การจัดลำดับความสำคัญของงานนับเป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน แต่ก็มีน้อยคนมากที่สามารถจัดงานได้อย่างมีประสิทธิผล อาจเนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถจัดลำดับงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเราให้มาขึ้น มิเช่นนั้นเราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างไรประสิทธิผลซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบแน่เลย
วันนี้ผมอยากเสนอแนวความคิดว่างานประเภทใดควรอยู่ในช่องไหนของ ตารางเพื่อทุกคนได้ลองนำไปจัดงานของตัวเองดูอาจทำให้การทำงานมีประสิทธิผลมากขึ้นดังนี้
อธิบายแนวความคิดด้วยภาพ
1. งานสำคัญและเร่งด่วน : งานกลุ่มนี้จะเป็นงานที่ ถ้าไม่ดำเนินการก็จะมีปัญหาหรือเกิดวิกฤตขึ้น อาจเกิดผลกระทบมากมายไม่ คุ้มที่จะรอไว้ก่อน ควรดำเนินการให้เร็วที่สุด ซึ่งคงตัดสินใจกันไม่ยาก
2. งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน : งานกลุ่มนี้มักจะถูกละเลยเพราะเป็นงานที่ไม่เร่งด่วน แต่มีความสำคัญเรื่องเป้าหมายและเป็นงานที่อยู่ ในแผนงานกลยุทธ์แต่เนื่องจากพอมีเวลา จึงไม่ค่อยมีใครหยิบมาทำเท่าไรนักพอเวลาผ่านไปจึงกลายเป็น งานสำคัญที่เร่งด่วนไปทุกที ดังนี้ งานประเภทนี้ควรได้รับความสนใจอยากต่อเนื่องแล้วดำเนินการตาม แผนที่กำหนดไว้ให้ได้ เช่น งานด้านการพัฒนา งานนโยบาย งานที่ผู้นำดำเนินการไว้ให้ผู้อื่น งานที่เป็น แผนระยะกลางและระยะยาว ผู้นำที่ดีมักจะทำงานประเภทนี้ไว้และให้ความสำคัญเพราะถ้าปล่อยเวลา ผ่านไปอาจลืมแล้วไม่ได้ทำ สุดท้ายจะส่งผลกระทบกับเป้าหมายได้
3. งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน : คนส่วนใหญ่ถูกผลักดันให้ทำงานกลุ่มนี้มากที่สุดเพราะเป็นงานที่แทรกกับงานที่ทำตามแผนอยู่สาเหตุ ที่เกิดเหตุการณ์นี้เพราะเราไม่ค่อยมีแผนงานหรือไม่ค่อยไดทำตามแผนทำให้มีงานด่วนเข้ามาได้ เรื่อยๆ ดังนั้น เราควรปฏิเสธงานด่วนที่เข้ามาบ้าง ถ้าไม่ใช่งานวิกฤตเพื่อให้เราสามารถทำงานตามแผนที่วางไว้ ได้ครบ งานประเภทนี้ เช่น การประชุมที่ไม่ได้นัดหมาย ,งานที่คนอื่นขอร้องให้ทำ ,งานที่ล่าช้าจากส่วน งานอื่นๆแล้วมาเร่งเรา ,งานที่เราทำได้งานแต่ไม่ได้อยู่ตามแผน ควรทำงานประเภทนี้ให้น้อยลงนะครับจะ ได้มีเวลาทำงานสำคัญมากขึ้นครับ
4. งานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน : งานนี้ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจัดอยู่ในลำดับหลังๆหรือมีช่วงเวลาที่จะดำเนินการให้ชัดเจน เช่น โทรศัพท์ ทั่วไป ,e-mail ,งานสังสรรค์ , การพูดคุยเรื่องทั่วไป เป็นต้น เราเสียงเวลากับงานประเภทนี้ไป ค่อนข้างมาก จึงมีเวลาเหลือในการทำงานสำคัญน้อย แล้วจะรู้สึกว่างานยุ่งมากแต่ได้ผลผลิตน้อยเหลือเกิน และไม่ได้ตามเป้าด้วย
ลองดำเนินการเพื่อจัดประเภทของ งานที่เรารับผิดชอบอยู่หรือต้องเผชิญในแต่ละวันดูหน่อยนะครับ หลายท่านอาจ จะแปลกใจก็ได้ว่าพอจัดแล้วทำได้ผลออกมาดีกว่าที่เคยเป็นกันอยู่ก็ได้นะครับ
การทำงานเพื่อการดำรงชีวิตจำเป็นต้องมีทักษะกระบวนการที่ดี และมีจริยธรรม คุณธรรมในการทำงาน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
1. หลักการทำงานเพื่อการดำรงชีวิต
การทำงานในชีวิตประจำวันล้วนประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย จึงจำเป็นต้องอาศัยหลักการทำงาน 6P เข้ามาาประยุกต์ใช้เพื่อให้งานบรรลุผลสำเร็จ
หลักการ 6P มีดังนี้
2. หลักการทำงานให้ประสบความมสำเร็จ
ในการทำงานให้ประสบความสำเร้จนั้น เราจำเป็นต้องมมีการปรับปรุงพัฒนาวิธีการทำงานอยู่เสมอ โดยอาศัยกระบวนการ PDCA 4ขั้นตอน ได้แก่ P (Plan) D (Do) C (Check) A (Act) และหลักการ ” D-E-V-E-L-O-P” ซึ่งมีดังนี้
D = Development หัวใจไม่หยุดยั้งการพัฒนาผลงานและตนเองอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องบุคลิกภาพ พฤติกรรมหรือแม้แต่วิธีการทำงาน หาจุดแข็งและจุดบกพร่องของตัวเองให้เจอ แล้วพยายามพัฒนาเพิ่มจุดแข็งตัวเองให้เด่นขึ้นและกล้าที่จะปรับปรุงจุดบกพร่องของตัวเองให้ดีขึ้นด้วย
E = Endurance มุ่งเน้นความอดทน หนักเอาเบาสู้ เมื่อไรที่คุณมีความอดทนพอ ไม่ว่าจะเป็นอดทนต่อคำพูด อดทนต่อพฤติกรรมการสบประมาทจากคนอื่น และอดทนต่อความเครียดในการทำงาน คุณคนนั้นก็จะจัดการกับปัญหาที่เข้ามาทั้งเบาหรือหนักแบบที่ว่ากระโดดผ่านไปได้อย่างสบาย
V = Versatile มีความสามารถหลากหลาย คุณจะต้องเป็นคนรอบรู้ในทุกอย่างสามารถที่จะรับมือกับงานที่เข้ามาได้ทุกรูปแบบโดยที่ไม่ปฏิเสธหรือพยายามหลีกเลี่ยงงาน เพียงเท่านี้คุณก็มีโอกาสที่จะก้าวหน้าการทำงานมากกว่าคนอื่นแล้ว
E = Energetic กระตือรือร้น มีพลังในการใช้ชีวิตอยู่เสมอเพราะเมื่อไรถ้าคุณเกิดหยุดที่จะตื่นตัวแสวงหาความรู้ใหม่ๆ คุณจะไม่มีแรงที่ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาอย่างลุล่วงเลย
L = Love รักงานที่ทำ ถ้าคุณเป็นคนที่เลือกงานไม่ได้คุณก็ต้องพยายามรักงานที่คุณกำลังทำอยู่ให้ได้ แล้วสิ่งนั้นจะดีเอง อย่าลืมว่าความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชิ้นงานต่างๆขึ้นมา
O = Organizing จัดการเป็นเลิศ อย่าคอยพูดว่าไม่มีเวลาถ้าคุณไม่เคยลำดับการวางแผนเรื่องราวว่าควรทำอะไรก่อนและหลังบ้าง แต่ถ้าคุณรู้ว่ามีสิ่งไหนสำคัญกับคุณบ้างแล้ว ก็ขอให้หยิบกระดาษกับปากกาออกมาจดโน๊ตสั้นๆจัดลำดับสิ่งที่ต้องทำในชีวิต แล้วเวลาจะกลับมาหาคุณเอง นอกจากนั้นงานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพอีกด้วย
P = Positive Thinking คิดแต่ทางบวก การมองโลกในมุมดีมีความสำคัญกับการทำงานมากจริงๆ เพราะเป็นเหมือนยาวิเศษที่เราสร้างขึ้นเองอย่างที่คุณคิดไม่ถึง ถือเป็นกำลังใจและพลังชั้นเยี่ยมที่จะทำให้มีความสนุกและความสุขกับงานทุกชิ้นทีเดียว
3. ทักษะในการทำงาน
3.1 ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ประกอบไปด้วยลักษณะ 4 ประการ ดังนี้
- ความคิดริเริ่ม คือ ความคิดที่แปลกใหม่ ซึ่งแตกต่างจากความคิดเดิม สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ
- ความคล่องในการคิด คือ ความสามารถในการคิดหาคำตอบได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว และมีปริมาณมากในเวลาจำกัด เช่นการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือชิ้นงานได้หลากหลายอย่างมีคุณภาพในเวลาที่กำหนด เป็นต้น
- ความยืดหยุ่นในการคิด คือ ความสามารถในการคิดหาคำตอบได้หลายประเภทและหลายทิศทาง ดัดแปลงสิ่งหนึ่งไปเป็นหลายสิ่งได้ เช่น การนำขวดน้ำพลาสติกที่เหลือใช้ไปประดิษฐ์เป็นแจกันใส่ดอกไม้ เป็นต้น
- ความคิดละเอียดละออ คือ ความคิดในรายละเอียดเพื่อตกแต่ง หรือขยายความคิดหลักให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งความละเอียดละออในการคิดขึ้นอยู่กับเพศ อายุ ประสบการณ์ และความสามารถด้วย
3.2 ทักษะการจัดการงาน มีทั้งหมด 8 ประการ ดังนี้
- การมอบหมายงาน
-บอกรายละเอียดงานที่ทำ -คุณภาพที่ต้องการ -ปริมาณที่ต้องการ -กำหนดเวลาที่งานต้องเสร็จ -สมเหตุสมผล -ย้ำถึงการติดตามงาน
2. การให้คำแนะนำต่องานที่มอบหมาย
-เครื่องมือและอุปกรณ์ -วิธีการ -การเปลี่ยนแปลง -รายละเอียดของการทำงาน -วัตถุดิบที่ต้องใช้ -แหล่งที่มาของวัตถุดิบและอุปกรณ์ -ผู้ที่เกี่ยวข้อง
3. การติดตามผลงาน
-เปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่ควรจะเป็น -เปรียบเทียบผลงานที่ได้กับแผนงาน
4. การให้คำชมเชย
-ตั้งอยู่บนข้อมูลที่ปรากฎ -คำชมเชยจะมีประสิทธิภาพ ถ้าเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น * ตบไหล่ * พยักหน้า เช่น คุณทำงานได้ดีมาก
5. การแก้ปัญหที่ดี
-เมื่อมีค่าต่างไปจากสิ่งที่คาดหมาย -การแก้ปัญหาที่เป็นระบบ * หาสาเหตุ * รวบรวมข้อมูล * หาวิธีแก้ไขที่เป็นไปได้ * ประเมินผลวิธีแก้ไขที่เป็นไปได้ * ดำเนินการตามวิธีที่ดีที่สุด
6. การชี้แนะตักเตือน
-พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม -การเผชิญหน้า -การสื่อสารสองทาง -พฤติกรรมที่สามารถสังเกตุหรือเห็นได้ชัด
7. การให้ความช่วยเหลือ
-ให้ความร่วมมือ -แสดงความใส่ใจ -พูดคุยส่วนตัว * แสดงความชัดเจน * ให้คำแนะนำ * ให้การสนับสนุน * ช่วยประณีประนอม (ระหว่าง 2 ฝ่าย) * มีส่วนร่วม
8. การรายงานผล
-การส่งผ่านข้อมูลที่สำคัญไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องในองค์กร -รายงานอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา -ตรงเวลา
3.3 ทักษะการแสวงหาความรู้
การแสวงหาความรู้เกิดจากความพยายามศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้ประเภทต่่างๆ เพื่อนำมาใช้พัฒนาตนเอง
ทักษะการแสวงหาความรู้ประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การวางแผน
โดยวิเคราะห์สถานะการ 5W1H ไว้ล่วงหน้า ได้แก
W = Who ใครเป็นผู้สืบค้นหาความรู้
W = What จะสืบค้นเรื่องอะไร
W = Where จะสืบค้นที่ไหน
W = when จะสืบค้นเมื่อไหร่
W = Why จะสืบค้นเพราะเหตุใด
H = How มีวิธีการอย่างไร
ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการสืบค้น
ดำเนินการสืบค้นตามแผนที่กำหนดไว้ โดยเลือกสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีข้อมูลถูกต้อง และน่าเชื่อถือ เช่น หนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ เว็บไซต์ขององค์กรที่น่าเชื่อถือ
ขั้นตอนที่ 3 การรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากแหล่งการเรียนรู้หลาย ๆ แห่ง นำมาจัดเก็บให้เป็นระบบ เพื่อสะดวกในการสืบค้น และสามารถเลือกใช้ข้อมูลให้เหมาะสมกับงานได้สะดวก รวดเร็ว
ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบข้อมูล
ตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข้อมูลที่สามารถอ้างอิงได้ พร้อมทั้งตรวจสอบความทันสมัยของข้อมูลต่าง ๆ ให้น่าเชื่อถือมากที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 การบันทึกจัดเก็บข้อมูล
บันทึกจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้องให้เป็นระบบ โดยอาจจัดเก็บรูปแบบ สมุดบันทึก แฟ้มเอกสาร แผ่นซีดี เป็นต้น เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล อีกทั้งสามารถปรับปรุงข้อมูลและนำไปใช้งานได้สะดวก
3.4 ทักษะกระบวนการทำงาน
มีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้
1. การวิเคราะห์งาน คือ การที่ผู้เรียนสามารถแจกแจงที่จะทำว่าเป็นงานประเภทใด หรือลักษณะใด
ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์อะไรบ้าง มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร กล่าวคือ ฝึกให้ผู้เรียนมองงานโดยภาพรวมออกมาว่าจะต้องทำอย่างไร
2. การวางแผนในการทำงาน คือ การให้ผู้เรียนสามารถวางแผนว่าจะใช้กำลังงานในการทำงานอย่างไร
จะทำคนเดียวหรือต้องทำหลายคน ถ้าทำหลายคนจะแบ่งหน้าที่กันอย่างไร ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรในการทำงานครั้งนี้ ต้องใช้เงินในการลงทุนมากน้อยอย่างไร ตลอดจนกำหนดวิธีการทำงานให้เป็นขั้นตอนจนงานสำเร็จ
3. การปฏิบัติงาน คือ การให้ผู้เรียนได้ทำงานตามลำดับขั้นตอนที่วางแผนไว้ ฝึกให้มีลักษณะนิสัยที่ดี
ในการทำงาน เช่น พูดจาสุภาพ เหมาะสม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขยัน อดทนซื่อสัตย์ ฯลฯ และสามารถตรวจสอบการทำงานของตนเป็นระยะ ๆ
4. การประเมินผลการทำงาน คือการให้ผู้เรียนได้ประเมินผลทั้งการวางแผนก่อนการทำงาน ขณะปฏิบัติงานและเมื่องานสำเร็จแล้ว โดยขั้นตอนในการวางแผนก่อนการทำงาน ให้ประเมินว่าได้วางแผนไว้รอบคอบรัดกุมหรือไม่จะต้องเตรียมอะไรบ้าง ตรวจสอบดูแผน ที่วางไว้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ขณะปฏิบัติให้ประเมินว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรบ้างมีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงอย่างไร และเมื่องานสำเร็จให้ประเมินว่าผลงานที่ออกมาเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อจะได้แก้ไขและปรับปรุงผลงานของตนให้ดีขึ้น
3.5 ทักษะการทำงานร่วมกัน
ประกอบไปด้วยปัจจัย ดังต่อไปนี้
- บรรยากาศของการทำงาน ควรมีความเป้นกันเอง อบอุ่น มีความมมกระตือรือร้น และสร้างสรรค์ ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นถึงความเบื่อหน่าย
- ความไว้วางใจ เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกัน สมาชิกทุกคนในทีมควรไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน สื่อสารกันอย่างเปิดเผย ไม่มีลัลมคมใน
- การมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมาชิกภายในกลุ่มต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภาระกิจหลักของกลุ่ม
- บทบาทของสมชิกในกลุ่ม สมาชิกแต่ละคนต้องเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของตน และเรียนรู้เข้าใจในบทบาทของผู้อื่น รวมทั้งบทบาทในการช่วยรักษาความเป็นกลุ่มงานให้มั่นคง เช่น ประนีประนอม การอำนวยความสะดวก การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เป็นต้น
- วิธีการทำงาน
1. การสื่อความหมาย ที่จัดเจนและหมาะสม ซึ่งทำให้ทุกคนกล้าาที่จะเปิดใจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าใจและนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขั้น
2. การมีภาวะผู้นำ กำารทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ควรส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่ได้รับการนอมรับ และปรารถนาที่จะร่วมงานกันอีก
3. การตัดสอนใจ เมื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็นและร่วมตัดสินใจแล้ว สมาชิกย่อมเกิดความผูกพันที่จะทำในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
4. การกำหนดกติกาหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ การทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้หมายนั้นควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกติกา ที่นำมใข้ร่วมกัน
5. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของกลุ่ม ควรมีการประเมินผลเป็นระยะ โดยสมาชิกทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการประเมินผล เพื่อให้สมาชิกได้ทราบความก้าวหน้ของงาน ปัญหาหรืออุปสรรค์ที่เกิดขัึ่น รวมทั้งพัฒนากระบวนการทำงาน หรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน
3.6 ทักษะกระบวนกรแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 1 เข้าใจสภาพการณ์ การตรวจสอบสภาพแวดล้อม สถานการณ์ อย่างมีประสิทธิผล แล้วทําความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้มา จะทํา ให้ทราบถึงสถานการณ์ที่กําลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้องและยังสามารถคาดการณ์ถึงปัญหา และ เตรียมการณ์รับมือได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง ถ้ารู้จักตรวจสอบสถานการณ์อยู่เสมอ
ขั้นตอนที่ 2 กําหนดปัญหาให้ถูกต้องชัดเจน โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องหรือการเขียนบรรยายสภาพปัญหาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ที่สื่อสารอย่างตรงประเด็น ได้ใจความ จากนั้นจึงระบุเป้าหมายของสภาพการณ์ที่เราอยากให้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้แก้ปัญหานั้นไปแล้ว
ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์สาเหตุสําคัญ
1. ตรวจหาสาเหตุ 2. เลือกสาเหตุที่สําคัญ ๆ 3. ระบุสาเหตุที่แท้จริง
ขั้นตอนที่ 4 หาวิธีแก้ที่เป็ นไปได้ ความคิดสร้างสรรค์คือสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทําให้ได้วิธีแก้ปัญหาที่มีความหลากหลายมากมาย ซึ่งจะเป็ นผลดีต่อการแก้ปัญหา เพราะยิ่งมีตัวเลือกมากเท่าไร ก็ะยิ่งมีโอกาสได้วิธีแก้สุดท้ายที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนที่5 เลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด โดยทำการเปรียบเทียบทางเลือกของการแก้ไขปัญหาทั้งหมด หาข้อดีและข้อเสียของแนวทางหรือวิธีการแต่ละรูปแบบเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการทำงานน้อยที่สุด
ขั้นตอนที่ 6 วางแผนปฏิบัติ ถึงเวลาที่จะต้องลงมือปฏิบัติ จะต้องรู้ว่า ต้องทําอะไร เริ่มต้นที่ไหน ใครจะเป็ นคนทําอะไร เมื่อไร และอย่างไร
ขั้นตอนที่ 7 ติดตามประเมินผล ตรวจสอบความคืบหน้าของการทำงานที่ได้วางแผนและปฏิบัติงานไปตามนั้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ทราบว่ามีปัญหาและอุปสรรค์ใดที่เกิดขึ้นจาการทำงานหรือไม่ งานสำเร้จลงได้ตามเป้าหมายหรือไม่
การพัฒนาตนเองในการทำงานมีประโยชน์อย่างไร
(1) พัฒนาตนเองในงานอาชีพ เพื่อเพิ่มโอกาสในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ แล้วยังเป็นการพัฒนาตนเองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเนื้อหางานบางอย่างอาจเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ฉะนั้นการเรียนรู้หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับงาน จะช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนาการทำงานของคุณให้ดีขึ้น
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้องค์การต้องมีการพัฒนา
สาเหตุที่องค์การจะต้องมีการพัฒนาเพื่อช่วยให้หน่วยงานมีกฎระเบียบน้อยลง และให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขจัดอุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร มุ่งเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์การและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ สนับสนุนให้ทำงานร่วมกันระหว่างแผนกเพื่อเป้าหมายขององค์การที่สูงขึ้น .
ทำไมต้องมี Career Path
การมี Career Path ทำให้พนักงานมองเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจนขึ้น รวมไปถึงวิธีการไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ HR ควรสนับสนุนให้พนักงานทุกคนออกแบบ Career Path ของตัวเอง ผ่านการจัดหาทรัพยากรหรือเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถเพื่อการเติบโตต่อไป
ทำอย่างไรให้องค์กรดีขึ้น
เคล็ดลับที่ทำให้องค์กรที่ประสบความสำเร็จ.
1. การได้ผู้นำที่ดี ... .
2. การได้ผู้ตามที่มีประสิทธิภาพ ... .
3. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ... .
4. มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ... .
5. การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน ... .
6. การประเมินผล ... .
7. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพ.