะ

ผลปรากฏว่ายิ่งนั่งไปก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจเลย พระเจ้า! เราก็เลยนั่งรถย้อนกลับมาที่จตุรัสใจกลางเมืองเช่นเดิม แต่พวกเราไม่ลืมที่จะแวะชิมไอศกรีมเจ้าดังประจำเมืองกันด้วยค่ะ มีความสุขสุดๆ กับเจ้าไอติมอิตาเลี่ยนนี่ เฮ้อ…ว่าแล้วก็อยากกินอีก

เราเดินวกไปวนมา ทั้งช็อปทั้งกิน ส่วนใหญ่ก็วินโดว์ช็อปปิงค่ะ 55 แล้วเผอิญก็มาเจอโรงหนัง แล้วที่น่าดีใจก็คือ มีหนังไทยเข้าโรงพร้อมกันถึง 2 เรื่องแน่ะ หนังผีทั้งนั้นเลย คนที่นี่เขาน่าจะชอบเนอะ คงไม่เคยเจอหนังผีที่น่ากลัวเหมือนหนังผีไทยแน่ๆ ดูโปสต์เตอร์ก็คงรู้เนอะว่าเรื่องอะไรบ้าง น่าภูมิใจแทนจริงๆ

ในที่สุดก็จบสักทีนะคะ ก็ทริปยาวๆ ในครั้งนี้ บล็อกต่อไปจะไปเที่ยวในประเทศฝรั่งเศสกันบ้างนะคะ

Venice น่ารัก, Italy (2)

Trip Venice, Italy : 16-18 August 2010

ปล่อยให้บล็อกร้างมานาน ได้ฤกษ์มาอัพต่อแล้วนะคะ เอาละ หลังจากที่ทั้งวันเราเดินทางไปเที่ยวเกาะสำคัญทั้งสองแห่งมาแล้ว เวลาที่เหลือ เราจึงกลับมาเดินเล่นในตัวเกาะเวนิสกันค่ะ แน่นอนว่าจุดท่องเที่ยวสำคัญจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากที่จตุรัสซาน มาร์โก นั่นเองค่ะ

เท่าที่หาข้อมูลมานะ เมืองเวนิสมีฉายามากมายเลยทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ หรือเมืองแห่งสะพาน (สะพานเยอะมากจริงๆ คอนเฟิร์มค่ะ) ฉายาแต่ละอันน่ารักและตรงตามความเป็นจริงทั้งนั้นเลยเนอะ

ตรงซาน มาร์โกนี้มีแห่งท่องเที่ยวสำคัญมากมายด้วยกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหอนาฬิกาที่ตั้งตระหง่านสีแดงอิฐ โบสถ์ San Giorgio Maggiore (รูปซ้ายบน) ซึ่งเป็นโบสถ์ของนิกายเบเนดิก สร้างในศตวรรษที่ 16 ถูกสร้างด้วยหินอ่อน ภายในโบสถ์เพนต์ด้วยสีทองสวยเชียวค่ะ ต่อมาก็คือ มหาวิหารเซนต์มาร์ค (ล่างขวา) เป็นสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ สีเหลืองทอง สวยอีกแว้ว

ตลอดทั้งวันก็จะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย และอย่างที่รู้ๆ กันเนอะว่าเวนิสเป็นเกาะที่ล้อมรอบด้วยน้ำทะเล ดังนั้นการขึ้นลงของน้ำก็มีผลกระทบกับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่พอสมควร ไอ้จตุรัสซาน มาร์โกที่ว่านี้ บางช่วงก็ถูกน้ำทะเลหนุนจนท่วมไปทั้งเกาะเลยละค่ะ เราเคยเห็นรูปตอนน้ำท่วม ชาวเมืองต้องเอาเก้าอี้มาเรียงๆ ต่อกันเพื่อเดินข้าม ตอนที่เราไปเที่ยวก็เห็นมีเก้าอี้จัดเก็บไว้เหมือนกันค่ะ คงจะเตรียมไว้พร้อมรับมือกับน้ำทุกเมื่อ

เราเดินจากจตุรัสซาน มาร์โกมาเรื่อยๆ จนถึงริมทะเล ก็เลยเดินเลาะเล่นตามริมชายฝั่ง มีที่ทางกว้างขวางมากเลยค่ะ แน่นอน…มากพอๆ ที่จะรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลได้เป็นอย่างดี

บริเวณนี้จะมีจุดให้บริการเรือกอนโดลาชื่อดัง ที่ใครไปใครมาก็ต้องมาลองนั่งให้ได้สักครั้งในชีวิต ราคาของเรือก็ขึ้นอยู่กับการตกแต่งนะจะบอกให้ ยิ่งตัวเรือตกแต่งหรูหรามากเท่าไร ราคาก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น และราคาถูกสุดรู้สึกจะเริ่มต้นที่ 80 ยูโรแน่ะ บางลำ…คนพายเรือก็ร้องเพลงให้ฟังด้วยค่ะ เราว่าโอเคนะ ทำให้เราซึมซับวัฒนธรรมและบรรยากาศที่หาที่ไหนไม่ได้ในเมืองไทย

พอเราเดินเล่นมาสักพัก มองดูตั๋วเรือในมือ เหลืออีกตั้งหลายชั่วโมง แล้วก็ยังรู้สึกว่ายังใช้ไม่คุ้มเลย ก็เลยตกลงใจไปว่า ปะ! ไปนั่งเรือเล่น เอาวนให้รอบเกาะไปเลยละกัน แต่ก็แอบรำคาญเสียงครืดคราดตอนที่ท้องเรือกระแทกเข้ากับท่าเรือ เพราะมันเสียงดังแสบแก้วหูเป็นที่สุด ความจริงมันก็ไม่ได้ดังขนาดนั้นนะคะ แต่เป็นคนที่ไม่ชอบเสียงขูด คล้ายๆ เสียงชอล์กขูดกระดานน่ะค่ะ น่าจะนึกออกเนอะ

พอนั่งเรือครบรอบแล้ว ก็เลยลงมากันที่ท่าเรือตรงสะพานริอัลโต แดดกำลังร่ม ลมกำลังตก เหมาะแก่การเดินเล่นมากๆ แน่นอน…คนอื่นเขาก็คงคิดเหมือนเรา คนเพียบเลยค่ะพี่น้อง – -‘ เราขึ้นไปเดินเล่นบนสะพานกัน แล้วก็ขอแชะภาพเก็บไว้หน่อย โดยการให้คนอื่นถ่ายให้ ขอบอกว่าคนที่ถ่ายให้เราใจดีมาก เพราะมาช่วยบริการถ่ายรูปให้เอง เขาคงเห็นว่าอีกระเหรี่ยงสองตัวนี้ มันยกกล้องเก้ๆ กังๆ อยู่แน่ๆ 555

จากบนสะพาน เราก็จะเห็นภาพ Grand Canalในมุมกว้าง เห็นการจราจรทางน้ำที่ค่อนข้างหนาแน่น ทั้งเรือโดยสารขนาดใหญ่ เรือแท็กซี่ และเรือกอนโดลา เพราะการคมนาคมทั้งหลายที่ปราศจากมลพิษนี่แหละค่ะ ที่ทำให้บีหลงรักที่นี่มากถึงมากที่สุด

จากนั้นเราก็เลยไปเดินดูย่านช็อปปิงทั้งสองฟากของสะพานที่ว่า ส่วนใหญ่ของที่ขายก็เป็นแนวๆ ขายให้นักท่องเที่ยว มีขายหน้ากากด้วยค่ะ ซึ่งหน้ากากเหล่านี้ถ้าขายตามท้องถนนก็จะมีราคาถูกหน่อย แต่งานก็จะไม่ได้ปราณีตมากเหมือนที่ขายตามร้านกระจก ในร้านนั้นแทบไม่ให้เราแตะต้องเลยค่ะ เคยแอบเอามาใส่เพื่อถ่ายรูปนิดหน่อย เจอด่าเลย -_-

และเนื่องจากไปเที่ยวกันช่วงหน้าร้อน ดังนั้นน้ำผลไม้ปั่นจึงขายดีมากกกกก ที่นี่มีเนื้อมะพร้าวห้าวขายเหมือนที่กรุงโรมเลยค่ะ และราคาก็แพงไม่แตกต่างกันเลย ไม่เข้าใจว่าชิ้นกระติ๊ดเดียวจะขายแพงไปไหน ถ้าอยู่ที่เมืองไทย เขาเอาให้ เรายังไม่เอาเลยอะ 555

สรุปแล้วเรื่องค่าอาหาร…สำหรับเรานะ ถูกกว่าที่คิดไว้เยอะค่ะ ตอนแรกก็กลัวว่าด้วยความที่มันเป็นเกาะ อาหารก็อาจจะแพงได้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้แพงมากมายขนาดนั้น ไอติมยังอร่อยเช่นเดิม แต่ก็ต้องเลือกร้านดีๆ กันหน่อยนะคะ รักไอศกรีมโฮมเมดอิตาเลี่ยนที่ซู้ดดดดด

เอาละค่ะ ทริปแห่งความสุขในเมืองที่เต็มไปด้วยความสุขก็จบลงไปอีกแล้ว ทริปหน้าเราจะนั่งรถไฟไปต่อที่เมืองมิลานกันนะคะ to be continued…

Venice น่ารัก, Italy (1)

Trip Venice, Italy : 16-18 August 2010

นั่งรถไฟจากเมือง Florence ไปยังเมือง Venice ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็เริ่มเข้าไปถึงเมืองเวนิส แต่ที่เราจะลงจะไปยังที่เกาะเลยคือที่สถานี Venice Santa Lucia ระหว่างที่รถไฟวิ่งออกจากแผ่นดินใหญ่สู่เกาะ ความตื่นเต้นก็เพิ่มขึ้น รีบเกาะหน้าต่างรถไฟดูวิวน้ำทะเลข้างนอก สวยมากๆเลยค่ะ

พอเรามาถึง เราก็ออกจากสถานีเพื่อมาซื้อตั๋วเรือ เราซื้อแบบ 48 ชั่วโมง ราคา 28 ยูโรค่ะ เพราะคำนวณแล้วก็น่าจะใช่เวลาที่นี่ประมาณนี้ แล้วอีกอย่างถ้าซื้อตั๋วแบบเป็นชั่วโมงคงไม่คุ้มแน่ๆเพราะค่าตั๋วแพงมากๆตั้ง 6,50 ยูโรแน่ะ

รูปข้างล่างนี่คือวิวที่เราถ่ายจากหน้าสถานีรถไฟเลย พอได้ตั๋วเราก็นั่งรถมาลงกันที่ป้าย Rialto ค่ะ แล้วเราก็เดินต่อไปหาโรงแรมที่เราจองไว้ ก็หลงกันพอสมควร งงมากๆเดี๋ยวเดินไปตามที่คนบอกก็เจอซอยตัน ดูแผนที่แล้วก็เดินตามพอของจริงทำไมมันไม่เหมือนกันวะเนี่ย แต่พอถามคนว่าโรงแรมอยู่ที่ไหน คนเค้าก็ร้องอ๋อทันที บอกว่าอยู่แถวๆ Santa Maria นั่นเอง เจอโรงแรมแล้วก็เอาของไปเก็บ แล้วก็ออกไปหาอะไรทานเท่าที่ร้านยังคงเปิดอยู่ แล้วก็แวะซื้อไอศกรีมทานก่อนนอนเพื่อย่อยอาหาร(ว่าไปนั่น มันถึงได้อืดขึ้นเรื่อยๆ)

ตามเช้าลงมาทานอาหารเช้า แล้วก็เอาแผนที่มาถามรีเซ็ปชั่นนิสของโรงแรมว่าจะไปเที่ยวเกาะ Murano กับ Burano ต้องไปขึ้นเรือตรงไหน เค้าก็บอกทางลัดให้ซึ่งเดินง่ายมากๆจากโรงแรม แถมยังบอกทางไปสะพาน Rialto ที่ลงเรือมาเมื่อคืนด้วย มันง่ายมากๆสำหรับคนที่ชำนาญเส้นทาง

ระหว่างที่เดินไปเราก็เจอ Piazza S.S. Giovanni e Paolo ซึ่งมีทั้งรูปปั้นคนขี่ม้าที่ชื่อว่า Campo S.S. Giovanni e Paolo(ชื่อจะยาวไปไหนเนี่ย!!) แล้วข้างๆในบริเวณเดียวกันก็มีโบสถ์ด้วย

เราเดินเรียบทางเดินมุ่งหน้าไปทางเหนือเรื่อยๆ จนเห็นสะพานสุดทางเดิน แล้วก็เดินเลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆก็จะเจอท่าเรือ Fond. Nuove เพื่อใช้นั่งเรือไปเกาะที่เราจะไปกันค่ะ

วันนี้โชคดีอากาศสดใส แต่ก็ร้อนมากเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าฝนตกเนอะ ไม่งั้นต้องเที่ยวแบบเปียกปอนกันแน่ๆ ก็เก็บภาพกันเล็กน้อยระหว่างเดินไปท่าเรือ เพราะวิวสวยมากๆๆๆๆค่ะ

เราขึ้นเรือกันมาแล้ว เกาะแรกที่เราจะไปกันคือเกาะ Burano แต่เราต้องแวะเปลี่ยนกันที่เกาะ Murano กันก่อน เกาะนี้เราจะมาเที่ยวทีหลังค่ะ

ยิ่งเรือเข้าใกล้เกาะ Burano มากเท่าไร เราก็เริ่มเห็นสีสันสดใสของบ้านหลังต่างๆซึ่งเป็นจุดเด่นของเกาะนี้ค่ะ

และแล้วเราก็มาถึงแล้วจ้า เกาะ Burano !!! เกาะนี้เป็นที่อยู่ของชาวประมง แต่ที่นี่มันมีอะไรมากกว่านี้ เพราะบ้านแต่ละหลังมันมีสีสันโดดเด่นตราตรึงใจมากๆ เราสังเกตว่าบ้านแต่ละหลังที่อยู่ติดกันจะไม่ทาสีเดียวกันเลย ทำให้คิดว่ามันเป็นกฎของเกาะนี้รึเปล่าที่ห้ามบ้านติดกันทาสีเดียวกัน 5555

และแน่นอนในเมืองเวนิสทั้งตัวเกาะใหญ่และเกาะเล็กๆเราจะต้องเห็นเค้าขายหน้ากากกัน เพราะว่าที่เมืองนี้ช่วงเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายนที่แหล่ะ จะมี Carnival ที่คนจะต้องใส่หน้ากากแล้วแต่งตัวกัน

ยอมรับว่าการเลือกรูปลงมาใส่ในบล็อกนี้ยากมากๆ เพราะอยากเอามาลงให้ดูทุกรูปเลย ชอบสีสันบนเกาะนี้มากที่สุดเลย

นอกจากที่บ้านแต่ละหลังแข่งกันทาสีสันอันสดใสแล้ว เค้ายังตกแต่งหน้าบ้านในน่ารักเข้ากับสีต่างๆด้วย แถมยังมาประดับด้วยกระถางต้นไม้หน้าบ้าน ยังกับบ้านการ์ตูน เราเลยเรียกที่นี่ว่า “เกาะสีลูกกวาด”

มุมข้างล่างนี้ชอบมากกกกกกกก จนถึงขนาดเอามาเป็น Header เลยทีเดียว ประทับใจไม่รู้ลืม

พวกเราเดินกันแทบทุกซอกทุกมุม ก็สวยทุกมุมจริงๆ ไม่อยากกลับเลยอ่ะ ใจกลางเกาะมีตลาดนัดด้วยนะ

ถึงไม่อยากกลับแต่ก็ต้องกลับเพราะยังมีที่อื่นรอพวกเราอยู่ แค่สัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้ !!

เราก็นั่งเรือกลับไปที่เกาะ Murano ค่ะ เกาะนี้มีความสำคัญคือเป็นเกาะที่ผลิตและขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องแก้วค่ะ แล้วแต่ละชิ้นก็แพงๆทั้งนั้น แม้กระทั่งตุ๊กตาแก้วชิ้นเล็กๆเท่าขี้ตาลิงก็ยังแพงเลยอะ !!

ถ้าพูดถึงลักษณะทั่วๆไปของเกาะนี้ก็คือ ไม่ค่อยแตกต่างจากเกาะเวนิสเท่าไร ไม่เหมือนเกาะ Burano ที่แตกต่างโดดเด่นไปเลย แต่ที่เกาะนี้ก็มีมุมน่ารักๆเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ทำไงได้ไปเกาะ Burano มาพอมาถึงเกาะ Murano มันเลยดูเฉาๆ 😉

เดินเล่นที่นี่ได้สักพักก็ออกมาเดินถ่ายรูปเล่นแถวๆท่าเรือ รอต่อเรือไปเกาะเวนิสค่ะ เพราะยังไม่ได้เดินเที่ยวจริงๆจังเลย เจอกันบล็อกหน้านะคะ

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv แปลภาษาอาหรับ-ไทย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ค้นหา ประวัติ นามสกุล ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง ไทยแปลอังกฤษ ประโยค Terjemahan เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด แปลภาษาจีน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ่้แปลภาษา Google Translate ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย พร บ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 วิธีใช้มิเตอร์วัดไฟดิจิตอล สหกรณ์ออมทรัพย์กรมส่งเสริมการปกครอง ส่วนท้องถิ่น ห่อหมกฮวก แปลว่า Bahasa Thailand Thailand translate mu-x มือสอง รถบ้าน การวัดกระแสไฟฟ้า ด้วย แอมมิเตอร์ การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน เนื้อเพลง ก่อนจะนิ่งก็ต้องกลิ้งมาก่อน แคปชั่น พจนานุกรมศัพท์ทหาร ภูมิอากาศ มีอะไรบ้าง สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น อาจารย์ ตจต อเวนเจอร์ส ทั้งหมด เขียน อาหรับ แปลไทย ใบรับรอง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน Google map Spirited Away 2 spirited away ดูได้ที่ไหน tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง กินยาคุมกี่วัน ถึง ปล่อยในได้ ธาตุทองซาวด์เนื้อเพลง บช.สอท.ตำรวจไซเบอร์ ล่าสุด บบบย มิติวิญญาณมหัศจรรย์ ตอนจบ รหัสจังหวัด อําเภอ ตําบล ศัพท์ทางทหาร military words สอบ O หยน