เครือข่ายฯ ระบุอีกว่า ต้องการให้ทบทวนและปฏิรูปกระบวนการจัดทำแผน PDP ให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรมต่อประชาชน
อนึ่ง แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) เป็นแผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ว่าด้วยการจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว 15 -20 ปี
ทางกฟฝ.ระบุว่า เพื่อสร้างความมั่นคงและความเพียงพอของกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยคำนึงนโยบาย พลังงานของประเทศและปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การกระจายการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นโยบายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ฯลฯ โดยจะมีการทบทวนเป็นระยะๆ หรือทุก 1 – 2 ปี เพื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมมุติฐานเดิมหรือไม่ เพื่อจัดทำฉบับใหม่หรือฉบับปรับปรุง
อ่านแถลงการณ์ ฉบับเต็ม
เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการทบทวนแผนพลังงานไฟฟ้า PDP ฉบับใหม่ เรียน ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง และเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงไฟฟ้าต่างๆ ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ได้ติดตามการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ซึ่งมีรายงานข่าวว่าจะจัดทำให้แล้วเสร็จในเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เครือข่ายฯ ยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลกระบวนการทบทวนดังกล่าวอย่างเพียงพอ
จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พบว่า ณ เดือนมกราคม 2561 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้ง 42,299 เมกกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2561 (จากข้อมูลที่เปิดเผยในขณะนี้) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 19.22 น. มีค่าเท่ากับ 26,351 เมกะวัตต์ แสดงถึงปริมาณไฟฟ้าสำรองในระบบสูงถึง 15,947 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 60.5 ของความต้องการสูงสุด ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ความต้องการไฟฟ้าจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ดังที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ที่ความต้องการสูงสุดติดลบกว่า 1,000 เมกะวัตต์ จากปี 2559 (สูงกว่าสถานการณ์ของประเทศไทยหลังเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540) ตัวเลขดังกล่าวนี้สะท้อนถึงระบบไฟฟ้าที่ไร้ประสิทธิภาพและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่โรงไฟฟ้าและเขื่อนต่างๆ
สำหรับสถานการณ์ในปีนี้ กระทรวงพลังงานได้คาดการณ์ว่าความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่มีผลประโยชน์ในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ทั้ง กฟผ. ปตท. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ยังคงแสดงความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ อย่างไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น นอกจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนในหลายๆ พื้นที่ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นจากโครงการเหล่านี้ยังจะตกแก่ผู้บริโภคไฟฟ้าอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วย
พวกเราคือประชาชนที่เดือดร้อนจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม จากโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือเสนอให้มีการก่อสร้าง เพื่อนำไฟฟ้าเข้าระบบของประเทศไทย อาทิ เขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนปากแบง บนแม่น้ำโขง โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา เขื่อนเมืองโต๋น (มายตง) และเขื่อนฮัตจี บนแม่น้ำสาละวิน และภายใต้รัฐบาล คสช. เรายังได้เห็นการเกิดขึ้นของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสตึงมนัม และโรงไฟฟ้าถ่านหินเกาะกง ประเทศกัมพูชา ที่จะส่งไฟฟ้าเข้ามาขายแก่ประเทศไทย ซึ่งจะสร้างภาระทางการเงินแก่ผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม และไม่โปร่งใสอีกด้วย
กรณีตัวอย่าง เช่น โครงการเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับผลกระทบข้ามพรมแดน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ขณะนี้การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยจะส่งไฟฟ้าเข้าสู่ระบบในปี 2562 ซึ่งยังคงเป็นช่วงที่กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยทั้งระบบ ยังมีปริมาณเกินความจำเป็นอยู่สูงมาก แต่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ลงนามกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นแบบ take or pay ราว 4,000 ล้านหน่วยต่อปี คือแม้ประเทศไทยจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโครงการนี้ แต่ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อนำเข้ากระแสไฟฟ้า เป็นต้น นำมาสู่ความข้องใจและเป็นประเด็นคำถามต่อผลประโยชน์ทับซ้อนของ กฟผ. และ ปตท. ในฐานะที่บริษัทลูกของ กฟผ. และ ปตท. เป็นผู้ร่วมทุนการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี
กรณีการผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ และเทพา ยิ่งสร้างความสงสัยแก่พวกเราว่า จะสร้างไปเพื่ออะไรในเมื่อยังมีไฟฟ้าสำรองในปริมาณมาก และโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงแก่ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล อันเป็นแหล่งประมง รายได้ และวิถีชีวิตของชุมชนที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน รวมทั้งความงดงามทางธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ เป็นต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ
จากการเปล ยนแปลงของสภาพความเปนอย ในสังคม การพัฒนา
ทางเศรษฐกจและอตสาหกรรม ท�าใหความตองการใชไฟฟาเตบโต
เพ มสงข นอยางตอเน อง ประกอบกับความตองการคณภาพ
พลังงานไฟฟาจากระบบไฟฟาในปจจบันมความละเอยดออน
และซับซอนมากย งข น รวมไปถงแนวคดการรักษาส งแวดลอมควบค ไปกับการพัฒนาดานพลังงาน ท�าใหอตสาหกรรมดานพลังงานไฟฟา
ตองมการพัฒนาเพ อรองรับทศทางดังกลาว และเพ อใหการพัฒนา
ทางดานพลังงานมความยั งยนและเปนมตรตอส งแวดลอม จงม
แนวทางการด�าเนนการไดหลายแนวทางดวยกัน และแนวทาง
การพัฒนาระบบโครงขายไฟฟาดั งเดมใหเปนระบบโครงขาย
ไฟฟาอัจฉรยะ (Smart Grid) กเปนอกแนวทางหน งท สามารถ
แกไขปญหาไดหลาย ๆ ดาน เชน ดานระบบไฟฟา ดานผใชไฟฟา ดานส งแวดลอม รวมทั งชวยใหการบรหารจัดการดานพลังงาน
มประสทธภาพมากย งข น และยังเปนแนวทางท ประเทศตาง ๆ ทั วโลกใหความส�าคัญในการพัฒนา ดังนั น การพัฒนาระบบโครงขาย
ไฟฟาอัจฉรยะของประเทศไทย จงเปนเร องท มความจ�าเปนตอการพัฒนาดานพลังงานของประเทศในระยะยาว
ค�น�