ได้แก่ อาการจามบ่อยๆ น้ำมูกใส คัดจมูก อาจเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของวัน หรือช่วงที่ไปรับสารที่แพ้ อาการร่วมอาจมีอาการคันตา คันคอ และเพดานปาก เสมหะลงคอ อาการที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกที่พบบ่อยคือ ไอเรื้อรัง ปวดศีรษะบ่อยๆ กระแอม นอนกรน หายใจมีกลิ่นปาก
“ แพ้อากาศ ” หมายถึงการแพ้อะไร ในความเป็นจริงแล้วจากการแพ้สารในอากาศ ไม่ได้เป็นจากอากาศโดยตรง สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย คือ ไรฝุ่น รองลงมา คือ แมลงสาบ และละอองเกสรหญ้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่และการได้รับสารกระตุ้นในแต่ละช่วงอายุ
ปัจจัยที่ทำให้มีอาการภูมิแพ้ ส่วนใหญ่พบมี 3 ปัจจัย คือ
- กรรมพันธุ์ พบว่า ถ้าคุณพ่อ และคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ 50-70%
- สภาพแวดล้อม ถ้าอาศัยอยู่ในที่มีสารก่อภูมิสูง มีโอกาสเป็นได้มากกว่า ทั้งนี้สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย
- สาเหตุเสริมอื่นๆ ได้แก่ ระคายเคือง โดยเฉพาะควันบุหรี่ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การได้รับโปรตีนแปลกปลอม
ในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม
- การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย/ผู้ทีความเสี่ยง
การดูแลรักษาภูมิแพ้
- หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทราบว่าตนเองแพ้ เพื่อที่จะให้อาการเกิดน้อยลง
และใช้ยาน้อยลงด้วย
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
- การรักษาด้วยยา หรือยาต้านฮีสตามีน มี 2 กลุ่ม
3.1 การให้ยาแก้แพ้ 3.1.1 ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มเก่า มีข้อควรระวัง คือ มักจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม และมีอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง
คอแห้ง ตาพร่า ใจสั่น
3.1.2 ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มใหม่ มีข้อดี คือ ไม่ทำให้ง่วง อาการข้างเคียงน้อยลงไม่ต่างจากการให้เม็ดแป้ง ออกฤทธิ์ไ
นานกว่าซึ่งทำให้ไม่ต้องกินยาบ่อย ๆ ส่วนมากวันละ 1-2 ครั้งก็พอ
3.2 ยาลดอาการคัดจมูก จะลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้ช่องจมูกโล่งขึ้น
3.3 ยาสเตอรอยด์ เป็นยาที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก รวมไปถึงอาการอักเสบภายในช่องจมูก อาการคัดแน่นจมูก
คัน จามได้ดี ทั่วไปมักจะใช้ในรูปแบบพ่นเข้าจมูกโดยตรง
- การฉีดยารักษาภูมิแพ้ ด้วยวัคซีน การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ว่าแพ้ตัวไหนก่อน ( skin test )
หลังจากนั้นก็ทำการฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่ทดสอบแล้วเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยทีละน้อย ๆ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ต้องใช้เวลานานจึงเห็นผล (ประมาณ 3-5 ปี) และต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้รักษา
- การป้องกันไม่ให้เกิดโรค
- สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ
- อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน) ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้
- ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงหรือให้อาหารมัน
- เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู้
- ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน
- ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย
- จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน
- ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง
- ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย
- ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%
- เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
- ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน
- เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
- ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว
- เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
- สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน
- อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด
- ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ
- ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน
- ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน
- วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง
- ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ
- ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน
- ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น
- หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน
- ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น
- เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
- เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล
- ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน
- อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้
- พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ
- เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข
- ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้
- ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน
- ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง
- หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้
- สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่